สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค 101 Sequel: เซนต์เก๊ตะลุยญี่ปุ่น 1

Now you are reading สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค Chapter 101 Sequel: เซนต์เก๊ตะลุยญี่ปุ่น 1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อาจจะกะทันหันหน่อยนะ แต่ชั้นขอบอกเลย เกมที่ให้ผู้เล่นสามารถสำรวจโลกในเกมหลังฉากจบได้นี่แหละถึงจะเรียกว่าเป็นมาสเตอร์พีซ

ปกตินี่พอปราบลาสต์บอสสำเร็จ เครดิจขึ้นจบแล้วก็จะโดนเด้งกลับไปเมนเมนูใช่มั้ยล่ะ พอโหลดเข้าเซฟเดิมมาใหม่ปุ๊บ ก็ดันมาโผล่ที่ตอนก่อนสู้บอสซะนี่… มันทำให้ชั้นรู้สึกว่า “แบบนี้ไม่เอาดิ” เลย

คือก็เข้าใจแหละว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น จะให้ทำโลกเวอร์ชั่นหลังเกมจบไปแล้วนี่มันลำบากใช่มั้ยล่ะ ถ้าจะเอาเวลากับแรงงานมาทำแบบนั้น สู้ไปเพิ่มเนื้อหาให้ตัวเกมหลักดีกว่า

แต่อุตส่าห์ลงแรงตั้งมากกว่าจะปราบบอสใหญ่ได้ สุดท้ายก็กลายเป็นว่าติดลูปอยู่ตรงฉากจบอยู่ดี พวกตัวเอกก็จะไม่มีวันไปถึงตอนจบที่แท้จริงได้ มันทำให้ผู้เล่นหงุดหงิดใช่มั้ยล่ะ? หรือมีชั้นคนเดียวที่เป็นอย่างนั้นหว่า

ไงก็เถอะ เอาเป็นว่าชั้นมาถึงฉากจบที่ว่านั้นได้แล้วยังไงล่ะ วู้ฮู้!

ไม่นานมานี้ชั้นยังทำแสดงละครลิงทำตัวเป็นเซนต์อยู่เลย ตอนนี้เลยมาใช้ชีวิตแบบนั่งกินนอนกินสบายใจเฉิบได้มันทั้งวัน เออ จริงๆก็ยังมีเรื่องของอิมเมจที่ต้องห่วงอ่ะนะ จะให้มาบอกว่าข้างในนี่เป็นผู้ชายนะเว้ยก็คงจะไม่ได้ แถมนิสัยจริงของชั้นนี่ก็ไม่ได้น่าคบอะไรซะด้วยสิ

ดีนะที่ตอนนี้ชั้นมาใช้ชีวิตแบบฤๅษีในป่าแล้ว เลยไม่ต้องแสดงอะไรเยอะเท่าไร–ไม่ค่อยได้เจอคนบ่อยๆด้วย

ตอนที่เป็นเซนต์นี่ชั้นจะสวมชุดเดรสสีขาวสำหรับเซนต์อยู่ตลอด ส่วนตอนนี้…ก็เป็นเดรสสีขาวเหมือนเดิม แต่คนละตัวกัน

อันนี้เป็นดีไซน์แบบที่ใช้ชุดของพวกสาวๆสมัยใหม่ในญี่ปุ่นสวมกันเชียวนะ

อะไรนะ? เนื้อในเป็นชายแท้ๆ มาใส่ชุดกระโปรงแบบนี้ไม่อายบ้างเหรอ? ก็…ตอนแรกๆก็อายแหละ แต่ก็สวมชุดแบบนี้มาตั้งสิบปีแล้วนี่นา มันชินไปแล้วล่ะ

เอาจริงๆผู้ชายในโลกนี้ก็มีพวกที่สวมเสื้อคลุมยาวแบบไม่ใส่กางเกงไว้ด้านในอ่ะนะ มันก็คือๆกันนั่นแหละ บางคนนี่ใส่สั้นจนทำให้นึกถึงมินิสเกิร์ตด้วยซ้ำ แค่กระโปรงยาวแบบชั้นนี่ถือว่าจิ๊บๆ

ถึงแม้ทุกคนจะรู้แล้วแท้ๆว่าชั้นไม่ใช่เซนต์ตัวจริง แต่ไม่รู้ทำไมชั้นถึงถูกเรียกว่า เกรทเซนต์ แทนซะอย่างนั้น ถ้าให้เดาก็คงเป็นพวกเชื้อพระวงศ์หรือชนชั้นสูงที่กลัวเสียหน้าว่าจับเด็กมาผิดคนเลยพยายามใช้ชื่อกลบเกลื่อนล่ะมั้ง

ไปโฟกัสกับเซนต์ตัวจริงแทนสิ มีตั้งสามคนแน่ะ เซนต์คนแรกอัลเฟรีย เซนต์คนก่อนหน้าอเล็กเซีย และเซนต์ตัวจริงของยุคสมัยนี้ เอเทอร์น่า

พูดถึงอัลเฟรียแล้ว ตอนนี้ชั้นมาสำรวจโบราณสถานในฟุกุเทนตามที่เธอไหว้วานมาอยู่ จริงๆเป็นหน้าที่ของเธอนั่นแหละ แต่ก็ลากชั้นมาด้วย

พอมาถึงที่หมาย มันเหมือนเป็นสุสานเก่าแบบที่ชั้นเคยเห็นในทีวีเมื่อชาติที่แล้วเลย

ทั้งตัวชั้นและอัลเฟรียค่อยๆทยอยเดินเข้าไปในนั้นโดยมีพวกอัศวินล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ทางมันแคบมากเลยนะเนี่ย

เอาจริงๆพวกอัศวินนี่ไม่ต้องตามมาก็ได้นะ แค่นี้ที่มันก็น้อยอยู่แล้ว มันทำให้รู้สึกอึดอัดอ่ะ

“ท่านอัลเฟรียคะ ที่นี่คือที่ไหนหรือคะ?”

“อืม เอาจริงก็ไม่รู้เหมือนกันล่ะ ตอนที่เรายังเด็ก ท่านแม่เคยพาเรามาที่นี่ครั้งนึงน่ะ บอกว่ามันคือ สถานที่ที่ทุกอย่างเริ่มต้น”

“เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเลยนะคะเนี่ย”

“ชะ ช่วยไม่ได้นี่นา! ก็เพิ่งจำได้เมื่อเดือนที่แล้วเอง! มันผ่านมาตั้งพันปีเลยนะ ลืมนิดลืมหน่อยก็เรื่องปกตินี่นา เอาจริงๆต้องชมเราด้วยซ้ำสิที่อุตส่าห์จำได้!

อัลเฟรียไม่เคยพูดถึงสถานที่นี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ดูเหมือนว่าแค่เจ้าตัวลืมน่ะ

เอาจริงๆก็คงไม่สำคัญอะไรมากนักหรอก ยังไงคำสาปของแม่มดคนแรกก็สลายไปแล้วนี่

“ตอนแรกก็ส่งสารไปให้ฟุกุเทนช่วยตรวจสอบให้นั่นแหละ แต่โดนตอบมาว่ามันมีอะไรแปลกๆไม่รู้อยู่ด้านใน เราเลยต้องถ่อมาถึงที่นี่เอง แต่ก็เผื่อว่าจะเกิดอะไรขึ้น เลยพาตัวเอลริสมาด้วยน่ะ…ต้องปลอดภัยไว้ก่อนใช่มั้ยล่ะ”

“อะไรแปลกๆหรือคะ?”

อะไรกันนะ?

เห็นอีฟบอกว่านี่เป็น สถานที่ที่ทุกอย่างเริ่มต้น นี่นา อาจจะมีบันทึกโบราณอะไรอยู่ก็ได้

พอเดินลึกเข้าไป ชั้นห็เห็นสิ่งนั้น…ช่องว่างบนอากาศ

ตรงตัวตามที่บอกเลย มันคือรอยแยกที่เกิดขึ้นจากการผ่ามิติเหมือนหลุดออกมาจากหนังไซไฟ

ถ้าดูดีๆ มันเหมือนจะมีคริสตัลอะไรบางอย่างอุดรูนั้นอยู่

ชั้นเคยเห็นมันมาก่อน เป็นคริสตัลแบบเดียวกับที่เคยผนึกอัลเฟรียเอาไว้

ถ้าอย่างนั้นก็มีโอกาสสูงที่อีฟจะเป็นคนอุดรูนี้เอาไว้…คำถามก็คือ รอยแยกนี้มันอะไรกัน

“เป็น…ของที่แปลกจริงๆด้วนะคะเนี่ย? ท่านอัลเฟรียคะ นั่นคือเวทย์ผนึกใช่ไหมคะ?”

“ใช่แล้ว แบบเดียวกับที่ผนึกตัวเราเอาไว้มากว่าพันปี ไม่ผิดแน่ๆ แต่ทำไมถึงมาอยู่ในที่แบบนี้…? และทำไมมันถึงดูเหมือนจะปริออกมา?”

เวทย์ผนึกนั้นเป็นการแช่มิติเอาไว้ มันไม่น่าจะปริแตกได้

ถ้าไม่ใช่เวทมนตร์ความมืด…ที่มีเพียงเซนต์และแม่มดที่สามารถใช้ได้ ผนวกเข้ากับพลังเวทย์มหาศาล การจะสร้างความเสียหายให้กับผนึกนี้ได้เลย

แต่ว่าคริสตัลที่อุดช่องว่างนี้เอาไว้กำลังจะแตกออก และไม่รู้เลยว่ามีอันตรายอะไรรออยู่

“ปะ เป็นไงบ้างเอลริส…มันอันตรายมากมั้ย? เอาจริงๆคือเราไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้วอ่ะ ขอกลับบ้านเลยได้เปล่า?”

“ค่ะ ชั้นรู้สึกได้ถึงความรู้สึกด้านลบรุนแรงที่ครอบคลุมสถานที่นี้เอาไว้”

ออร่าสีดำที่ลอยไปมาในอย่างชั้นเจนจนชั้นรู้สึกได้

ถึงแม้เนื้อในชั้นจะดำมืดจนแค่ระดับนี้น่าจะทำอะไรชั้นไม่ได้ก็เถอะ แต่กับคนอื่นๆนี่ คงให้อยู่ที่นี่นานไม่ได้

เป็นเพราะว่าชั้นคอยดูดความรู้สึกด้านลบในอากาศอยู่ตลอดเลยพอจะทนกันได้อยู่ แต่ถ้าชั้นไม่ได้มาด้วยล่ะก็ อัลเฟรียอาจจะโดนน็อกสลบตั้งแต่หน้าทางเข้าเลยก็ได้

วิญญาณของคนในโลกนี้ โดนเฉพาะวิญญาณของเซนต์นี่มันบริสุทธิ์เกินไป…เพราะแบบบนั้นเลยตกลงสู่ความมืดได้ง่ายกว่า

ตั้งแต่แรกแล้วแม่มดก็คือเซนต์ที่ของแต่ละยุคสมัยที่ถูกความรู้สึกด้านลบครอบงำและตกลงสู่ด้านมืด

กับชั้นน่ะไม่เป็นไรหรอก เอาจริงๆความรู้สึกด้านบวกต่างหากที่จะสร้างความเสียหายให้กับชั้น

เอาเป็นว่าที่นี่ก็ไม่ต่างจากบึงพิษสำหรับอัลเฟรีย ให้เธอออกไปก่อนเลยน่าจะดีกว่า

ขนาดพวกอัศวินที่ติดมาด้วยก็สีหน้าไม่สู้ดีกันทุกคนเลย คิดว่าน่าจะทนได้ไม่นานมาก

“ท่านอัลเฟรียคะ ช่วยพาเหล่าอัศวินออกไปจากที่นี่ได้ไหมคะ…ที่เหลือชั้นจะทำการตรวจสอบคนเดียว”

“ขะ เข้าใจล่ะ…ระวังตัวนะเอลริส”

อัลเฟรียพยักหน้าและพาคนอื่นๆออกไปแต่โดยดี

เธอรู้ดีว่าตัวชั้นน่ะแกร่งแค่ไหน แล้วก็รู้ว่าชั้นไม่จำเป็นต้องมีคนคอยปกป้องด้วย

ถ้าจะพูดแบบตรงๆ อัศวินพันคน สำหรับชั้นแล้วก็ไม่ได้ต่างไปจากภาระพันหน่วย

พวกอัศวินทำท่าลังเล แต่อัลเฟรียก็ลากพวกเขาออกไปจนได้ ปล่อยให้ชั้นอยู่ตัวคนเดียว

“เอาล่ะ…”

อย่างแรกเลย ชั้นก็คลุมทั่วทั้งตัวเอาไว้ด้วยบาเรียแบบเต็มพิกัด

ถ้าเป็นชั้นในตอนนี้ จะให้กระโจนลงปล่องภูเขาไฟที่กำลังระเบิดหรือโดนฟ้าผ่าเข้าไปร้อยครั้งก็ยังไร้รอยขีดข่วน

ไม่รู้ทำไม ทั้งๆที่เป็นช่วงว่างมิติที่ปล่อยความรู้สึกด้านลบออกมาตั้งขนาดนั้นแท้ๆ แต่มันกลับทำให้ชั้นรู้สึกคิดถึงอย่างประหลาด

ถ้าจะให้พูด มันทำให้ชั้นคิดถึงบ้านเลย เพราะอะไรกันนะ?

เอาเถอะ เดาไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ถ้าอยากรู้ก็ต้องลองเข้าไปดูเอง

พอคิดแบบนั้น ชั้นก็ใช้มือแตะไปที่รอยแยกนั้น ทว่า…

“—เอ๊ะ?”

ในตอนนั้นเอง ภาพตรงหน้าชั้นก็ขาวโพลนไปหมด

สว่างอ่ะ ใครก็ได้ลดแสงหน่อยสิ

การโจมตีงั้นรึ? แต่แค่นี้มันเปล่าประโยชน์ เปล่าประโยชน์

…ฮะ? แย่ล่ะ เป็นเพราะการบิดเบือนของมิติ บาเรียที่คลุมตัวชั้นอยู่ก็ค่อยๆถูกกัดกินไปทีละน้อย

อันตรายนะเนี่ย ชั้นต้องคอยสร้างบาเรียใหม่ขึ้นมาตลอดจนแสงค่อยๆหายไป

เมื่อแสงนั้นหยุดลง—ชั้นก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่กลางห้อง ห้องในอพาร์ตเมนท์ที่ไหนสักแห่ง

ข้างในห้องนั้นถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ แต่ไม่รู้สึกได้เลยว่ามีใครอยู่ในห้อง

ชั้นรู้จักผังห้องนี้ดี

ชั้นเดินไปที่ห้องน้ำและตู้เสื้อผ้าเพื่อเช็คให้แน่ใจ แต่ไม่ผิดแน่

ชั้นมองออกไปด้านนอกหน้าต่างเพื่อเช็คเป็นครั้งสุดท้าย

ไม่ต้องสงสัยเลย…นี่คืออพาร์ตเมนต์ที่ชั้นเคยอาศัยอยู่ในชาติที่แล้ว หรือก็คือ…

—ที่นี่คือประเทศญี่ปุ่น!?

เสียงเจื้อยแจ้วของรถบนถนน เสียงของรถไฟที่วิ่งอยู่บนราง

ผู้คนใส่เสื้อผ้าสะอาดเนี้ยบต่างจากสามัญชนทั่วไปในฟิโอริ

อากาศสกปรกซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของตัวเมืองใหญ่

ไม่ต้องสงสัยเลย ที่นี่คือกรุงโตเดียว

ไอ้นี่มันบทเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งใหม่หรืออะไรนิ? …อะไรวะเนี่ย ทำไมชั้นถึงมาโผล่ที่โตเกียวได้?

เมื่อกี๊ชั้นยังอยู่ที่ฟิโอริอยู่เลยแท้ๆ

ชั้นไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยโดนส่งกลับมาที่ฟากนี้หรอกนะ

ก่อนที่จะปราบแม่มดสำเร็จ จิตหรือวิญญาณของชั้นก็โดนส่งมาที่นี่ประมาณสามสี่รอบได้

แต่นั่นก็เพราะว่าตอนนั้นชั้นทางฝั่งนี้ยังมีชีวิตอยู่ ทำให้ชั้นถูกแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่มาเกิดใหม่กลายเป็นเอลริส และส่วนที่ไม่มาเกิดด้วยก็ยังคงสภาพฟุโดวนิอิโตะต่อไป แต่ตอนนี้ชั้นทั้งสองคนรวมกันจนกลับมาเป็นหนึ่งเดียวแล้วนี่นา ชั้นก็ไม่น่าจะกลับมาได้แล้วนี่

ตอนที่คิดเช่นนั้นอยู่ ชั้นก็รู้สึกได้ถึงอากาศที่สัมผัสกับผิว

บ้าน่า…

…รอบนี้นี่ชั้นมาทั้งร่างเนื้อเลยเหรอเนี่ย

ชั้นเอามือแตะหน้าต่างและรู้สึกได้ถึงการสัมผัส เปิดหน้าต่างออกก็รู้สึกได้ถึงลมที่พัดเข้ามา

กลายเป็นว่าครั้งนี้ชั้นไม่ได้โดนส่งมาในรูปของวิญญาณ แต่มาทั้งกายเนื้อเลย

เอาล่ะ แล้วจะเอาไงต่อดีล่ะเนี่ย?

อย่างแรกเลย ชั้นไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องขากลับ

พอมองไปที่มุมห้อง ตรงจุดนั้นยังคงมีรอยแยกมิติหลงเหลืออยู่

ถ้าใช้วิธีเดิมอีกครั้ง ก็น่าจะสามารถกลับไปได้

แต่เพื่อความชัวร์ เอาเป็นว่าลองก่อนดีกว่าว่าจะสามารถใช้ไปกลับได้จริงรึเปล่า

…หลังจากที่ลองเข้าออกดูสองามครั้ง ก็พบว่าชั้นสามารถเดินทางไปกลับได้จริงๆ

ชั้นกลับไปอธิบายสถานการณ์อย่างคร่าวๆให้อัลเฟรียฟังก่อน จากนั้นจึงกลับมาที่ญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง

จากนั้นก็เริ่มทดลองอะไรหลายๆอย่าง เช่นว่าชั้นาสามารถเอาเอาไรมาด้วยได้มั้ย

แต่ดูเหมือนว่าถ้าไม่มีบาเรียกางหนาขนาดชั้นล่ะก็ มันก็จะโดนช่องว่างมิติฉีกเป็นชิ้นๆจนสลายไประหว่างทาง

ถ้าจะให้พูด น่าจะมีแค่ตัวชั้นที่สามารถเดินทางไปมาโดนใช้ช่องว่างมิตินี้ได้อย่างอิสระ

เออ ถ้าไม่มีกายเนื้อแต่มาแค่วิญญาณก็คงจะผ่านได้เหมือนกันล่ะมั้ง

ไงก็ตาม เท่านี้ก็จัดการเรื่องการเดินทางไปกลับเรียบร้อยแล้ว

อุตส่าห์มาถึงญี่ปุ่นได้ทั้งที ถ้าไม่ทำอะไรก็เสียเที่ยวแย่

ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะพบกับยามาโตะ ทามากิซัง ผู้แต่งเรื่อง”บุปผานิรันดร์ร่วงโรย” แล้วก็อยากกินอาหารของฟากนี้ด้วย

ถึงสถานการณ์ด้านอาหารของฝั่งนั้นจะดีขึ้นจากเดิมมากแล้วก็เถอะ แต่ก็ยังด้อยกว่าญี่ปุ่นสมัยใหม่อยู่เป็นโยชน์เลย

…ก็มีแต่มันอ่ะนะ

พอเบื่อก็ช่วยไม่ได้ต้องมาทำอาหารเอง แต่คนขี้เกียจอย่างชั้นนี่ ถ้าทำได้ก็ไม่อยากจะลงแรงอะไรเองหรอก

อยากจะไปร้านสะดวกซื้อหาพวกขนมจุกจิกมากินเล่น อยากไปแฟมิเรสแล้วก็สั่งดริ๊งค์บาร์มาผสมเล่น แต่ประเด็นก็คือไม่มีเงินน่ะสิ

ทะเบียนบ้านก็ไม่มี บัตรประชาชนก็ไม่มี บัญชีธนาคารก็ไม่มี

ไม่นึกเลยแฮะว่าจะมาเจออะไรแบบนี้

ถ้าเป็นในฟิโอริล่ะก็ ชั้นคงจะสามารถสร้างเกราะหรือดาบจากเวทย์ดินแล้วเอาไปขายเพื่อทำเงินแบบง่ายๆได้แล้วแท้ๆ แต่ถ้าทำแบบนั้นในญี่ปุ่นนี่มันจะเป็นอาชญากรรมเอาน่ะสิ

หรือจะสร้างเพชรพลอยไม่ก็ทองคำไปขายดี…แต่อันนั้นก็ต้องมีขั้นตอนยืนยันตัวตนอีก

มันเป็นยุคสมัยที่แค่จะเอาหนังสือไปขายในร้านมือสองก็ยังต้องมีการยืนยันตัวตนเลย

จริงๆถ้าหาดูก็คงจะมีบางร้านที่รับโดยไม่จำเป็นต้องใช้แหละ แต่ชั้นก็ไม่มีหนังสืออะไรจะไปขายได้อยู่ดี ถึงขายไปก็คงทำเงินได้ไม่เยอะ

ยากแฮะ ไม่มีวิธีไหนที่สามารถหาใช้เงินได้เลยเหรอเนี่ย

เงินในบัญชีก็พอจะมีอยู่แหละ แต่อันนั้นก็ยกให้ครอบครัวเป็นมรดกไปหมดแล้วด้วย แถมถ้าชั้นใช้บัญชีของฟุโดวแล้วโดนจับได้นี่มันจะกลายเป็นคดีซะอีก

จะให้บอกว่าเป็นคนคนนั้นกลับมาเกิดใหม่ก็คงไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ

ถ้าหางานพาร์ทไทม์ที่ไม่ต้องยืนยันตัวตนก็คงจะพอมีแหละ แต่ทำไมตูต้องทำงานด้วยล่ะ

ถ้ามันลำบากถึงขนาดที่ชั้นต้องมาทำงานงกๆหาเงินล่ะก็ ชั้นขอยอมแพ้แล้วกลับไปฝั่งโน้นดีกว่า

ไม่อยากทำงานอ่ะ! ไม่อยากทำงานเลยโว้ย!

สุดท้ายแล้ว หลังจากคิดอยู่นาน ชั้นก็ตัดสินใจสร้างพวกโลหะหายากแล้วเอาไปขาย

แล้วเรื่องยืนยันตัวตนล่ะ? ชั้นก็แค่ใช้พลังโหรเพื่อหาร้านที่ไม่จำเป็นต้องยืนยันตัวตนน่ะสิ

เจ้าของร้านนี่ก็เป็นตาลุงท่าทางน่าสงสัยนั่นแหละ แต่ถ้ายอมจ่ายก็ถือว่าโอเคแล้ว ไม่ขอตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกละกัน

เอาล่ะ ได้มาสองแสนเยน ถึงจะไปกินแบบเลิศๆเลยคงไม่ได้ แต่ก็คงมากพอที่ชั้นจะสามารถตะลุยกินพวกอาหารเกรดบีได้อย่างสบายๆ

สำหรับกระเป๋าตังค์ ก็ซื้อมาจากร้านร้อยเยนนั่นล่ะ แต่ราคามันสามร้อยเยนน่ะนะ

ร้านร้อยเยนที่ราคาสินค้าไม่ได้ร้อยเยนเป๊ะๆนี่มีให้เห็นอยู่บ่อยๆเลยนะในช่วงนี้

ไม่มีบัตรอะไรซะด้วย ก็จ่ายเงินสดนั่นล่ะ

เท่านี้เงินก็พร้อมแล้ว ไปกันเลย!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด