สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย บทที่ 22 ข้าไม่ได้ขโมยไข่

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 22 ข้าไม่ได้ขโมยไข่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 22 ข้าไม่ได้ขโมยไข่

บทที่ 22 ข้าไม่ได้ขโมยไข่

เมื่อถงซื่อกลับมาถึงบ้านด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทาก็พบว่าคนอื่น ๆ ยังไม่กลับมา นางจึงรีบเอาของไปซ่อน แล้วตรงเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็น

จากนั้นไม่นานมู่ซือเจียวก็กลับมาจากข้างนอก นางมองเข้าไปในห้องครัวแล้วถามอย่างไม่พอใจว่า “เหตุใดยังไม่ทำอาหารเย็นอีกล่ะ ชักช้าไร้ประโยชน์เสียจริง ๆ”

ในฐานะผู้อาวุโสกว่า ถงซื่อถูกมู่ซือเจียวล่วงเกิน แต่ก็กลับไม่กล้าบ่นว่าแต่อย่างใด หญิงวัยกลางคนทำได้เพียงอธิบายอย่างระมัดระวังว่า “ข้าไม่ค่อยสบายตอนที่กลับมาก็ลื่นล้มจึงไม่ค่อยมีแรง เจียวเอ๋อร์ เจ้าช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่ ช่วยจุดไฟเสียหน่อย”

มู่ซือเจียวมองมาด้วยสายตาดูถูกก่อนจะตะคอกใส่ “ท่านย่าบอกว่างานบ้านคืองานของท่าน หน้าที่ของข้าคือการดูแลตัวเองให้ดีเท่านั้น ไม่ต้องไปทำงานอะไรพวกนี้ ท่านอยากให้ข้าช่วยจุดไฟใช่หรือไม่ ได้เลย รอท่านย่ากลับมาแล้วข้าจะบอกนางให้”

“อย่า… อย่าบอกนางนะ ไม่ต้องช่วยข้าแล้ว” ถงซื่อเอ่ยแล้วก็ไปยุ่งอยู่กับงานครัวต่อไป

มู่ซือเจียวดูถูกท่าทางไร้ทางสู้ของถงซื่อ ก่อนหน้านี้มู่ซืออวี่ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่ตอนนี้นางแต่งงานออกไปแล้วจึงปีกกล้าขาแข็ง กล้าแม้กระทั่งพูดจาหาเรื่องตน ครั้นคิดเช่นนั้นแล้วความโกรธก็ปะทุขึ้นในดวงตา

หญิงสาวเอากระบวยตักน้ำขึ้นมาตั้งใจราดไปที่ถงซื่อพลางทำเป็นพูดเสียงแหลม “ตายแล้ว! โทษที ข้าเห็นว่าท่านมีเหงื่อออกก็เลยจะช่วยล้างให้สักหน่อย ท่านอาสะใภ้รองคงไม่โกรธข้าหรอกใช่หรือไม่”

หัวใจของถงซื่อเย็นยะเยือกเพราะน้ำที่รินรดตัว น้ำที่สาดลงบนใบหน้านางไหลผ่านเสื้อผ้าขาดวิ่น เดิมทีใบหน้าก็เปื้อนฝุ่นไม่น้อยอยู่แล้ว เมื่อถูกน้ำสาดก็กลายเป็นคราบโคลนบนใบหน้า ดูน่าสมเพชยิ่งกว่าเดิม

“ไม่… ไม่เป็นไร” ถงซื่อกำมือปาดน้ำออกจากใบหน้า ยิ่งทำแบบนั้นใบหน้าก็ยิ่งเลอะเป็นปื้น

มู่ซือเจียวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “รีบไปเสียที ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว”

ถงซื่อมึนงงอยู่นาน แต่ในตอนนี้กลับนึกคำพูดของลูกสาวขึ้นมาได้อย่างขึ้นใจ

หากว่าแยกบ้านไปได้…

ไม่ ไม่ ไม่ แม่สามีเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในบ้านหลังนี้ แม่เฒ่าเจียงคงไม่ยอมให้การแยกบ้านเกิดขึ้น ถ้าทำอย่างนั้น คนทั้งบ้านตระกูลมู่ต้องหันมาเล่นงานนางแน่ ๆ

แต่เมื่อคิดว่าจะต้องใช้ชีวิตน่าสมเพชเช่นนี้ต่อไป นางก็พลันรู้สึกอึดอัดใจราวกับมีหินก้อนใหญ่มาทับร่างเอาไว้

มู่เจิ้งหานกลับมาพร้อมกับฟืนสูงลิบท่วมหัวบนหลัง

ถงซื่อรีบตรงเข้าไปช่วยรับมัน หลังจากที่ขนฟืนลงแล้วก็รีบตักน้ำหนึ่งกระบวยส่งให้ลูกชาย “ดื่มน้ำก่อน”

อึก อึก อึก

มู่เจิ้งหานดื่มน้ำเพียงไม่กี่อึกก็หมดกระบวยอย่างรวดเร็ว

“เหนื่อยหรือไม่ นั่งพักก่อนเถอะ” ถงซื่อกล่าว

ทว่าเขากลับไม่ยอมนั่งลง แต่เข้ามาช่วยผู้เป็นแม่จุดไฟ ร่างเล็ก ๆ ของเด็กชายดูโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นั่นทำให้คนเป็นแม่อย่างนางรู้สึกภูมิใจ

ตอนนั้นเองที่คำพูดของลูกสาวกลับมาแล่นในหัวอีกครั้ง ลูกชายของพี่สามีได้เรียนหนังสือ แต่หานเอ๋อร์ของนางกลับทำงานหนักกว่าผู้ใหญ่เสียอีก

คนเป็นมารดาอย่างนางจะไม่ทุกข์ใจกับเรื่องนี้ได้อย่างไร ทุกอย่างเป็นเพราะความขี้ขลาดตาขาวของตนทั้งสิ้น เหตุใดถึงไม่คิดต่อต้านแม่สามีเสียบ้าง

มู่เจิ้งหานจุดไฟอยู่อย่างเงียบ ๆ เขาเป็นเด็กที่เคร่งขรึม ชอบช่วยเหลือผู้คน ทำทุกอย่างที่ถูกขอให้ทำ เป็นเด็กที่มีเหตุผลยิ่งนัก แต่การเป็นคนแบบนี้กลับทำให้ถงซื่อยิ่งรู้สึกอึดอัดใจมากกว่าเดิม

เสียงของแม่เฒ่าเจียงและมู่ซือเจียวดังมาจากด้านนอก มู่ซือเจียวกำลังบ่นกับท่านย่าของตนว่าอาสะใภ้รองสั่งให้นางช่วยจุดไฟ

แม่เฒ่าเจียงตะโกนดุด่าสาปแช่งเสียงดังทันที “กล้าดียังไงถึงมาบอกให้เจียวเอ๋อร์ของข้าไปจุดไฟ! ถ้ามือของหลานข้าหยาบกร้านจนพลาดโอกาสเป็นนายหญิง พวกแกต้องโดนดี คอยดูเถอะ”

“หึ” มู่เจิ้งหานไม่ได้ตอบรับ เพียงแค่นหัวเราะอย่างเย้ยหยัน

แม่เฒ่าเจียงก้าวเข้ามาในครัว เมื่อเห็นว่าอาหารยังไม่พร้อมก็หันมาตวาดใส่ลูกสะใภ้รอง “เหตุใดถึงยังไม่เสร็จอีก!”

“ท่านแม่ ข้าหกล้มเจ็บตัวเล็กน้อย ก็เลยทำช้าเจ้าค่ะ” ถงซื่อตัวสั่นเทาตอบกลับไป

“ไม่ตาย ๆ ไปเสียเลยล่ะ ไร้ประโยชน์สิ้นดี” หญิงชราบ่นอีกสองสามคำ “เร็วเข้า อยากให้คนแก่อย่างข้าหิวตายหรือ นังมู่ซืออวี่ปีกกล้าขาแข็งไปคนหนึ่งแล้วอย่าคิดว่าพวกเจ้าจะมาหาเรื่องปีนเกลียวกับข้าได้นะ ขนาดคนเป็นย่าอย่างข้ามันยังไม่เห็นหัว แล้วคนอย่างพวกเจ้าจะเหลือหรือ”

พี่น้องตระกูลมู่ทุกคนทยอยกลับมาจากไร่นา ถังซื่อ สะใภ้ใหญ่ของบ้านก็กลับมาด้วย

สะใภ้ใหญ่ของบ้านสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ทรงผมถูกจัดแต่งอย่างเรียบร้อย ปักปิ่นดอกไม้ประดับมุก นางออกไปข้างนอกตลอดบ่าย เสื้อผ้าไม่เคยเลอะฝุ่นดินแม้แต่น้อย นางไม่ได้ออกไปทำนา แต่เพิ่งกลับมาจากการแสดง

“ท่านแม่ ข้าเหนื่อยไปหมดแล้ว” ถังซื่อพูดเสียงหวาน

“พักสักหน่อยเถอะ เจ้าคงจะทำงานหนักมากจริง ๆ” หลังจากแม่เฒ่าเจียงพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยแล้วก็ตะโกนเสียงดังลั่นเข้าไปในครัว “ยังไม่รู้จักเอาน้ำเอาท่ามาให้สะใภ้ใหญ่อีก ไม่มีสมองเลยหรือไง คิดเองเสียบ้าง ต้องให้สั่งทุกเรื่องเลยรึ!”

ถงซื่อรองมือรองเท้าคนในตระกูลมู่ราวกับเป็นคนรับใช้ โดยที่สามีของนางก็เอาแต่ขมวดคิ้วกับเรื่องนั้น ไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ เขาเห็นว่าภรรยาทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ จึงรู้สึกไม่ต่างจากคนอื่นว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

ระหว่างที่กำลังรออาหาร แม่เฒ่าเจียงก็ไปที่เล้าไก่ตามปกติ

“หนึ่ง สอง สาม… สาม? ปกติต้องมีสี่สิ” แม่เฒ่าเจียงมองเข้าไปในเล้าไก่ก็พบว่ามีไข่อยู่ในนั้นเพียงสามฟอง

หญิงชรารีบตรงกลับเข้าไปในบ้านด้วยความโกรธ ยกขาเตะถงซื่อซึ่งกำลังเอาโจ๊กมาวางที่โต๊ะ

ชามในมือร่วงลงพื้นเสียงดังโครมคราม โจ๊กร้อน ๆ เพิ่งปรุงเสร็จใหม่หกราดใส่ร่างของคนถือ

“โอ๊ย!” ถงซื่อร้องอย่างเจ็บปวด

“ท่านแม่!” มู่เจิ้งหานเข้ามาดูด้วยความตื่นตระหนก

แต่คนอื่นกลับนั่งนิ่งมองเหตุการณ์นั้นอย่างไม่แยแส

มู่ต้าซานเปิดปากของเขาออกมาในที่สุด “ท่านแม่ มีอะไรก็พูดมาเถอะขอรับ ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร”

แม้จะเห็นว่าลูกสะใภ้ถูกโจ๊กลวก แต่แม่สามีอย่างแม่เฒ่าเจียงก็ยังคงยืนมองอย่างไม่คิดจะเข้าไปช่วย “เจ้าคิดว่าแม่ทำอะไรล่ะ ก็จัดการไอ้คนสกปรกนี่ไง ไหนบอกมาซิ เจ้าขโมยไข่ข้าไปใช่หรือไม่?!”

ถงซื่อถูกโจ๊กลวกผิว ได้แต่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด อยากจะถอดเสื้อผ้าออก แต่มีพี่สามีอยู่ที่นี่ด้วย จึงได้แต่อดทนไม่อยากทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้น ความร้อนที่ระอุในเสื้อทำให้รู้สึกราวกับกำลังถูกต้มอยู่ในหม้อโจ๊กไปด้วย

แม่สามีไม่ยอมให้นางไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ให้ออกไปจากตรงนี้ นอกจากมู่เจิ้งหานที่เข้ามาดูด้วยความเป็นห่วงแล้ว การแสดงออกของคนอื่น ๆ ล้วนไร้ซึ่งความใส่ใจ ไม่มีใครแยแสความเจ็บปวดของนาง แม้สามีที่ร่วมเตียงกันทุกคืนจะไม่ได้เย็นชาต่อนางเท่าคนอื่น แต่เขาก็ไม่ขยับกายทำสิ่งใดเลยเช่นกัน

มู่เจิ้งหานทนดูคนเป็นแม่เจ็บปวดจากความร้อนต่อไปไม่ไหว จึงวิ่งเข้าไปเอาน้ำมารดลงบนตัวนาง

ตอนนั้นเองที่ถงซื่อรู้สึกราวกับว่าได้ชีวิตกลับคืนมา

แม้ว่าความแสบร้อนจะไม่หายไป แต่นี่ก็ดีกว่าเดิมมากแล้ว

แม่เฒ่าเจียงสนใจเพียงไข่ที่หายไปหนึ่งฟองเท่านั้น นางเอาแต่สาปแช่งและสบถด่าลูกสะใภ้รองไม่หยุดปาก ดุด่าราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกัน แต่เป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางก่อน

ถงซื่อที่คิดไปว่าตัวเองชินชากับเรื่องพวกนี้มานานแล้วถึงกับใจสลาย นางยอมแพ้ต่อความพยายามมาตลอดหลายปีของตัวเอง ไม่นานก็ร้องไห้ฟูมฟายออกมา “ท่านแม่ ข้าแต่งงานเข้าบ้านนี้มาหลายปีแล้ว ข้าเคยขโมยอะไรของท่านงั้นหรือ ไม่เคยมีสักครั้ง”

“ไม่รึ! ดี งั้นข้าจะไปค้นเอง” แม่เฒ่าเจียงตรงเข้าไปที่น้องนอนของถงซื่อทันที

ฝ่ายลูกสะใภ้รองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งเจ็บในอก

ทว่าเมื่อนึกถึงของที่ซ่อนเอาไว้หลังกลับมาจากไปเจอลูกสาว นางก็ถึงกับตื่นตระหนกขึ้นมา พยายามเข้าไปหยุดการเคลื่อนไหวของหญิงชรา

“ท่านแม่! ท่านแม่! ข้าไม่ได้เอาไข่ไปจริง ๆ อย่ายุ่งกับของของข้า ท่านแม่…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย บทที่ 22 ข้าไม่ได้ขโมยไข่

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 22 ข้าไม่ได้ขโมยไข่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 22 ข้าไม่ได้ขโมยไข่

บทที่ 22 ข้าไม่ได้ขโมยไข่

เมื่อถงซื่อกลับมาถึงบ้านด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทาก็พบว่าคนอื่น ๆ ยังไม่กลับมา นางจึงรีบเอาของไปซ่อน แล้วตรงเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็น

จากนั้นไม่นานมู่ซือเจียวก็กลับมาจากข้างนอก นางมองเข้าไปในห้องครัวแล้วถามอย่างไม่พอใจว่า “เหตุใดยังไม่ทำอาหารเย็นอีกล่ะ ชักช้าไร้ประโยชน์เสียจริง ๆ”

ในฐานะผู้อาวุโสกว่า ถงซื่อถูกมู่ซือเจียวล่วงเกิน แต่ก็กลับไม่กล้าบ่นว่าแต่อย่างใด หญิงวัยกลางคนทำได้เพียงอธิบายอย่างระมัดระวังว่า “ข้าไม่ค่อยสบายตอนที่กลับมาก็ลื่นล้มจึงไม่ค่อยมีแรง เจียวเอ๋อร์ เจ้าช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่ ช่วยจุดไฟเสียหน่อย”

มู่ซือเจียวมองมาด้วยสายตาดูถูกก่อนจะตะคอกใส่ “ท่านย่าบอกว่างานบ้านคืองานของท่าน หน้าที่ของข้าคือการดูแลตัวเองให้ดีเท่านั้น ไม่ต้องไปทำงานอะไรพวกนี้ ท่านอยากให้ข้าช่วยจุดไฟใช่หรือไม่ ได้เลย รอท่านย่ากลับมาแล้วข้าจะบอกนางให้”

“อย่า… อย่าบอกนางนะ ไม่ต้องช่วยข้าแล้ว” ถงซื่อเอ่ยแล้วก็ไปยุ่งอยู่กับงานครัวต่อไป

มู่ซือเจียวดูถูกท่าทางไร้ทางสู้ของถงซื่อ ก่อนหน้านี้มู่ซืออวี่ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่ตอนนี้นางแต่งงานออกไปแล้วจึงปีกกล้าขาแข็ง กล้าแม้กระทั่งพูดจาหาเรื่องตน ครั้นคิดเช่นนั้นแล้วความโกรธก็ปะทุขึ้นในดวงตา

หญิงสาวเอากระบวยตักน้ำขึ้นมาตั้งใจราดไปที่ถงซื่อพลางทำเป็นพูดเสียงแหลม “ตายแล้ว! โทษที ข้าเห็นว่าท่านมีเหงื่อออกก็เลยจะช่วยล้างให้สักหน่อย ท่านอาสะใภ้รองคงไม่โกรธข้าหรอกใช่หรือไม่”

หัวใจของถงซื่อเย็นยะเยือกเพราะน้ำที่รินรดตัว น้ำที่สาดลงบนใบหน้านางไหลผ่านเสื้อผ้าขาดวิ่น เดิมทีใบหน้าก็เปื้อนฝุ่นไม่น้อยอยู่แล้ว เมื่อถูกน้ำสาดก็กลายเป็นคราบโคลนบนใบหน้า ดูน่าสมเพชยิ่งกว่าเดิม

“ไม่… ไม่เป็นไร” ถงซื่อกำมือปาดน้ำออกจากใบหน้า ยิ่งทำแบบนั้นใบหน้าก็ยิ่งเลอะเป็นปื้น

มู่ซือเจียวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “รีบไปเสียที ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว”

ถงซื่อมึนงงอยู่นาน แต่ในตอนนี้กลับนึกคำพูดของลูกสาวขึ้นมาได้อย่างขึ้นใจ

หากว่าแยกบ้านไปได้…

ไม่ ไม่ ไม่ แม่สามีเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในบ้านหลังนี้ แม่เฒ่าเจียงคงไม่ยอมให้การแยกบ้านเกิดขึ้น ถ้าทำอย่างนั้น คนทั้งบ้านตระกูลมู่ต้องหันมาเล่นงานนางแน่ ๆ

แต่เมื่อคิดว่าจะต้องใช้ชีวิตน่าสมเพชเช่นนี้ต่อไป นางก็พลันรู้สึกอึดอัดใจราวกับมีหินก้อนใหญ่มาทับร่างเอาไว้

มู่เจิ้งหานกลับมาพร้อมกับฟืนสูงลิบท่วมหัวบนหลัง

ถงซื่อรีบตรงเข้าไปช่วยรับมัน หลังจากที่ขนฟืนลงแล้วก็รีบตักน้ำหนึ่งกระบวยส่งให้ลูกชาย “ดื่มน้ำก่อน”

อึก อึก อึก

มู่เจิ้งหานดื่มน้ำเพียงไม่กี่อึกก็หมดกระบวยอย่างรวดเร็ว

“เหนื่อยหรือไม่ นั่งพักก่อนเถอะ” ถงซื่อกล่าว

ทว่าเขากลับไม่ยอมนั่งลง แต่เข้ามาช่วยผู้เป็นแม่จุดไฟ ร่างเล็ก ๆ ของเด็กชายดูโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นั่นทำให้คนเป็นแม่อย่างนางรู้สึกภูมิใจ

ตอนนั้นเองที่คำพูดของลูกสาวกลับมาแล่นในหัวอีกครั้ง ลูกชายของพี่สามีได้เรียนหนังสือ แต่หานเอ๋อร์ของนางกลับทำงานหนักกว่าผู้ใหญ่เสียอีก

คนเป็นมารดาอย่างนางจะไม่ทุกข์ใจกับเรื่องนี้ได้อย่างไร ทุกอย่างเป็นเพราะความขี้ขลาดตาขาวของตนทั้งสิ้น เหตุใดถึงไม่คิดต่อต้านแม่สามีเสียบ้าง

มู่เจิ้งหานจุดไฟอยู่อย่างเงียบ ๆ เขาเป็นเด็กที่เคร่งขรึม ชอบช่วยเหลือผู้คน ทำทุกอย่างที่ถูกขอให้ทำ เป็นเด็กที่มีเหตุผลยิ่งนัก แต่การเป็นคนแบบนี้กลับทำให้ถงซื่อยิ่งรู้สึกอึดอัดใจมากกว่าเดิม

เสียงของแม่เฒ่าเจียงและมู่ซือเจียวดังมาจากด้านนอก มู่ซือเจียวกำลังบ่นกับท่านย่าของตนว่าอาสะใภ้รองสั่งให้นางช่วยจุดไฟ

แม่เฒ่าเจียงตะโกนดุด่าสาปแช่งเสียงดังทันที “กล้าดียังไงถึงมาบอกให้เจียวเอ๋อร์ของข้าไปจุดไฟ! ถ้ามือของหลานข้าหยาบกร้านจนพลาดโอกาสเป็นนายหญิง พวกแกต้องโดนดี คอยดูเถอะ”

“หึ” มู่เจิ้งหานไม่ได้ตอบรับ เพียงแค่นหัวเราะอย่างเย้ยหยัน

แม่เฒ่าเจียงก้าวเข้ามาในครัว เมื่อเห็นว่าอาหารยังไม่พร้อมก็หันมาตวาดใส่ลูกสะใภ้รอง “เหตุใดถึงยังไม่เสร็จอีก!”

“ท่านแม่ ข้าหกล้มเจ็บตัวเล็กน้อย ก็เลยทำช้าเจ้าค่ะ” ถงซื่อตัวสั่นเทาตอบกลับไป

“ไม่ตาย ๆ ไปเสียเลยล่ะ ไร้ประโยชน์สิ้นดี” หญิงชราบ่นอีกสองสามคำ “เร็วเข้า อยากให้คนแก่อย่างข้าหิวตายหรือ นังมู่ซืออวี่ปีกกล้าขาแข็งไปคนหนึ่งแล้วอย่าคิดว่าพวกเจ้าจะมาหาเรื่องปีนเกลียวกับข้าได้นะ ขนาดคนเป็นย่าอย่างข้ามันยังไม่เห็นหัว แล้วคนอย่างพวกเจ้าจะเหลือหรือ”

พี่น้องตระกูลมู่ทุกคนทยอยกลับมาจากไร่นา ถังซื่อ สะใภ้ใหญ่ของบ้านก็กลับมาด้วย

สะใภ้ใหญ่ของบ้านสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ทรงผมถูกจัดแต่งอย่างเรียบร้อย ปักปิ่นดอกไม้ประดับมุก นางออกไปข้างนอกตลอดบ่าย เสื้อผ้าไม่เคยเลอะฝุ่นดินแม้แต่น้อย นางไม่ได้ออกไปทำนา แต่เพิ่งกลับมาจากการแสดง

“ท่านแม่ ข้าเหนื่อยไปหมดแล้ว” ถังซื่อพูดเสียงหวาน

“พักสักหน่อยเถอะ เจ้าคงจะทำงานหนักมากจริง ๆ” หลังจากแม่เฒ่าเจียงพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยแล้วก็ตะโกนเสียงดังลั่นเข้าไปในครัว “ยังไม่รู้จักเอาน้ำเอาท่ามาให้สะใภ้ใหญ่อีก ไม่มีสมองเลยหรือไง คิดเองเสียบ้าง ต้องให้สั่งทุกเรื่องเลยรึ!”

ถงซื่อรองมือรองเท้าคนในตระกูลมู่ราวกับเป็นคนรับใช้ โดยที่สามีของนางก็เอาแต่ขมวดคิ้วกับเรื่องนั้น ไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ เขาเห็นว่าภรรยาทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ จึงรู้สึกไม่ต่างจากคนอื่นว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

ระหว่างที่กำลังรออาหาร แม่เฒ่าเจียงก็ไปที่เล้าไก่ตามปกติ

“หนึ่ง สอง สาม… สาม? ปกติต้องมีสี่สิ” แม่เฒ่าเจียงมองเข้าไปในเล้าไก่ก็พบว่ามีไข่อยู่ในนั้นเพียงสามฟอง

หญิงชรารีบตรงกลับเข้าไปในบ้านด้วยความโกรธ ยกขาเตะถงซื่อซึ่งกำลังเอาโจ๊กมาวางที่โต๊ะ

ชามในมือร่วงลงพื้นเสียงดังโครมคราม โจ๊กร้อน ๆ เพิ่งปรุงเสร็จใหม่หกราดใส่ร่างของคนถือ

“โอ๊ย!” ถงซื่อร้องอย่างเจ็บปวด

“ท่านแม่!” มู่เจิ้งหานเข้ามาดูด้วยความตื่นตระหนก

แต่คนอื่นกลับนั่งนิ่งมองเหตุการณ์นั้นอย่างไม่แยแส

มู่ต้าซานเปิดปากของเขาออกมาในที่สุด “ท่านแม่ มีอะไรก็พูดมาเถอะขอรับ ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร”

แม้จะเห็นว่าลูกสะใภ้ถูกโจ๊กลวก แต่แม่สามีอย่างแม่เฒ่าเจียงก็ยังคงยืนมองอย่างไม่คิดจะเข้าไปช่วย “เจ้าคิดว่าแม่ทำอะไรล่ะ ก็จัดการไอ้คนสกปรกนี่ไง ไหนบอกมาซิ เจ้าขโมยไข่ข้าไปใช่หรือไม่?!”

ถงซื่อถูกโจ๊กลวกผิว ได้แต่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด อยากจะถอดเสื้อผ้าออก แต่มีพี่สามีอยู่ที่นี่ด้วย จึงได้แต่อดทนไม่อยากทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้น ความร้อนที่ระอุในเสื้อทำให้รู้สึกราวกับกำลังถูกต้มอยู่ในหม้อโจ๊กไปด้วย

แม่สามีไม่ยอมให้นางไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ให้ออกไปจากตรงนี้ นอกจากมู่เจิ้งหานที่เข้ามาดูด้วยความเป็นห่วงแล้ว การแสดงออกของคนอื่น ๆ ล้วนไร้ซึ่งความใส่ใจ ไม่มีใครแยแสความเจ็บปวดของนาง แม้สามีที่ร่วมเตียงกันทุกคืนจะไม่ได้เย็นชาต่อนางเท่าคนอื่น แต่เขาก็ไม่ขยับกายทำสิ่งใดเลยเช่นกัน

มู่เจิ้งหานทนดูคนเป็นแม่เจ็บปวดจากความร้อนต่อไปไม่ไหว จึงวิ่งเข้าไปเอาน้ำมารดลงบนตัวนาง

ตอนนั้นเองที่ถงซื่อรู้สึกราวกับว่าได้ชีวิตกลับคืนมา

แม้ว่าความแสบร้อนจะไม่หายไป แต่นี่ก็ดีกว่าเดิมมากแล้ว

แม่เฒ่าเจียงสนใจเพียงไข่ที่หายไปหนึ่งฟองเท่านั้น นางเอาแต่สาปแช่งและสบถด่าลูกสะใภ้รองไม่หยุดปาก ดุด่าราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกัน แต่เป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางก่อน

ถงซื่อที่คิดไปว่าตัวเองชินชากับเรื่องพวกนี้มานานแล้วถึงกับใจสลาย นางยอมแพ้ต่อความพยายามมาตลอดหลายปีของตัวเอง ไม่นานก็ร้องไห้ฟูมฟายออกมา “ท่านแม่ ข้าแต่งงานเข้าบ้านนี้มาหลายปีแล้ว ข้าเคยขโมยอะไรของท่านงั้นหรือ ไม่เคยมีสักครั้ง”

“ไม่รึ! ดี งั้นข้าจะไปค้นเอง” แม่เฒ่าเจียงตรงเข้าไปที่น้องนอนของถงซื่อทันที

ฝ่ายลูกสะใภ้รองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งเจ็บในอก

ทว่าเมื่อนึกถึงของที่ซ่อนเอาไว้หลังกลับมาจากไปเจอลูกสาว นางก็ถึงกับตื่นตระหนกขึ้นมา พยายามเข้าไปหยุดการเคลื่อนไหวของหญิงชรา

“ท่านแม่! ท่านแม่! ข้าไม่ได้เอาไข่ไปจริง ๆ อย่ายุ่งกับของของข้า ท่านแม่…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+