สุดยอดชาวประมง (极品小渔民) บทที่ 83 วิวัฒนาการของเสี่ยวหง

Now you are reading สุดยอดชาวประมง (极品小渔民) Chapter บทที่ 83 วิวัฒนาการของเสี่ยวหง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 83 วิวัฒนาการของเสี่ยวหง

หลังจากนั้น ภายใต้การซักถามอย่างต่อเนื่องของฉู่เหิน ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าสิ่งที่เจ้าตัวน้อยต้องการนั้นก็คือสิ่งที่อยู่ในสมองของอินทรียักษ์

หลังจากนั้นไม่นาน สมองของอินทรีก็ถูกฉู่เหินแบ่งออกเป็นสองชิ้น จนถึงตอนนั้น แม้แต่เจ้านกคีรีบูนน้อยก็อดตื่นเต้นไม่ได้

ในจังหวะนั้นเอง ภายใต้สายตาของฉู่เหิน เขาก็เห็นว่าเจ้านกตัวน้อยมันได้กลืนกิน ‘ตันหวั่น’ ขนาดเท่ากับนิ้วมือนิ้วหนึ่งที่อยู่ในสมองของอินทรีลงไป หลังเจ้าตัวน้อยกลืนลงไป มันก็นอนลงตรงนั้นและหลับไป ฉู่เหินไม่รู้จะทำยังไงกับเจ้านกน้อยนี่ดี ดังนั้นเขาจึงอุ้มมันขึ้นและใส่มันไว้ในพื้นที่จัดเก็บ

ตอนนี้เขายังนิ่งนอนใจไม่ได้ เพราะเจ้านกน้องหลับใหลอยู่เพียงลำพังในป่า มันอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ถ้ามีงูตัวเล็ก ๆ ผ่านมาแล้วกลืนมันลงไป ขณะที่ฉู่เหินเตรียมพร้อมจัดการกับศพของสัตว์ร้ายทั้งสอง เขาก็รู้สึกได้ว่าอารมณ์ของเสี่ยวหงดูจะปั่นป่วนอยู่ในแหวนของเขา

แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฉู่เหินรู้ว่าต้องมีสิ่งผิดปกติเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงรีบดึงเอาเสี่ยวหงออกมา หลังจากควานหาอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดกระต่ายน้อยเสี่ยวหงก็ถูกปลดปล่อยโดยฉู่เหิน

ฉู่เหินรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้าง เพราะบทเรียนก่อนหน้าจากนกคีรีบูน ฉู่เหินอดคิดไม่ได้ว่า เจ้าตัวน้อยตัวนี้พยายามจะกินอะไร

“เสี่ยวหง อยากกินอะไรใช่ไหม?” ฉู่เหินมองเสี่ยงหงอย่างอยากรู้ จากนั้นเจ้ากระต่ายมันก็หมุนตัวไปมา ก่อนจะกระโดดลงบนซากงูเหลือมยักษ์ พร้อมกับยื่นเท้าไปไว้ที่หัวของมัน และกรีดร้องด้วยท่าทางร้อนอกร้อนใจออกมา

“เธออยากกินอะไรจากงูเหลือมยักษ์ตัวนี้ล่ะ คงไม่ใช่สมองนี่หรอกนะ” หลังฉู่เหินพูดจบประโยค เขาก็เห็นเสี่ยวหงพยักหน้ารัวแรง นี่มันคืออะไรกันแน่นะ?

ด้วยประสบการณ์ก่อนหน้า จึงใช้เวลาไม่นานนัก ในที่สุดฉู่เหินก็ทิ้งส่วนหัวของงูเหลือมไป แน่นอนว่าเขาได้ทิ้งหลังผ่าส่วนหัวของงูเหลือมเรียบร้อยแล้ว ซึ่งภายในนั้นก็มีชิ้นส่วนขนาดเท่ากับปลายนิ้วเช่นเดียวกัน หลังจากมองเห็น เสี่ยวหงก็วิ่งเข้าใส่ในทันที แต่ยังไม่ที่จะกิน มันก็หันมาจูบมือของฉู่เหิน 2-3 ครั้งแบบแนบชิด ก่อนจะกลืนยาลงไป

หลังกลืนยาเม็ดนี้เข้าไป ฉู่เหินรู้สึกได้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเจ้าตัวน้อย เพราะเขากับเสี่ยวหงมีสัญญานาย-บ่าว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนร่างกายของเสี่ยวหงกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงในขณะนี้

ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นมีประโยชน์ด้านใด แต่เขาก็คิดว่านี่มันอาจเป็นโอกาสสำหรับเสี่ยวหงที่จะเกิดใหม่ เจ้ากระต่ายนี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่อต้านสวรรค์ หากมันเปลี่ยนร่างอีกครั้ง เขาก็ไม่รู้ว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหน

ฉู่เหินตั้งตารอดูสิ่งนี้จริง ๆ ถ้าเจ้าตัวน้อยนี้มีพลังการต่อสู้ทรงพลัง มันจะต้องเป็นเจ้าตัวร้ายในอนาคตแน่ แต่แล้วเสี่ยวหงก็ตัวสั่นเบา ๆ หลังจากกินสิ่งนั้นลงไป

ก่อนที่มันจะเดินไปมาเหมือนกำลังเมา และสุดท้ายก็ไปได้ไม่เกิน 10 ก้าวในที่สุดเจ้ากระต่ายก็ล้มลงและผล็อยหลับไป ฉู่เหินไม่ได้เตรียมใจรับสิ่งนี้ แม้ว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับนกคีรีบูนตอนก่อนหน้านี้ด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเห็นว่าเรื่องราวได้เป็นแบบนี้แล้ว ดังนั้นฉู่เหินจึงโบกมืออีกครั้งเพื่อเก็บเสี่ยวหงเข้าไปในแหวน

จากนั้นซากเลือดเนื้อของสัตว์ร้ายทั้งสองก็ถูกนำมารวมกัน และถูกนำไปเก็บไว้เช่นกัน อย่างที่รู้ ถึงแม้จะกินมันเองไม่ได้ แต่ถ้านำกลับไปให้ปลาเกล็ดขาวกินก็คงจะดีกว่าทิ้งไว้เสียเปล่า

ในขั้นที่สามของการเลี้ยงดูปลาเกล็ดขาว เจ้าปลาปีศาจต้องการอาหารจำนวนมาก เพราะที่มีอยู่ในมือนั้นเป็นจำนวนน้อยนิด มันจึงไม่พอ แต่เขายังรู้ด้วยว่าบนโลกยังมีสัตว์ร้ายที่ใหญ่กว่านี้อีกมาก แต่มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะพบสัตว์ร้ายเหล่านั้น

เพราะสิ่งนี้ เขาจึงเกิดความคิดสำหรับสัตว์ร้ายเหล่านี้ หากเจ้าสัตว์ดุร้ายนำไปใช้ได้หลังถูกกิน ฉู่เหินอาจนำเนื้อของพวกมันเป็นแหล่งอาหารสำหรับการเลี้ยงปลาเกล็ดขาว หลังทำความสะอาดแล้ว ฉู่เหินไปยังแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่ด้านหน้าเพื่อชำระล้างคราบเลือด และจากด้านในแหวน เขาดึงเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาและสวมใส่ ก่อนจะออกเดินทางตรงไปยังป่าด้านนอก

เหตุผลที่ฉู่เหินไม่ได้ออกไปทันทีนั้น เพราะการเข้ามาในป่านั้นเป็นเรื่องยากมาก อีกอย่างเขาก็อยากที่จะเดินชมให้ทั่ว มันคงจะดีถ้าหากได้ของดีกลับไป แต่แย่หน่อยที่ป่านั้นกว้างใหญ่มาก แม้จะมีสมบัติมากมายในนั้น แต่ฉู่เหินกลับโชคไม่ดี เพราะเขาดันไม่พบเลยสักอย่าง

ระหว่างการเดินชมทั่ว ๆ เขาไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังไปที่ไหน ฉู่เหินรู้แค่ว่ามีภูเขาสูงชันมากที่ด้านหน้า แต่เขาก็เชื่อว่ามันคงไม่ยากที่จะปีนภูเขานี้ด้วยร่างกายอันแข็งแรงของตน

แต่ขณะที่เขาเตรียมตัวจะปีนป่าย ฉู่เหินก็ดันถูกขัดจังหวะด้วยเสียงคำรามของอะไรบางอย่าง เมื่อเขาหันกลับไปที่ด้านหลัง ชายหนุ่มก็พบเข้ากับวัวกระทิงสีน้ำตาลแดงสองตัวยืนที่ด้านหลัง ดูจากความสูงของวัวกระทิงแล้ว มันมีขนาดใหญ่กว่าวัวธรรมดามากนัก เกรงว่ามันน่าจะมีลำตัวกว้างกว่า 3 เมตร ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับรวมความสูงที่ราว ๆ 1.67 เมตร เจ้าสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าเขาในตอนนี้ ทำให้ฉู่เหินรู้สึกเหมือนกับตัวเขาเป็นคนแคระตัวเล็กยังไงยังงั้นเลยทีเดียว

ตามปกติแล้ว วัวกระทิงเป็นสัตว์กินหญ้า แต่ในยามนี้สายตาของมันกลับจ้องมองไปที่มนุษย์อย่างดุร้าย นั่นทำให้ฉู่เหินรู้สึกระแวดระวังขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าเลี่ยงไม่ได้ เขาก็ได้แต่ส่ายหน้า และดึงเอาดาบวงพระจันทร์มาถือในมืออีกครั้ง ด้วยท่าทีเตรียมพร้อมขณะที่ดูเจ้าสัตว์ตัวใหญ่ทั้งสอง

ในขณะเดียวกัน เขาก็ใช้จังหวะนั้นค่อย ๆ ถอยออกไป ตราบใดที่เขายังปีนเขาลูกนี้ได้ เจ้าวัวกระทิงทั้งสองก็ไม่อาจตามได้ทันแน่ เมื่อดูจากการประเมินของฉู่เหินแล้ว วัวกระทิงทั้งสองจะไม่พุ่งเข้าโจมตีเองเป็นแน่ เพราะข้อแรก พวกมันอยู่ห่างออกไปมาก และข้อสองวัวกระทิงคือสัตว์กินหญ้า เพราะฉะนั้นพวกมันไม่สามารถสู้ได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่เรียกได้ว่าโชคดีในโชคร้าย มีนกที่ตายแล้วอยู่ตรงหน้าพวกมัน แต่นั่นก็เหมือนว่ามันจะไม่ใช่อาหารที่ถูกใจสำหรับเจ้าวัวกระทิง ดังนั้นพวกมันจึงไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง และในจังหวะนั้นเอง ก็ดูเหมือนว่าฉู่เหินจะคิดผิดอีกครา เพราะแม้เจ้าวัวกระทิงทั้งสองอาจเคยเป็นสัตว์กินหญ้ามาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ตอนนี้พวกมันได้เปลี่ยนไปแล้ว

หลังการเปลี่ยนแปลง เจ้าวัวกระทิงก็กลายเป็นสัตว์ดุร้าย ปากและฟันที่เดิมทีค่อนข้างโล่ง ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยแนวฟันแหลมคม ดวงตาของมันแดงก่ำราวกับเลือด

ก่อนฉู่เหินทันตั้งตัว วัวกระทิงทั้งสองพุ่งโจมตีเขาทันที เมื่อเสียงคำรามดังขึ้น เจ้าวัวกระทิงก็ตะกุยกีบเท้าทั้งสี่และกระแทกเข้ากับฉู่เหิน ยามที่วัวกระทิงทั้งสองพุ่งเข้ามา ฉู่เหินรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง มันต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ดูราวกับว่ามีบางสิ่งที่กระตุ้นเจ้าสัตว์เหล่านี้ให้กลายเป็นสัตว์ดุร้าย

หรือว่าแถวนี้เคยมีดาวอุกกาบาตตกลงมางั้นเหรอ? บางทีอาจเป็นอุกกาบาตนอกโลกที่สามารถปล่อยพลังงานคลื่นชนิดพิเศษออกมา ซึ่งมันก็คงไปกระตุ้นเจ้าสัตว์เหล่านี้ละมั้ง นอกจากเรื่องนี้แล้วฉู่เหินไม่คิดถึงความเป็นไปได้อื่นอีกเลย

แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีโอกาสได้ทันคิด เพราะเมื่อเขาเห็นเจ้าสัตว์ร้ายทั้งสองพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด ชนิดที่ว่าเพียงกะพริบตา 2-3 ครั้ง พวกมันก็แทบจะมาอยู่ข้างฉู่เหินเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง เพื่อส่งแรงให้ตัวเองพุ่งทะยานขึ้นไปบนอากาศ ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉู่เหินรอดพ้นจากแรงปะทะของวัวกระทิงทั้งสองได้อย่างงดงาม

แต่ดูเหมือนวัวกระทิงทั้งสองไม่อยากปล่อยเขาไปง่ายนัก หลังจากนั้นมันก็พุ่งเข้าใส่ฉู่เหินอีกครา มันไม่ง่ายที่จะรับมือกับสัตว์ขนาดมหึมาเหล่านี้ โดยเฉพาะพวกวัวที่มีลำตัวหนาใหญ่

ฉู่เหินฟันลงไปหนึ่งดาบ แต่หนังของวัวกระทิงไม่มีร่องรอยเลย เห็นได้ว่าหนังของวัวกระทิงหนาเพียงใด

ขณะหลบแรงปะทะ ฉู่เหินเริ่มคิดอย่างรวดเร็วถึงจุดอ่อนของวัว เขาจำได้ว่าสมัยยังเด็ก พี่ชายเคยสอนเขาไว้ว่า อย่าใช้มีดฆ่าวัว แต่ให้ใช้ค้อนหรือท่อนไม้ ตราบใดที่เขาใช้พลังโจมตีระหว่างเจ้าสัตว์มีเขาทั้งสองอย่างเต็มแรง นั่นอาจพอช่วยได้บ้าง หากมันได้ผลดี เขาอาจสังหารคู่ต่อสู้ด้วยไม้ท่อนเดียวได้ แถมนี่ยังเป็นจุดอ่อนข้อเดียวในตัววัวอีกด้วย

หลังคิดสิ่งนี้แล้ว ฉู่เหินเปลี่ยนท่าทีดาบวงพระจันทร์ทันที ด้วยการหันสันดาบลง และปลายดาบชี้ไปด้านหน้า ทันทีที่วัวกระทิงโจมตีอีกครั้ง เขาจะพุ่งทะยานขึ้นไปและเหยียบหลังวัวกระทิงไว้ จากนั้นก็ใช้สันดาบวางลงไประหว่างเขาวัวกระทิงและทุบมันอย่างแรง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สุดยอดชาวประมง (极品小渔民) บทที่ 83 วิวัฒนาการของเสี่ยวหง

Now you are reading สุดยอดชาวประมง (极品小渔民) Chapter บทที่ 83 วิวัฒนาการของเสี่ยวหง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 83 วิวัฒนาการของเสี่ยวหง

หลังจากนั้น ภายใต้การซักถามอย่างต่อเนื่องของฉู่เหิน ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าสิ่งที่เจ้าตัวน้อยต้องการนั้นก็คือสิ่งที่อยู่ในสมองของอินทรียักษ์

หลังจากนั้นไม่นาน สมองของอินทรีก็ถูกฉู่เหินแบ่งออกเป็นสองชิ้น จนถึงตอนนั้น แม้แต่เจ้านกคีรีบูนน้อยก็อดตื่นเต้นไม่ได้

ในจังหวะนั้นเอง ภายใต้สายตาของฉู่เหิน เขาก็เห็นว่าเจ้านกตัวน้อยมันได้กลืนกิน ‘ตันหวั่น’ ขนาดเท่ากับนิ้วมือนิ้วหนึ่งที่อยู่ในสมองของอินทรีลงไป หลังเจ้าตัวน้อยกลืนลงไป มันก็นอนลงตรงนั้นและหลับไป ฉู่เหินไม่รู้จะทำยังไงกับเจ้านกน้อยนี่ดี ดังนั้นเขาจึงอุ้มมันขึ้นและใส่มันไว้ในพื้นที่จัดเก็บ

ตอนนี้เขายังนิ่งนอนใจไม่ได้ เพราะเจ้านกน้องหลับใหลอยู่เพียงลำพังในป่า มันอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ถ้ามีงูตัวเล็ก ๆ ผ่านมาแล้วกลืนมันลงไป ขณะที่ฉู่เหินเตรียมพร้อมจัดการกับศพของสัตว์ร้ายทั้งสอง เขาก็รู้สึกได้ว่าอารมณ์ของเสี่ยวหงดูจะปั่นป่วนอยู่ในแหวนของเขา

แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฉู่เหินรู้ว่าต้องมีสิ่งผิดปกติเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงรีบดึงเอาเสี่ยวหงออกมา หลังจากควานหาอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดกระต่ายน้อยเสี่ยวหงก็ถูกปลดปล่อยโดยฉู่เหิน

ฉู่เหินรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้าง เพราะบทเรียนก่อนหน้าจากนกคีรีบูน ฉู่เหินอดคิดไม่ได้ว่า เจ้าตัวน้อยตัวนี้พยายามจะกินอะไร

“เสี่ยวหง อยากกินอะไรใช่ไหม?” ฉู่เหินมองเสี่ยงหงอย่างอยากรู้ จากนั้นเจ้ากระต่ายมันก็หมุนตัวไปมา ก่อนจะกระโดดลงบนซากงูเหลือมยักษ์ พร้อมกับยื่นเท้าไปไว้ที่หัวของมัน และกรีดร้องด้วยท่าทางร้อนอกร้อนใจออกมา

“เธออยากกินอะไรจากงูเหลือมยักษ์ตัวนี้ล่ะ คงไม่ใช่สมองนี่หรอกนะ” หลังฉู่เหินพูดจบประโยค เขาก็เห็นเสี่ยวหงพยักหน้ารัวแรง นี่มันคืออะไรกันแน่นะ?

ด้วยประสบการณ์ก่อนหน้า จึงใช้เวลาไม่นานนัก ในที่สุดฉู่เหินก็ทิ้งส่วนหัวของงูเหลือมไป แน่นอนว่าเขาได้ทิ้งหลังผ่าส่วนหัวของงูเหลือมเรียบร้อยแล้ว ซึ่งภายในนั้นก็มีชิ้นส่วนขนาดเท่ากับปลายนิ้วเช่นเดียวกัน หลังจากมองเห็น เสี่ยวหงก็วิ่งเข้าใส่ในทันที แต่ยังไม่ที่จะกิน มันก็หันมาจูบมือของฉู่เหิน 2-3 ครั้งแบบแนบชิด ก่อนจะกลืนยาลงไป

หลังกลืนยาเม็ดนี้เข้าไป ฉู่เหินรู้สึกได้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเจ้าตัวน้อย เพราะเขากับเสี่ยวหงมีสัญญานาย-บ่าว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนร่างกายของเสี่ยวหงกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงในขณะนี้

ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นมีประโยชน์ด้านใด แต่เขาก็คิดว่านี่มันอาจเป็นโอกาสสำหรับเสี่ยวหงที่จะเกิดใหม่ เจ้ากระต่ายนี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่อต้านสวรรค์ หากมันเปลี่ยนร่างอีกครั้ง เขาก็ไม่รู้ว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหน

ฉู่เหินตั้งตารอดูสิ่งนี้จริง ๆ ถ้าเจ้าตัวน้อยนี้มีพลังการต่อสู้ทรงพลัง มันจะต้องเป็นเจ้าตัวร้ายในอนาคตแน่ แต่แล้วเสี่ยวหงก็ตัวสั่นเบา ๆ หลังจากกินสิ่งนั้นลงไป

ก่อนที่มันจะเดินไปมาเหมือนกำลังเมา และสุดท้ายก็ไปได้ไม่เกิน 10 ก้าวในที่สุดเจ้ากระต่ายก็ล้มลงและผล็อยหลับไป ฉู่เหินไม่ได้เตรียมใจรับสิ่งนี้ แม้ว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับนกคีรีบูนตอนก่อนหน้านี้ด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเห็นว่าเรื่องราวได้เป็นแบบนี้แล้ว ดังนั้นฉู่เหินจึงโบกมืออีกครั้งเพื่อเก็บเสี่ยวหงเข้าไปในแหวน

จากนั้นซากเลือดเนื้อของสัตว์ร้ายทั้งสองก็ถูกนำมารวมกัน และถูกนำไปเก็บไว้เช่นกัน อย่างที่รู้ ถึงแม้จะกินมันเองไม่ได้ แต่ถ้านำกลับไปให้ปลาเกล็ดขาวกินก็คงจะดีกว่าทิ้งไว้เสียเปล่า

ในขั้นที่สามของการเลี้ยงดูปลาเกล็ดขาว เจ้าปลาปีศาจต้องการอาหารจำนวนมาก เพราะที่มีอยู่ในมือนั้นเป็นจำนวนน้อยนิด มันจึงไม่พอ แต่เขายังรู้ด้วยว่าบนโลกยังมีสัตว์ร้ายที่ใหญ่กว่านี้อีกมาก แต่มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะพบสัตว์ร้ายเหล่านั้น

เพราะสิ่งนี้ เขาจึงเกิดความคิดสำหรับสัตว์ร้ายเหล่านี้ หากเจ้าสัตว์ดุร้ายนำไปใช้ได้หลังถูกกิน ฉู่เหินอาจนำเนื้อของพวกมันเป็นแหล่งอาหารสำหรับการเลี้ยงปลาเกล็ดขาว หลังทำความสะอาดแล้ว ฉู่เหินไปยังแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่ด้านหน้าเพื่อชำระล้างคราบเลือด และจากด้านในแหวน เขาดึงเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาและสวมใส่ ก่อนจะออกเดินทางตรงไปยังป่าด้านนอก

เหตุผลที่ฉู่เหินไม่ได้ออกไปทันทีนั้น เพราะการเข้ามาในป่านั้นเป็นเรื่องยากมาก อีกอย่างเขาก็อยากที่จะเดินชมให้ทั่ว มันคงจะดีถ้าหากได้ของดีกลับไป แต่แย่หน่อยที่ป่านั้นกว้างใหญ่มาก แม้จะมีสมบัติมากมายในนั้น แต่ฉู่เหินกลับโชคไม่ดี เพราะเขาดันไม่พบเลยสักอย่าง

ระหว่างการเดินชมทั่ว ๆ เขาไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังไปที่ไหน ฉู่เหินรู้แค่ว่ามีภูเขาสูงชันมากที่ด้านหน้า แต่เขาก็เชื่อว่ามันคงไม่ยากที่จะปีนภูเขานี้ด้วยร่างกายอันแข็งแรงของตน

แต่ขณะที่เขาเตรียมตัวจะปีนป่าย ฉู่เหินก็ดันถูกขัดจังหวะด้วยเสียงคำรามของอะไรบางอย่าง เมื่อเขาหันกลับไปที่ด้านหลัง ชายหนุ่มก็พบเข้ากับวัวกระทิงสีน้ำตาลแดงสองตัวยืนที่ด้านหลัง ดูจากความสูงของวัวกระทิงแล้ว มันมีขนาดใหญ่กว่าวัวธรรมดามากนัก เกรงว่ามันน่าจะมีลำตัวกว้างกว่า 3 เมตร ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับรวมความสูงที่ราว ๆ 1.67 เมตร เจ้าสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าเขาในตอนนี้ ทำให้ฉู่เหินรู้สึกเหมือนกับตัวเขาเป็นคนแคระตัวเล็กยังไงยังงั้นเลยทีเดียว

ตามปกติแล้ว วัวกระทิงเป็นสัตว์กินหญ้า แต่ในยามนี้สายตาของมันกลับจ้องมองไปที่มนุษย์อย่างดุร้าย นั่นทำให้ฉู่เหินรู้สึกระแวดระวังขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าเลี่ยงไม่ได้ เขาก็ได้แต่ส่ายหน้า และดึงเอาดาบวงพระจันทร์มาถือในมืออีกครั้ง ด้วยท่าทีเตรียมพร้อมขณะที่ดูเจ้าสัตว์ตัวใหญ่ทั้งสอง

ในขณะเดียวกัน เขาก็ใช้จังหวะนั้นค่อย ๆ ถอยออกไป ตราบใดที่เขายังปีนเขาลูกนี้ได้ เจ้าวัวกระทิงทั้งสองก็ไม่อาจตามได้ทันแน่ เมื่อดูจากการประเมินของฉู่เหินแล้ว วัวกระทิงทั้งสองจะไม่พุ่งเข้าโจมตีเองเป็นแน่ เพราะข้อแรก พวกมันอยู่ห่างออกไปมาก และข้อสองวัวกระทิงคือสัตว์กินหญ้า เพราะฉะนั้นพวกมันไม่สามารถสู้ได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่เรียกได้ว่าโชคดีในโชคร้าย มีนกที่ตายแล้วอยู่ตรงหน้าพวกมัน แต่นั่นก็เหมือนว่ามันจะไม่ใช่อาหารที่ถูกใจสำหรับเจ้าวัวกระทิง ดังนั้นพวกมันจึงไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง และในจังหวะนั้นเอง ก็ดูเหมือนว่าฉู่เหินจะคิดผิดอีกครา เพราะแม้เจ้าวัวกระทิงทั้งสองอาจเคยเป็นสัตว์กินหญ้ามาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ตอนนี้พวกมันได้เปลี่ยนไปแล้ว

หลังการเปลี่ยนแปลง เจ้าวัวกระทิงก็กลายเป็นสัตว์ดุร้าย ปากและฟันที่เดิมทีค่อนข้างโล่ง ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยแนวฟันแหลมคม ดวงตาของมันแดงก่ำราวกับเลือด

ก่อนฉู่เหินทันตั้งตัว วัวกระทิงทั้งสองพุ่งโจมตีเขาทันที เมื่อเสียงคำรามดังขึ้น เจ้าวัวกระทิงก็ตะกุยกีบเท้าทั้งสี่และกระแทกเข้ากับฉู่เหิน ยามที่วัวกระทิงทั้งสองพุ่งเข้ามา ฉู่เหินรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง มันต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ดูราวกับว่ามีบางสิ่งที่กระตุ้นเจ้าสัตว์เหล่านี้ให้กลายเป็นสัตว์ดุร้าย

หรือว่าแถวนี้เคยมีดาวอุกกาบาตตกลงมางั้นเหรอ? บางทีอาจเป็นอุกกาบาตนอกโลกที่สามารถปล่อยพลังงานคลื่นชนิดพิเศษออกมา ซึ่งมันก็คงไปกระตุ้นเจ้าสัตว์เหล่านี้ละมั้ง นอกจากเรื่องนี้แล้วฉู่เหินไม่คิดถึงความเป็นไปได้อื่นอีกเลย

แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีโอกาสได้ทันคิด เพราะเมื่อเขาเห็นเจ้าสัตว์ร้ายทั้งสองพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด ชนิดที่ว่าเพียงกะพริบตา 2-3 ครั้ง พวกมันก็แทบจะมาอยู่ข้างฉู่เหินเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง เพื่อส่งแรงให้ตัวเองพุ่งทะยานขึ้นไปบนอากาศ ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉู่เหินรอดพ้นจากแรงปะทะของวัวกระทิงทั้งสองได้อย่างงดงาม

แต่ดูเหมือนวัวกระทิงทั้งสองไม่อยากปล่อยเขาไปง่ายนัก หลังจากนั้นมันก็พุ่งเข้าใส่ฉู่เหินอีกครา มันไม่ง่ายที่จะรับมือกับสัตว์ขนาดมหึมาเหล่านี้ โดยเฉพาะพวกวัวที่มีลำตัวหนาใหญ่

ฉู่เหินฟันลงไปหนึ่งดาบ แต่หนังของวัวกระทิงไม่มีร่องรอยเลย เห็นได้ว่าหนังของวัวกระทิงหนาเพียงใด

ขณะหลบแรงปะทะ ฉู่เหินเริ่มคิดอย่างรวดเร็วถึงจุดอ่อนของวัว เขาจำได้ว่าสมัยยังเด็ก พี่ชายเคยสอนเขาไว้ว่า อย่าใช้มีดฆ่าวัว แต่ให้ใช้ค้อนหรือท่อนไม้ ตราบใดที่เขาใช้พลังโจมตีระหว่างเจ้าสัตว์มีเขาทั้งสองอย่างเต็มแรง นั่นอาจพอช่วยได้บ้าง หากมันได้ผลดี เขาอาจสังหารคู่ต่อสู้ด้วยไม้ท่อนเดียวได้ แถมนี่ยังเป็นจุดอ่อนข้อเดียวในตัววัวอีกด้วย

หลังคิดสิ่งนี้แล้ว ฉู่เหินเปลี่ยนท่าทีดาบวงพระจันทร์ทันที ด้วยการหันสันดาบลง และปลายดาบชี้ไปด้านหน้า ทันทีที่วัวกระทิงโจมตีอีกครั้ง เขาจะพุ่งทะยานขึ้นไปและเหยียบหลังวัวกระทิงไว้ จากนั้นก็ใช้สันดาบวางลงไประหว่างเขาวัวกระทิงและทุบมันอย่างแรง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สุดยอดชาวประมง (极品小渔民) บทที่ 83 วิวัฒนาการของเสี่ยวหง

Now you are reading สุดยอดชาวประมง (极品小渔民) Chapter บทที่ 83 วิวัฒนาการของเสี่ยวหง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 83 วิวัฒนาการของเสี่ยวหง

หลังจากนั้น ภายใต้การซักถามอย่างต่อเนื่องของฉู่เหิน ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าสิ่งที่เจ้าตัวน้อยต้องการนั้นก็คือสิ่งที่อยู่ในสมองของอินทรียักษ์

หลังจากนั้นไม่นาน สมองของอินทรีก็ถูกฉู่เหินแบ่งออกเป็นสองชิ้น จนถึงตอนนั้น แม้แต่เจ้านกคีรีบูนน้อยก็อดตื่นเต้นไม่ได้

ในจังหวะนั้นเอง ภายใต้สายตาของฉู่เหิน เขาก็เห็นว่าเจ้านกตัวน้อยมันได้กลืนกิน ‘ตันหวั่น’ ขนาดเท่ากับนิ้วมือนิ้วหนึ่งที่อยู่ในสมองของอินทรีลงไป หลังเจ้าตัวน้อยกลืนลงไป มันก็นอนลงตรงนั้นและหลับไป ฉู่เหินไม่รู้จะทำยังไงกับเจ้านกน้อยนี่ดี ดังนั้นเขาจึงอุ้มมันขึ้นและใส่มันไว้ในพื้นที่จัดเก็บ

ตอนนี้เขายังนิ่งนอนใจไม่ได้ เพราะเจ้านกน้องหลับใหลอยู่เพียงลำพังในป่า มันอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ถ้ามีงูตัวเล็ก ๆ ผ่านมาแล้วกลืนมันลงไป ขณะที่ฉู่เหินเตรียมพร้อมจัดการกับศพของสัตว์ร้ายทั้งสอง เขาก็รู้สึกได้ว่าอารมณ์ของเสี่ยวหงดูจะปั่นป่วนอยู่ในแหวนของเขา

แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฉู่เหินรู้ว่าต้องมีสิ่งผิดปกติเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงรีบดึงเอาเสี่ยวหงออกมา หลังจากควานหาอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดกระต่ายน้อยเสี่ยวหงก็ถูกปลดปล่อยโดยฉู่เหิน

ฉู่เหินรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้าง เพราะบทเรียนก่อนหน้าจากนกคีรีบูน ฉู่เหินอดคิดไม่ได้ว่า เจ้าตัวน้อยตัวนี้พยายามจะกินอะไร

“เสี่ยวหง อยากกินอะไรใช่ไหม?” ฉู่เหินมองเสี่ยงหงอย่างอยากรู้ จากนั้นเจ้ากระต่ายมันก็หมุนตัวไปมา ก่อนจะกระโดดลงบนซากงูเหลือมยักษ์ พร้อมกับยื่นเท้าไปไว้ที่หัวของมัน และกรีดร้องด้วยท่าทางร้อนอกร้อนใจออกมา

“เธออยากกินอะไรจากงูเหลือมยักษ์ตัวนี้ล่ะ คงไม่ใช่สมองนี่หรอกนะ” หลังฉู่เหินพูดจบประโยค เขาก็เห็นเสี่ยวหงพยักหน้ารัวแรง นี่มันคืออะไรกันแน่นะ?

ด้วยประสบการณ์ก่อนหน้า จึงใช้เวลาไม่นานนัก ในที่สุดฉู่เหินก็ทิ้งส่วนหัวของงูเหลือมไป แน่นอนว่าเขาได้ทิ้งหลังผ่าส่วนหัวของงูเหลือมเรียบร้อยแล้ว ซึ่งภายในนั้นก็มีชิ้นส่วนขนาดเท่ากับปลายนิ้วเช่นเดียวกัน หลังจากมองเห็น เสี่ยวหงก็วิ่งเข้าใส่ในทันที แต่ยังไม่ที่จะกิน มันก็หันมาจูบมือของฉู่เหิน 2-3 ครั้งแบบแนบชิด ก่อนจะกลืนยาลงไป

หลังกลืนยาเม็ดนี้เข้าไป ฉู่เหินรู้สึกได้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเจ้าตัวน้อย เพราะเขากับเสี่ยวหงมีสัญญานาย-บ่าว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนร่างกายของเสี่ยวหงกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงในขณะนี้

ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นมีประโยชน์ด้านใด แต่เขาก็คิดว่านี่มันอาจเป็นโอกาสสำหรับเสี่ยวหงที่จะเกิดใหม่ เจ้ากระต่ายนี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่อต้านสวรรค์ หากมันเปลี่ยนร่างอีกครั้ง เขาก็ไม่รู้ว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหน

ฉู่เหินตั้งตารอดูสิ่งนี้จริง ๆ ถ้าเจ้าตัวน้อยนี้มีพลังการต่อสู้ทรงพลัง มันจะต้องเป็นเจ้าตัวร้ายในอนาคตแน่ แต่แล้วเสี่ยวหงก็ตัวสั่นเบา ๆ หลังจากกินสิ่งนั้นลงไป

ก่อนที่มันจะเดินไปมาเหมือนกำลังเมา และสุดท้ายก็ไปได้ไม่เกิน 10 ก้าวในที่สุดเจ้ากระต่ายก็ล้มลงและผล็อยหลับไป ฉู่เหินไม่ได้เตรียมใจรับสิ่งนี้ แม้ว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับนกคีรีบูนตอนก่อนหน้านี้ด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเห็นว่าเรื่องราวได้เป็นแบบนี้แล้ว ดังนั้นฉู่เหินจึงโบกมืออีกครั้งเพื่อเก็บเสี่ยวหงเข้าไปในแหวน

จากนั้นซากเลือดเนื้อของสัตว์ร้ายทั้งสองก็ถูกนำมารวมกัน และถูกนำไปเก็บไว้เช่นกัน อย่างที่รู้ ถึงแม้จะกินมันเองไม่ได้ แต่ถ้านำกลับไปให้ปลาเกล็ดขาวกินก็คงจะดีกว่าทิ้งไว้เสียเปล่า

ในขั้นที่สามของการเลี้ยงดูปลาเกล็ดขาว เจ้าปลาปีศาจต้องการอาหารจำนวนมาก เพราะที่มีอยู่ในมือนั้นเป็นจำนวนน้อยนิด มันจึงไม่พอ แต่เขายังรู้ด้วยว่าบนโลกยังมีสัตว์ร้ายที่ใหญ่กว่านี้อีกมาก แต่มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะพบสัตว์ร้ายเหล่านั้น

เพราะสิ่งนี้ เขาจึงเกิดความคิดสำหรับสัตว์ร้ายเหล่านี้ หากเจ้าสัตว์ดุร้ายนำไปใช้ได้หลังถูกกิน ฉู่เหินอาจนำเนื้อของพวกมันเป็นแหล่งอาหารสำหรับการเลี้ยงปลาเกล็ดขาว หลังทำความสะอาดแล้ว ฉู่เหินไปยังแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่ด้านหน้าเพื่อชำระล้างคราบเลือด และจากด้านในแหวน เขาดึงเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาและสวมใส่ ก่อนจะออกเดินทางตรงไปยังป่าด้านนอก

เหตุผลที่ฉู่เหินไม่ได้ออกไปทันทีนั้น เพราะการเข้ามาในป่านั้นเป็นเรื่องยากมาก อีกอย่างเขาก็อยากที่จะเดินชมให้ทั่ว มันคงจะดีถ้าหากได้ของดีกลับไป แต่แย่หน่อยที่ป่านั้นกว้างใหญ่มาก แม้จะมีสมบัติมากมายในนั้น แต่ฉู่เหินกลับโชคไม่ดี เพราะเขาดันไม่พบเลยสักอย่าง

ระหว่างการเดินชมทั่ว ๆ เขาไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังไปที่ไหน ฉู่เหินรู้แค่ว่ามีภูเขาสูงชันมากที่ด้านหน้า แต่เขาก็เชื่อว่ามันคงไม่ยากที่จะปีนภูเขานี้ด้วยร่างกายอันแข็งแรงของตน

แต่ขณะที่เขาเตรียมตัวจะปีนป่าย ฉู่เหินก็ดันถูกขัดจังหวะด้วยเสียงคำรามของอะไรบางอย่าง เมื่อเขาหันกลับไปที่ด้านหลัง ชายหนุ่มก็พบเข้ากับวัวกระทิงสีน้ำตาลแดงสองตัวยืนที่ด้านหลัง ดูจากความสูงของวัวกระทิงแล้ว มันมีขนาดใหญ่กว่าวัวธรรมดามากนัก เกรงว่ามันน่าจะมีลำตัวกว้างกว่า 3 เมตร ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับรวมความสูงที่ราว ๆ 1.67 เมตร เจ้าสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าเขาในตอนนี้ ทำให้ฉู่เหินรู้สึกเหมือนกับตัวเขาเป็นคนแคระตัวเล็กยังไงยังงั้นเลยทีเดียว

ตามปกติแล้ว วัวกระทิงเป็นสัตว์กินหญ้า แต่ในยามนี้สายตาของมันกลับจ้องมองไปที่มนุษย์อย่างดุร้าย นั่นทำให้ฉู่เหินรู้สึกระแวดระวังขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าเลี่ยงไม่ได้ เขาก็ได้แต่ส่ายหน้า และดึงเอาดาบวงพระจันทร์มาถือในมืออีกครั้ง ด้วยท่าทีเตรียมพร้อมขณะที่ดูเจ้าสัตว์ตัวใหญ่ทั้งสอง

ในขณะเดียวกัน เขาก็ใช้จังหวะนั้นค่อย ๆ ถอยออกไป ตราบใดที่เขายังปีนเขาลูกนี้ได้ เจ้าวัวกระทิงทั้งสองก็ไม่อาจตามได้ทันแน่ เมื่อดูจากการประเมินของฉู่เหินแล้ว วัวกระทิงทั้งสองจะไม่พุ่งเข้าโจมตีเองเป็นแน่ เพราะข้อแรก พวกมันอยู่ห่างออกไปมาก และข้อสองวัวกระทิงคือสัตว์กินหญ้า เพราะฉะนั้นพวกมันไม่สามารถสู้ได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่เรียกได้ว่าโชคดีในโชคร้าย มีนกที่ตายแล้วอยู่ตรงหน้าพวกมัน แต่นั่นก็เหมือนว่ามันจะไม่ใช่อาหารที่ถูกใจสำหรับเจ้าวัวกระทิง ดังนั้นพวกมันจึงไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง และในจังหวะนั้นเอง ก็ดูเหมือนว่าฉู่เหินจะคิดผิดอีกครา เพราะแม้เจ้าวัวกระทิงทั้งสองอาจเคยเป็นสัตว์กินหญ้ามาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ตอนนี้พวกมันได้เปลี่ยนไปแล้ว

หลังการเปลี่ยนแปลง เจ้าวัวกระทิงก็กลายเป็นสัตว์ดุร้าย ปากและฟันที่เดิมทีค่อนข้างโล่ง ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยแนวฟันแหลมคม ดวงตาของมันแดงก่ำราวกับเลือด

ก่อนฉู่เหินทันตั้งตัว วัวกระทิงทั้งสองพุ่งโจมตีเขาทันที เมื่อเสียงคำรามดังขึ้น เจ้าวัวกระทิงก็ตะกุยกีบเท้าทั้งสี่และกระแทกเข้ากับฉู่เหิน ยามที่วัวกระทิงทั้งสองพุ่งเข้ามา ฉู่เหินรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง มันต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ดูราวกับว่ามีบางสิ่งที่กระตุ้นเจ้าสัตว์เหล่านี้ให้กลายเป็นสัตว์ดุร้าย

หรือว่าแถวนี้เคยมีดาวอุกกาบาตตกลงมางั้นเหรอ? บางทีอาจเป็นอุกกาบาตนอกโลกที่สามารถปล่อยพลังงานคลื่นชนิดพิเศษออกมา ซึ่งมันก็คงไปกระตุ้นเจ้าสัตว์เหล่านี้ละมั้ง นอกจากเรื่องนี้แล้วฉู่เหินไม่คิดถึงความเป็นไปได้อื่นอีกเลย

แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีโอกาสได้ทันคิด เพราะเมื่อเขาเห็นเจ้าสัตว์ร้ายทั้งสองพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด ชนิดที่ว่าเพียงกะพริบตา 2-3 ครั้ง พวกมันก็แทบจะมาอยู่ข้างฉู่เหินเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง เพื่อส่งแรงให้ตัวเองพุ่งทะยานขึ้นไปบนอากาศ ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉู่เหินรอดพ้นจากแรงปะทะของวัวกระทิงทั้งสองได้อย่างงดงาม

แต่ดูเหมือนวัวกระทิงทั้งสองไม่อยากปล่อยเขาไปง่ายนัก หลังจากนั้นมันก็พุ่งเข้าใส่ฉู่เหินอีกครา มันไม่ง่ายที่จะรับมือกับสัตว์ขนาดมหึมาเหล่านี้ โดยเฉพาะพวกวัวที่มีลำตัวหนาใหญ่

ฉู่เหินฟันลงไปหนึ่งดาบ แต่หนังของวัวกระทิงไม่มีร่องรอยเลย เห็นได้ว่าหนังของวัวกระทิงหนาเพียงใด

ขณะหลบแรงปะทะ ฉู่เหินเริ่มคิดอย่างรวดเร็วถึงจุดอ่อนของวัว เขาจำได้ว่าสมัยยังเด็ก พี่ชายเคยสอนเขาไว้ว่า อย่าใช้มีดฆ่าวัว แต่ให้ใช้ค้อนหรือท่อนไม้ ตราบใดที่เขาใช้พลังโจมตีระหว่างเจ้าสัตว์มีเขาทั้งสองอย่างเต็มแรง นั่นอาจพอช่วยได้บ้าง หากมันได้ผลดี เขาอาจสังหารคู่ต่อสู้ด้วยไม้ท่อนเดียวได้ แถมนี่ยังเป็นจุดอ่อนข้อเดียวในตัววัวอีกด้วย

หลังคิดสิ่งนี้แล้ว ฉู่เหินเปลี่ยนท่าทีดาบวงพระจันทร์ทันที ด้วยการหันสันดาบลง และปลายดาบชี้ไปด้านหน้า ทันทีที่วัวกระทิงโจมตีอีกครั้ง เขาจะพุ่งทะยานขึ้นไปและเหยียบหลังวัวกระทิงไว้ จากนั้นก็ใช้สันดาบวางลงไประหว่างเขาวัวกระทิงและทุบมันอย่างแรง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สุดยอดชาวประมง (极品小渔民) บทที่ 83 วิวัฒนาการของเสี่ยวหง

Now you are reading สุดยอดชาวประมง (极品小渔民) Chapter บทที่ 83 วิวัฒนาการของเสี่ยวหง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 83 วิวัฒนาการของเสี่ยวหง

หลังจากนั้น ภายใต้การซักถามอย่างต่อเนื่องของฉู่เหิน ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าสิ่งที่เจ้าตัวน้อยต้องการนั้นก็คือสิ่งที่อยู่ในสมองของอินทรียักษ์

หลังจากนั้นไม่นาน สมองของอินทรีก็ถูกฉู่เหินแบ่งออกเป็นสองชิ้น จนถึงตอนนั้น แม้แต่เจ้านกคีรีบูนน้อยก็อดตื่นเต้นไม่ได้

ในจังหวะนั้นเอง ภายใต้สายตาของฉู่เหิน เขาก็เห็นว่าเจ้านกตัวน้อยมันได้กลืนกิน ‘ตันหวั่น’ ขนาดเท่ากับนิ้วมือนิ้วหนึ่งที่อยู่ในสมองของอินทรีลงไป หลังเจ้าตัวน้อยกลืนลงไป มันก็นอนลงตรงนั้นและหลับไป ฉู่เหินไม่รู้จะทำยังไงกับเจ้านกน้อยนี่ดี ดังนั้นเขาจึงอุ้มมันขึ้นและใส่มันไว้ในพื้นที่จัดเก็บ

ตอนนี้เขายังนิ่งนอนใจไม่ได้ เพราะเจ้านกน้องหลับใหลอยู่เพียงลำพังในป่า มันอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ถ้ามีงูตัวเล็ก ๆ ผ่านมาแล้วกลืนมันลงไป ขณะที่ฉู่เหินเตรียมพร้อมจัดการกับศพของสัตว์ร้ายทั้งสอง เขาก็รู้สึกได้ว่าอารมณ์ของเสี่ยวหงดูจะปั่นป่วนอยู่ในแหวนของเขา

แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฉู่เหินรู้ว่าต้องมีสิ่งผิดปกติเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงรีบดึงเอาเสี่ยวหงออกมา หลังจากควานหาอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดกระต่ายน้อยเสี่ยวหงก็ถูกปลดปล่อยโดยฉู่เหิน

ฉู่เหินรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้าง เพราะบทเรียนก่อนหน้าจากนกคีรีบูน ฉู่เหินอดคิดไม่ได้ว่า เจ้าตัวน้อยตัวนี้พยายามจะกินอะไร

“เสี่ยวหง อยากกินอะไรใช่ไหม?” ฉู่เหินมองเสี่ยงหงอย่างอยากรู้ จากนั้นเจ้ากระต่ายมันก็หมุนตัวไปมา ก่อนจะกระโดดลงบนซากงูเหลือมยักษ์ พร้อมกับยื่นเท้าไปไว้ที่หัวของมัน และกรีดร้องด้วยท่าทางร้อนอกร้อนใจออกมา

“เธออยากกินอะไรจากงูเหลือมยักษ์ตัวนี้ล่ะ คงไม่ใช่สมองนี่หรอกนะ” หลังฉู่เหินพูดจบประโยค เขาก็เห็นเสี่ยวหงพยักหน้ารัวแรง นี่มันคืออะไรกันแน่นะ?

ด้วยประสบการณ์ก่อนหน้า จึงใช้เวลาไม่นานนัก ในที่สุดฉู่เหินก็ทิ้งส่วนหัวของงูเหลือมไป แน่นอนว่าเขาได้ทิ้งหลังผ่าส่วนหัวของงูเหลือมเรียบร้อยแล้ว ซึ่งภายในนั้นก็มีชิ้นส่วนขนาดเท่ากับปลายนิ้วเช่นเดียวกัน หลังจากมองเห็น เสี่ยวหงก็วิ่งเข้าใส่ในทันที แต่ยังไม่ที่จะกิน มันก็หันมาจูบมือของฉู่เหิน 2-3 ครั้งแบบแนบชิด ก่อนจะกลืนยาลงไป

หลังกลืนยาเม็ดนี้เข้าไป ฉู่เหินรู้สึกได้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเจ้าตัวน้อย เพราะเขากับเสี่ยวหงมีสัญญานาย-บ่าว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนร่างกายของเสี่ยวหงกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงในขณะนี้

ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นมีประโยชน์ด้านใด แต่เขาก็คิดว่านี่มันอาจเป็นโอกาสสำหรับเสี่ยวหงที่จะเกิดใหม่ เจ้ากระต่ายนี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่อต้านสวรรค์ หากมันเปลี่ยนร่างอีกครั้ง เขาก็ไม่รู้ว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหน

ฉู่เหินตั้งตารอดูสิ่งนี้จริง ๆ ถ้าเจ้าตัวน้อยนี้มีพลังการต่อสู้ทรงพลัง มันจะต้องเป็นเจ้าตัวร้ายในอนาคตแน่ แต่แล้วเสี่ยวหงก็ตัวสั่นเบา ๆ หลังจากกินสิ่งนั้นลงไป

ก่อนที่มันจะเดินไปมาเหมือนกำลังเมา และสุดท้ายก็ไปได้ไม่เกิน 10 ก้าวในที่สุดเจ้ากระต่ายก็ล้มลงและผล็อยหลับไป ฉู่เหินไม่ได้เตรียมใจรับสิ่งนี้ แม้ว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับนกคีรีบูนตอนก่อนหน้านี้ด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเห็นว่าเรื่องราวได้เป็นแบบนี้แล้ว ดังนั้นฉู่เหินจึงโบกมืออีกครั้งเพื่อเก็บเสี่ยวหงเข้าไปในแหวน

จากนั้นซากเลือดเนื้อของสัตว์ร้ายทั้งสองก็ถูกนำมารวมกัน และถูกนำไปเก็บไว้เช่นกัน อย่างที่รู้ ถึงแม้จะกินมันเองไม่ได้ แต่ถ้านำกลับไปให้ปลาเกล็ดขาวกินก็คงจะดีกว่าทิ้งไว้เสียเปล่า

ในขั้นที่สามของการเลี้ยงดูปลาเกล็ดขาว เจ้าปลาปีศาจต้องการอาหารจำนวนมาก เพราะที่มีอยู่ในมือนั้นเป็นจำนวนน้อยนิด มันจึงไม่พอ แต่เขายังรู้ด้วยว่าบนโลกยังมีสัตว์ร้ายที่ใหญ่กว่านี้อีกมาก แต่มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะพบสัตว์ร้ายเหล่านั้น

เพราะสิ่งนี้ เขาจึงเกิดความคิดสำหรับสัตว์ร้ายเหล่านี้ หากเจ้าสัตว์ดุร้ายนำไปใช้ได้หลังถูกกิน ฉู่เหินอาจนำเนื้อของพวกมันเป็นแหล่งอาหารสำหรับการเลี้ยงปลาเกล็ดขาว หลังทำความสะอาดแล้ว ฉู่เหินไปยังแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่ด้านหน้าเพื่อชำระล้างคราบเลือด และจากด้านในแหวน เขาดึงเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาและสวมใส่ ก่อนจะออกเดินทางตรงไปยังป่าด้านนอก

เหตุผลที่ฉู่เหินไม่ได้ออกไปทันทีนั้น เพราะการเข้ามาในป่านั้นเป็นเรื่องยากมาก อีกอย่างเขาก็อยากที่จะเดินชมให้ทั่ว มันคงจะดีถ้าหากได้ของดีกลับไป แต่แย่หน่อยที่ป่านั้นกว้างใหญ่มาก แม้จะมีสมบัติมากมายในนั้น แต่ฉู่เหินกลับโชคไม่ดี เพราะเขาดันไม่พบเลยสักอย่าง

ระหว่างการเดินชมทั่ว ๆ เขาไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังไปที่ไหน ฉู่เหินรู้แค่ว่ามีภูเขาสูงชันมากที่ด้านหน้า แต่เขาก็เชื่อว่ามันคงไม่ยากที่จะปีนภูเขานี้ด้วยร่างกายอันแข็งแรงของตน

แต่ขณะที่เขาเตรียมตัวจะปีนป่าย ฉู่เหินก็ดันถูกขัดจังหวะด้วยเสียงคำรามของอะไรบางอย่าง เมื่อเขาหันกลับไปที่ด้านหลัง ชายหนุ่มก็พบเข้ากับวัวกระทิงสีน้ำตาลแดงสองตัวยืนที่ด้านหลัง ดูจากความสูงของวัวกระทิงแล้ว มันมีขนาดใหญ่กว่าวัวธรรมดามากนัก เกรงว่ามันน่าจะมีลำตัวกว้างกว่า 3 เมตร ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับรวมความสูงที่ราว ๆ 1.67 เมตร เจ้าสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าเขาในตอนนี้ ทำให้ฉู่เหินรู้สึกเหมือนกับตัวเขาเป็นคนแคระตัวเล็กยังไงยังงั้นเลยทีเดียว

ตามปกติแล้ว วัวกระทิงเป็นสัตว์กินหญ้า แต่ในยามนี้สายตาของมันกลับจ้องมองไปที่มนุษย์อย่างดุร้าย นั่นทำให้ฉู่เหินรู้สึกระแวดระวังขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าเลี่ยงไม่ได้ เขาก็ได้แต่ส่ายหน้า และดึงเอาดาบวงพระจันทร์มาถือในมืออีกครั้ง ด้วยท่าทีเตรียมพร้อมขณะที่ดูเจ้าสัตว์ตัวใหญ่ทั้งสอง

ในขณะเดียวกัน เขาก็ใช้จังหวะนั้นค่อย ๆ ถอยออกไป ตราบใดที่เขายังปีนเขาลูกนี้ได้ เจ้าวัวกระทิงทั้งสองก็ไม่อาจตามได้ทันแน่ เมื่อดูจากการประเมินของฉู่เหินแล้ว วัวกระทิงทั้งสองจะไม่พุ่งเข้าโจมตีเองเป็นแน่ เพราะข้อแรก พวกมันอยู่ห่างออกไปมาก และข้อสองวัวกระทิงคือสัตว์กินหญ้า เพราะฉะนั้นพวกมันไม่สามารถสู้ได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่เรียกได้ว่าโชคดีในโชคร้าย มีนกที่ตายแล้วอยู่ตรงหน้าพวกมัน แต่นั่นก็เหมือนว่ามันจะไม่ใช่อาหารที่ถูกใจสำหรับเจ้าวัวกระทิง ดังนั้นพวกมันจึงไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง และในจังหวะนั้นเอง ก็ดูเหมือนว่าฉู่เหินจะคิดผิดอีกครา เพราะแม้เจ้าวัวกระทิงทั้งสองอาจเคยเป็นสัตว์กินหญ้ามาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ตอนนี้พวกมันได้เปลี่ยนไปแล้ว

หลังการเปลี่ยนแปลง เจ้าวัวกระทิงก็กลายเป็นสัตว์ดุร้าย ปากและฟันที่เดิมทีค่อนข้างโล่ง ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยแนวฟันแหลมคม ดวงตาของมันแดงก่ำราวกับเลือด

ก่อนฉู่เหินทันตั้งตัว วัวกระทิงทั้งสองพุ่งโจมตีเขาทันที เมื่อเสียงคำรามดังขึ้น เจ้าวัวกระทิงก็ตะกุยกีบเท้าทั้งสี่และกระแทกเข้ากับฉู่เหิน ยามที่วัวกระทิงทั้งสองพุ่งเข้ามา ฉู่เหินรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง มันต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ดูราวกับว่ามีบางสิ่งที่กระตุ้นเจ้าสัตว์เหล่านี้ให้กลายเป็นสัตว์ดุร้าย

หรือว่าแถวนี้เคยมีดาวอุกกาบาตตกลงมางั้นเหรอ? บางทีอาจเป็นอุกกาบาตนอกโลกที่สามารถปล่อยพลังงานคลื่นชนิดพิเศษออกมา ซึ่งมันก็คงไปกระตุ้นเจ้าสัตว์เหล่านี้ละมั้ง นอกจากเรื่องนี้แล้วฉู่เหินไม่คิดถึงความเป็นไปได้อื่นอีกเลย

แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีโอกาสได้ทันคิด เพราะเมื่อเขาเห็นเจ้าสัตว์ร้ายทั้งสองพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด ชนิดที่ว่าเพียงกะพริบตา 2-3 ครั้ง พวกมันก็แทบจะมาอยู่ข้างฉู่เหินเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง เพื่อส่งแรงให้ตัวเองพุ่งทะยานขึ้นไปบนอากาศ ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉู่เหินรอดพ้นจากแรงปะทะของวัวกระทิงทั้งสองได้อย่างงดงาม

แต่ดูเหมือนวัวกระทิงทั้งสองไม่อยากปล่อยเขาไปง่ายนัก หลังจากนั้นมันก็พุ่งเข้าใส่ฉู่เหินอีกครา มันไม่ง่ายที่จะรับมือกับสัตว์ขนาดมหึมาเหล่านี้ โดยเฉพาะพวกวัวที่มีลำตัวหนาใหญ่

ฉู่เหินฟันลงไปหนึ่งดาบ แต่หนังของวัวกระทิงไม่มีร่องรอยเลย เห็นได้ว่าหนังของวัวกระทิงหนาเพียงใด

ขณะหลบแรงปะทะ ฉู่เหินเริ่มคิดอย่างรวดเร็วถึงจุดอ่อนของวัว เขาจำได้ว่าสมัยยังเด็ก พี่ชายเคยสอนเขาไว้ว่า อย่าใช้มีดฆ่าวัว แต่ให้ใช้ค้อนหรือท่อนไม้ ตราบใดที่เขาใช้พลังโจมตีระหว่างเจ้าสัตว์มีเขาทั้งสองอย่างเต็มแรง นั่นอาจพอช่วยได้บ้าง หากมันได้ผลดี เขาอาจสังหารคู่ต่อสู้ด้วยไม้ท่อนเดียวได้ แถมนี่ยังเป็นจุดอ่อนข้อเดียวในตัววัวอีกด้วย

หลังคิดสิ่งนี้แล้ว ฉู่เหินเปลี่ยนท่าทีดาบวงพระจันทร์ทันที ด้วยการหันสันดาบลง และปลายดาบชี้ไปด้านหน้า ทันทีที่วัวกระทิงโจมตีอีกครั้ง เขาจะพุ่งทะยานขึ้นไปและเหยียบหลังวัวกระทิงไว้ จากนั้นก็ใช้สันดาบวางลงไประหว่างเขาวัวกระทิงและทุบมันอย่างแรง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+