สุดยอดชาวประมง (极品小渔民)บทที่ 437 ความเป็นความตาย

Now you are reading สุดยอดชาวประมง (极品小渔民) Chapter บทที่ 437 ความเป็นความตาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 437 ความเป็นความตาย

บทที่ 437 ความเป็นความตาย

ฉู่เหินรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังอยู่ในขุมนรก รอบข้างนั้นเต็มไปด้วยเปลวไฟที่ไม่ปกติ มันไม่ได้เผาไหม้แค่ร่างกายเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงจิตวิญญาณทั้งหมด ฉู่เหินพยายามต่อต้านแต่ก็ไร้ประโยชน์

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ฉู่เหินรู้สึกราวกับว่าวิญญาณของตัวกำลังจะสูญสลายไป แต่จู่ ๆ ก็มีลมสายหนึ่งพัดพาร่างของฉู่เหินไปที่ไหนสักแห่ง คล้ายกับว่าที่ทะเลเพลิงแห่งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นยังไม่ใช่จุดหมายปลายทาง เขาในตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้วกันแน่! เพราะทุกแห่งทุกอย่างมันดูมึนงงไปหมด

จนกระทั่งตอนนี้เขามองเห็นสภาพแวดล้อมสองแห่ง หนึ่งในนั้นดูเบาสบาย ไม่มีความทุกข์ร้อนหรือไม่สบายใจ ราวกับขอเพียงแค่ได้มาอยู่ที่นี่ก็จะไม่มีเรื่องราวอะไรให้หนักใจอีกแล้ว

อีกทีหนึ่งไม่แม้มองไปแล้วเห็นแต่แสงสีเลือด ทั่วทุกพื้นที่เต็มไปด้วยกลิ่นแห่งความตาย แต่กลับมองเห็นเงาร่างของคนปรากฏแบบไม่ค่อยชัดเจน ฉู่เหินที่มองอยู่ด้วยสายตาพร่ามัวจ้องไปที่เงาร่างเหล่านั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนพวกนี้เป็นใคร

ชายหนุ่มได้แต่ทำตัวเป็นคนโง่ ยืนจด ๆ จ้อง ๆ ทั้งสองสถานที่อยู่ตรงนั้น เขาไม่รู้ว่าตัวเองมาที่นี่ได้ยังไง เวลาค่อย ๆ หมุนเปลี่ยน ทั้งสองสถานที่นั้นก็ค่อย ๆ เลือนราง และในตอนนี้เองก็คล้ายจะมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในโสตประสาทบอกเขาว่าถ้าไม่รีบเลือกตอนนี้ น่ากลัวว่าจะพลาดไปทั้งสองอย่าง

และในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะเลือกสถานที่สุขสงบนั่น ก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ยินเสียง ๆ หนึ่งพูดขึ้นว่า “ฉันจะเลือกเส้นทางชีวิตตัวเอง และเดินด้วยสองเท้าของตัวเอง นั่นสิถึงจะเรียกว่าชีวิต!”

น้ำเสียงนั่น ตั้งแต่เริ่มแรกนั้นนุ่มนวลอ่อนโยน แต่เมื่อผ่านไปก็เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่มั่งคงและแข็งกร้าว จนทำให้สายตาที่พร่ามั่วของเขาค่อย ๆ แจ่มใส เพียงแต่น่าเสียดายที่ตั้งแต่แรก วิญญาณของเขาไม่สามารถตระหนักได้ด้วยตัวเอง!

สิ่งที่เลือกยากที่สุดในชีวิตคนคือ ทางรอดชีวิต กับทางไปสู่ความตาย! น่าเสียดายที่ฉู่เหินไม่รู้ว่าอันไหนคือทางรอด อันไหนคือทางไปสู่ความตาย

บนโลก เกาชิงหนานและหลิวเสี่ยวชิง หญิงทั้งสองนั่งสมาธิอยู่ตรงนั้นนานแล้ว พร้อมกับเรียกชื่อฉู่เหิน พวกเธอเชื่อว่าจะสามารถสื่อสารกับวิญญาณของฉู่เหินได้ ด้วยเสียงเรียกของพวกเธอ! พวกเธอก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลไหม แต่ไม่ว่าจะยังไงพวกเธอก็ขอทำให้สิ่งที่ตัวเองทำได้ในตอนนี้

ไม่เพียงหญิงต่างวัยสองคนที่ทำแบบนี้ ที่ด้านนอกความกว้างเปล่านั้นก็มีเหวินสุ่ยเซี่ยที่ท้องใหญ่มากแล้ว ๆ นั่งสมาธิอยู่เช่นเดียวกัน หญิงสาวเอาแต่เรียกชื่อของฉู่เหินไม่หยุด ซึ่งการกระทำทุกสิ่งอย่างนี้ก็อยู่ในสายตาของเหมิงเอ้อที่นัยน์ตาสั่นไหวครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเธอก็หลับตาลงอย่างเงียบ ๆ

ระหว่างเธอกับฉู่เหินนั้นเหมือนมีสะพานที่เชื่อมโยงถึงกันอยู่ ภายในเวลาไม่นานหญิงสาวก็สัมผัสถึงตำแหน่งของฉู่เหินได้ ทว่าตอนนี้ฉู่เหินไม่ได้มีสติเต็มร้อย ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เธอไม่สามารถช่วยอะไรฉู่เหินได้นอกจากยืนมองอย่างเงียบ ๆ

หญิงสาวสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าฉู่เหินกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ นี่คือตัวตัดสินว่าเขาจะอยู่หรือตาย! อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่เลือกนั้นเขาจะไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ทั้งหมดจะทำตามสัญชาตญาณทั้งหมด ซึ่งคนส่วนมากก็มักจะเลือกเส้นทางไปสู่ความตาย

เพราะมีเพียงแค่ความตายเท่านั้นถึงจะอยู่อย่างสงบได้ คนส่วนมากมักจะเบื่อหน่อยชีวิตที่วุ่นวาย และหวังว่าจะมีชีวิตที่สงบสุขทั้งนั้น แต่ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน อาจมีเพียงแค่ความตายถึงจะสามารถหาเจอ

ตอนนี้เหมิงเอ้อรู้สึกร้อนรนขึ้นมาแล้ว ทันใดนั้นเธอก็คิดที่จะควบคุมร่างกายของฉู่เหินด้วยน้ำตาของเธอที่อยู่ในร่างของเขา บางทีคงมีเพียงเธอเท่านั้นที่จะเรียกสติและรักษาชีวิตเขาได้ อย่างไรก็ตาม ตอนที่เธอกำลังลงมือ อยู่ ๆ ฉู่เหินก็เกิดการเปลี่ยนแปลง

“ชีวิตของฉันไม่ต้องการให้ใครมากำหนดเส้นทางชีวิต เพราะฉันจะใช้สองขาของตัวเองก้าวเดิน! โลกที่นี่ไม่มีที่ไหนที่จะสามารถทำให้ฉัน ฉู่เหิน อยู่ได้นาน ๆ จุดหมายของฉันก็คือการหาจักรวาลที่สงบสุขก็เท่านั้น!” ฉู่เหินที่สายตาพร่ามัวพูดออกมาเองแบบนั้น

ต่อมาน้ำตาของหญิงสาวที่อยู่ในร่างกายเขาก็ค่อย ๆ เปล่งแสงออกมา เมื่อแสงที่ออกมาจากน้ำตาของหญิงสาวเปล่งออกมา ดวงตาของฉู่เหินก็ค่อย ๆ มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น ก่อนที่สติของเขาจะกลับคืนมาในที่สุด!

หลังจากฉู่เหินได้สติคืนมาแล้ว เขาก็พบว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสถานที่ที่แปลกมาก ๆ แห่งหนึ่ง! ผิวด้านนอกของเขาถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟร้อนแรง มันแรงมากจนทำให้ผิวด้านนอกของชายหนุ่มไหม้เกรียมไปส่วนหนึ่ง ถ้าเขาได้สติช้ากว่านี้ น่ากลัวว่าผิวของเขาคงไหม้จนไร้หนทางเยียวยาแล้ว

ฉู่เหินห้ามเหงื่อเย็น ๆ ที่ไหลท่วมหัวไม่ได้เลย เขารู้สึกว่าเปลวไฟนี้เหมือนกับปีศาจเกินไปแล้ว มันไม่เพียงจะเผาผิวหนังตัวเอง มันยังสามารถเผาจิตวิญญาณของเขาได้ด้วย! โชคดีที่เขาจิตใจมั่นคง ไม่งั้นชีวิตเขาคงเป็นอันตรายกว่านี้แล้ว แต่แม้ว่าชายหนุ่มจะได้สติแล้ว แต่อันตรายที่ว่าก็ยังคงไม่หายไป

อาศัยเปลวไฟเหล่านี้ หากอยากจะเอาชีวิตเขาก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ในใจของชายหนุ่มคิดว่าตัวเองควรจะหาวิธีจัดการอย่างไงดี จู่ ๆ สมองเขาก็นึกถึงคำขึ้นมาได้สามคำ

ว่าแล้วฉู่เหินก็นั่งขัดสมาดและโคจรพลังอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เขาโคจรพลัง เปลวไฟด้านนอกก็ถูกดูดเข้ามาในร่างอย่างรวดเร็ว! หลังจากผ่านไปนาน เพียงชั่วพริบตาร่างกายของเขาเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลง ผิวหนังของชายหนุ่มเริ่มมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น มันคือร่างกายที่ดูจะขยายใหญ่โตขึ้น!

ที่ทำให้ฉู่เหินรู้สึกหมดคำพูดก็คือ เมื่อก่อนกล้ามเนื้อของเขาไม่ค่อยมีมากเท่าไร มาตอนนี้มันออกจะมากเกินไปหน่อยแล้ว!

ระหว่างที่เขากำลังชื่นชมร่างกายตัวเองอยู่นั้น ที่ด้านนอกร่างกายของชายหนุ่มก็ค่อย ๆ แข็งขึ้นทีละนิด ๆ เช่นกัน ถ้ารู้ว่าร่างกายของตัวเองจะกลายเป็นแบบนี้ ชายหนุ่มคงไม่หัวเราะเยาะร่างกายของเจ้าหน้าบากในตอนนั้นหรอก!

เปลวไฟด้านนอกนั้น หลังจากเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มันก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายยังไม่ตาย ทำให้ในใจของมันเกิดความแปลกใจ ดังนั้นมันเลยตัดสินใจเพิ่มเปลวไฟเข้าไปอีก มันไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าทำไมเจ้าแมลงตัวนี้ยังมีชีวิตรอดอยู่อีก มันเป็นไปได้ยังไง!

เพราะตั้งแต่มันเกิดมา ไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตไหนที่ไม่ตายในกองเพลิงของมันสักตัว! ดังนั้นตอนที่เผาฉู่เหิน อีกฝ่ายก็ควรจะตายได้แล้วซิ!

ฉู่เหินที่กำลังโคจรพลังอย่างรวดเร็วอยู่นั้น จู่ ๆ ก็สัมผัสได้ว่าเปลวไฟด้านนอกเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้น ด้วยความจนปัญญา เขาเลยทำได้แค่เพิ่มความเร็วในการโคจรเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การโคจรพลังก็มาถึงจุดสูงสุดแล้ว แม้ว่าจะเพิ่มให้เร็วแค่ไหนก็เร็วได้ไม่กี่ส่วนเท่านั้น

ทว่าทันใดนั้นน้ำตาจากหญิงสาวที่เดิมก็เปล่งแสงอยู่แต่เดิมนั้น จู่ ๆ แสงที่ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนก็ปกคลุมทั่วร่างของฉู่เหินทันที! และก็เป็นเวลาเดียวกับที่ฉู่เหินรู้สึกว่าตัวเองสามารถโคจรพลังได้เร็วยิ่งกว่าเดิม 10 เท่า

เพราะแบบนี้ทำให้เปลวไฟด้านนอก ไม่เพียงแต่ใช้เปลวไฟตัวเองทำอะไรชายหนุ่มไม่ได้ มันกลับยิ่งเพิ่มพลังให้เขามากยิ่งกว่าเดิม เวลาค่อย ๆ ไหลผ่านไป ฉู่เหินก็สัมผัสได้ว่าร่างกายตัวเองยิ่งนานเข้าก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น แม้แต่กำปั้นยังเต็มไปด้วยพลังพิเศษสายหนึ่งอีกด้วย!

ฉู่เหินเชื่อว่าตอนนี้หากเขาปล่อยหมัดออกไปธรรมดา ๆ น่ากลัวว่าจะเปรียบชั้นได้กับหมัดกิเลน และก็เป็นเวลาเดียวกับที่วิชาฝึกฝนโคจรพลังเลื่อนมาเป็นขั้นสองระดับสูง!

นี้ทำให้ฉู่เหินอดไม่ได้ที่จะแผดเสียงคำรามออกมา เขารู้สึกได้เลยว่าร่างกายของตัวเองในตอนนี้ต่างออกไปแล้ว การหลอมรวมสามจิตวิญญาณอะไรนั้นจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ขอแค่มีเปลวไฟนี้เคลือบผิวเขาไว้ อะไรก็ไม่ใช่ปัญหา! จนตอนนี้เขามีความคิดว่าจะทำยังไงถึงจะเอาเปลวไฟนี้กลับไปได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด