สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 848 คนอย่างเจ้าสตรีที่ใดจะชมชอบ

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 848 คนอย่างเจ้าสตรีที่ใดจะชมชอบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 848 คนอย่างเจ้าสตรีที่ใดจะชมชอบ

บทที่ 848 คนอย่างเจ้าสตรีที่ใดจะชมชอบ

มู่ซืออวี่ส่ายศีรษะแล้วเอ่ยอย่างโมโห “ข้าคิดว่าในที่สุดเจ้าก็เริ่มคิดได้แล้ว ที่แท้กลับเป็นข้าที่คิดมากไป”

“ฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียวเช่นนี้ ท่านแม่ไม่เห็นด้วยหรือ?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยถาม

“ข้าไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนั้น” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าคิดว่าเจ้ารู้สึกพิเศษต่อแม่นางสิง เรื่องครานี้นึกว่าเจ้าอยากจะช่วยอีกทางหนึ่งเสียอีก”

“ช่วยย่อมต้องช่วย ทว่าเรื่องนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อเราเช่นกัน ข้าไม่คิดว่านี่มีอะไรไม่ถูกต้อง” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “ส่วนแม่นางสิง นางแตกต่างจากสตรีอื่นจริง ๆ ข้าชื่นชมนางเป็นอย่างยิ่ง”

“ฉาวอวี่ น้องสาวของเจ้าแต่งงานแล้ว ในฐานะบุตรชายคนโต เมื่อไหร่เจ้าจะได้แต่งงานเล่า? แม่ละห่วงเจ้าจริง ๆ แม้เจ้าจะหน้าตาไม่เลว ทว่านิสัยของเจ้า… เกรงว่าจะไม่มีสตรีใดชมชอบ”

ลู่ฉาวอวี่เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “ถึงแม้ข้าจะเป็นบุตรคนโต ทว่าก็ไม่ใช่บุตรชายคนเดียว หากท่านอยากอุ้มหลานก็รอให้น้องชายของข้าโตก่อนค่อยว่ากัน อืม ข้าเห็นบุตรชายของใต้เท้าฟางรองเสนาบดีกรมพระคลังแต่งงานตอนอายุสิบห้าปี ปีถัดไปก็ให้กำเนิดลูกชายคนหนึ่ง น้องชายก็ใกล้แล้ว ท่านแม่ไม่ต้องร้อนใจจนเกินไปนัก”

สิ้นคำก็สาวเท้าฉับ ๆ จากไป

มู่ซืออวี่จ้องลูกชายเขม็ง

ในฐานะมารดาที่มีแนวคิดค่อนข้างเปิดกว้าง นางไม่เคยกดดันเรื่องแต่งงาน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะบีบบังคับเขา แต่ตอนนี้ นางอยากจัดการเรื่องแต่งงานให้เขาเสียจริง ๆ เขาควรก้มหัวกราบไหว้ฟ้าดินบ้าง เผื่อจะทำให้ความเย่อหยิ่งเช่นนั้นของเขาหายไปได้

“ไม่ได้การ ข้าต้องเขียนจดหมายให้เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ถามไถ่ว่านางและลูกเขยเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วข้าคงถูกเด็กคนนี้ทำให้โมโหตายแน่” มู่ซืออวี่พึมพำกับตนเอง

ณ วังหลวง อาณาจักรเฟิ่งหลิน

ลู่จื่ออวิ๋นนำติงเซียงและไป๋จื่อไปยังท้องพระโรง

“พระนางฮองเฮา ฝ่าบาทกำลังหารือเรื่องราชกิจกับใต้เท้าทั้งหลายอยู่ข้างในพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยอย่างเคารพ

“ข้าจะรอเขาที่ห้องน้ำชา”

ลู่จื่ออวิ๋นเตรียมจะจากไป ประตูท้องพระโรงก็เปิดออกก่อน ขันทีข้างกายเซี่ยเฉิงจิ่นออกมากล่าว “ฝ่าบาทตรัสว่าเชิญฮองเฮาเข้าไปในพระตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”

ขันทีใหญ่รีบหลีกทางให้ด้วยความเคารพ

ลู่จื่ออวิ๋นให้สาวใช้ทั้งสองรออยู่ด้านนอกแล้วเข้าไปในท้องพระโรงเพียงลำพัง

เมื่อนางเข้าไป ขุนนางอาณาจักรเฟิ่งหลินก็มองนางด้วยสายตาซับซ้อน

แม้ว่าอาณาจักรเฟิ่งหลินและอาณาจักรฮุ่ยจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน ทว่าสตรีก็ไม่ควรเข้ามาเมื่อหารือเรื่องสำคัญในราชสำนัก อย่างไรก็ตามฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของพวกเขาดูเหมือนจะลุ่มหลงจนหน้ามืดตามัว และมักจะทำเรื่องผิดกฎเกณฑ์อยู่บ่อยครั้ง หากสตรีต่างแดนผู้นี้มีใจแตกแยก เช่นนั้นอาณาจักรเฟิ่งหลินทั้งอาณาจักรคงกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับความรักของฮ่องเต้พระองค์ใหม่แล้ว

เซี่ยเฉิงจิ่นลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหานาง จากนั้นจึงพานางมานั่งลงข้าง ๆ ตน

“หม่อมฉันรบกวนพวกท่านแล้วใช่หรือไม่?”

“นี่ไม่ใช่การว่าราชกิจอย่างเป็นทางการในท้องพระโรง ไม่อาจเรียกว่ารบกวนได้” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “อวิ๋นเอ๋อร์มีเรื่องอะไรหรือ?”

“หม่อมฉันได้ยินว่าผู้คนเมืองหรงทางเหนือแข็งตายไปไม่น้อย” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ฝ่าบาทอาศัยอยู่ในอาณาจักรฮุ่ยของเรามานานเพียงนั้น คงกระจ่างแก่ใจว่าอาณาจักรฮุ่ยของเราไม่มีผู้ใดแข็งตายมาเป็นเวลานานแล้ว ถูกหรือไม่?”

“ฮองเฮาหมายถึง…”

“ตอนที่หม่อมฉันออกเรือนมา มารดาจัดเตรียมช่างมาให้หลายคน พวกเขาได้สืบทอดวิชามาจากมารดาของหม่อมฉัน ดังนั้นพวกเขาย่อมทำเตียงเตาหรือสิ่งอื่น ๆ ที่ราษฎรอาณาจักรฮุ่ยใช้กันทั่วไปได้เช่นกัน” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ในอาณาจักรฮุ่ยของเรา เตียงเตาเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี เทียบกับอาณาจักรฮุ่ยแล้ว สภาพอากาศในอาณาจักรเฟิ่งหลินเลวร้ายยิ่งกว่า ไม่ใช่ว่าต้องการสิ่งนี้ยิ่งกว่าหรือ?”

“พระนางฮองเฮา ของหายากเช่นนี้มีเพียงฮูหยินเท่านั้นที่ทำ พวกเราจะใช้มันเพื่อเรื่องส่วนตัว…..”

“ใต้เท้าหยางอาจไม่ทราบ ในตอนนั้นผู้คนมากมายในอาณาจักรฮุ่ยแข็งตาย มารดาข้ารู้สึกสงสารราษฎรอาณาจักรฮุ่ย นางจึงคิดอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็ทำสิ่งนี้มาต้านความหนาวได้ มารดาข้าเป็นห่วงผู้คนในแผ่นดิน จิตใจมีคุณธรรมใหญ่หลวง ราษฎรอาณาจักรฮุ่ยเป็นมนุษย์ ราษฎรอาณาจักรเฟิ่งหลินเราก็เป็นมนุษย์เช่นกัน เหตุใดชาวอาณาจักรฮุ่ยใช้ได้ ทว่าผู้คนในอาณาจักรเฟิ่งหลินใช้ไม่ได้เล่า? ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะมารดาแห่งแผ่นดินของอาณาจักรเฟิ่งหลิน ราษฎรในแผ่นดินนี้ล้วนเป็นญาติของข้า พวกเขาสมควรใช้เตียงเตา”

เมื่อขุนนางทุกคนได้ยินคำพูดของลู่จื่ออวิ๋น แต่ละคนล้วนทอดถอนใจ

“ได้ยินมานานแล้วว่าอาณาจักรฮุ่ยมีฮูหยินผู้มีจิตใจดั่งพระโพธิสัตว์ ทำเรื่องราวที่เป็นประโยชน์มากมายเพื่อราษฎร แม้นไม่มีโอกาสได้พบกับนาง ทว่าสัมผัสได้ถึงความรักและเมตตาอันยิ่งใหญ่ของนางจากพระนางฮองเฮา นางเป็นคนดีโดยแท้”

“นั่นสิ! นั่นสิ!”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ตกลงตามนี้!” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “ใต้เท้าหยาง เรื่องนี้มอบหมายให้ท่านแล้ว สำหรับการดำเนินการเรื่องนี้ ให้พวกท่านฟังการเตรียมการของนายช่างเป็นหลัก ไม่อาจละเลยพวกเขาได้เป็นอันขาด”

“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

“หม่อมฉันยังมีอีกเรื่องหนึ่งเพคะ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “หม่อมฉันทำของบางอย่างที่ปกป้องความหนาวเย็นได้ขึ้นมา ให้หม่อมฉันนำมาให้ทุกท่านได้ดูเถิด!”

“ของสิ่งใด?”

ลู่จื่ออวิ๋นปรบมือ

ประตูพระตำหนักเปิดออก ไป๋จื่อและติงเซียงผู้ที่รออยู่ด้านนอกถือบางอย่างเข้ามา

ลู่จื่ออวิ๋นกางเสื้อออก วางลงเบื้องหน้าเซี่ยเฉิงจิ่น จากนั้นจึงผายมือแล้วเอ่ยว่า “นี่เรียกว่าเสื้อนวมขน ข้างในยัดขนห่าน ตัวนี้ทำมาเพื่อฝ่าบาท ฝ่าบาทลองสวมดูเถิดเพคะ”

เซี่ยเฉิงจิ่นรับเสื้อคลุมยัดขนห่านนั้นไปยังโถงด้านหลัง ไม่นานเขาก็ออกมา ลำตัวดูพองขึ้นเล็กน้อย ทว่าใบหน้ายังคงหล่อเหลาเช่นเคย

“อุ่นดีจริง ๆ”

“อันที่จริงเรื่องต้านภัยหนาว อาณาจักรฮุ่ยนับว่ามีประสบการณ์พอสมควร อย่างเช่นมารดาหม่อมฉันทำแผ่นแปะทำความร้อน เตียงเตา รวมไปถึงผ้าห่มขนห่าน และเสื้อนวมขนห่าน” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “แน่นอนว่าของเหล่านี้ราคาค่อนข้างสูง ราษฎรทั่วไปไม่อาจซื้อหามาใช้ได้ ดังนั้นขนห่านสามารถทดแทนด้วยขนเป็ด หากไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นขนอย่างอื่น อย่างเช่น ขนแกะ ขนของสัตว์อื่น ๆ ก็ใช้ได้ พวกมันล้วนต้านความหนาวเย็นได้ทั้งสิ้น”

“ฤดูหนาวเป็นเรื่องยากสำหรับราษฎรทั่วไปจริง ๆ อาณาจักรเฟิ่งหลินเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นคราแล้วคราเล่า ชีวิตของราษฎรล้วนลำเค็ญ นอกจากถูกความหนาวเย็นทำให้แข็งตายแล้ว ยังมีอีกมากมายที่ต้องอดตาย ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่อยากอยู่เพียงวังหลัง อยากออกไปนอกวังทำประโยชน์ให้แก่ราษฎร”

“พระนางฮองเฮา ท่านเป็นสตรีในวังหลัง….”

“ได้” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยขัดเสียงขุนนางคร่ำครึเหล่านั้น “ฮองเฮาของข้าอยากทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ขอเพียงทำตามใจตนต้องการก็เพียงพอแล้ว”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

เหล่าขุนนางไม่อาจโน้มน้าวได้จึงไม่ได้กล่าวมากความอีก นับตั้งแต่อภิเษกฮองเฮามา ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เดิมทีก็ไม่ฟังอยู่แล้วว่าผู้อื่นจะว่าอย่างไร พวกเขาเริ่มคุ้นชินกับพฤติกรรมนี้แล้ว

อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ในวันนี้เห็นได้ว่า ฮองเฮาพระองค์นี้มีประโยชน์ต่ออาณาจักรเฟิ่งหลินของพวกเขาอย่างใหญ่หลวงจริง ๆ บางทีคราวนี้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่อาจไม่ได้ลุ่มหลงในความงามถึงเพียงนั้น

หลังจากเหล่าขุนนางออกไปแล้ว เซี่ยเฉิงจิ่นก็กอดลู่จื่ออวิ๋นเอาไว้ ซุกซบซอกคอนางแล้วสูดหายใจเข้าลึก “เจ้าอยากออกจากวัง นั่นไม่ใช่ต้องการทิ้งข้าให้เฝ้าวังอันว่างเปล่าเพียงลำพังหรือ?”

“ทุกวันฝ่าบาทตรวจทานฎีกา ไม่มีเวลามาสนใจหม่อมฉัน หม่อมฉันเพียงออกจากวังยามกลางวัน ตกกลางคืนกลับมาก็ใช้ได้แล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย

“คนโกหก หากเจ้าออกจากวังไป เจ้าจะเต็มใจกลับมาได้อย่างไร ข้าเกรงว่าในวังแห่งนี้จะมีสามีขี้โมโหขึ้นมาอีกคนแล้ว” เซี่ยเฉิงจิ่นคร่ำครวญ “ออกจากวังนั้นได้ เพียงแต่เจ้าต้องดูแลตนเองให้ดี ปกป้องตนเองให้ดี เข้าใจหรือไม่?”

“วางใจเถิด หม่อมฉันจะต้องดูแลตนเองดีอย่างแน่นอน” ลู่จื่ออวิ๋นโอบแขนรอบคอเขา “พวกเราจะต้องสร้างความแข็งแกร่งให้อาณาจักรเฟิ่งหลินโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้นหากสงครามระหว่างอาณาจักรเหลียงและอาณาจักรฮุ่ยดึงเราไปพัวพัน อาณาจักรเฟิ่งหลินอาจไม่สามารถต้านทานได้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด