หนึ่งฝ่ามือสยบโลกาบทที่ 1049 เผ่าเทพอัคคี!

Now you are reading หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา Chapter บทที่ 1049 เผ่าเทพอัคคี! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในพริบตาที่เสียงดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็เห็นแสงสีขาวภายนอกร่างกายทันที มันกะพริบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงระเบิดในหัว

เสียงระเบิดทำให้เขารู้สึกวิงเวียนสุดจะพรรณนา มันแผ่ขยายไปทั่วศีรษะราวกับโลกกำลังหมุนคว้าง อีกทั้งยังหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ และในไม่กี่อึดใจสั้นๆ ขณะที่หวังเป่าเล่อฝืนลืมตาอย่างยากลำบาก หมอกรอบตัวก็กลายเป็นกระแสน้ำวนโดยมีเขาอยู่ข้างในและกำลังจมลง!

แม้พื้นดินจะไม่ได้ทรุดตัว แต่ความรู้สึกจมดิ่งนี้ก็ยังคงรุนแรง

“นี่คือแสงแห่งการดึง กำลังดึงข้าเข้าสู่ชาติที่แล้วหรือ” หลังจากหวังเป่าเล่อเข้าใจแล้วก็รีบกดมือขวาลงบนกระเป๋าคลังเก็บ ในมือเกิดแสงสว่างวาบและปรากฏขึ้นมาเป็นจานค่ายกล

จานค่ายกลนี้เป็นหนึ่งในของที่ศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงมอบให้เขา มันบรรจุพลังแห่งค่ายกลอันทรงพลัง แม้จะได้รับผลกระทบจากหมอกพวกนี้ แต่อานุภาพก็ไม่ธรรมดา

หวังเป่าเล่อนำมันออกมา เขาฝืนอดกลั้นอาการวิงเวียนและวางมันไว้ตรงหน้าอย่างไม่ลังเล ก่อนจะกดแรงๆ ทันใดนั้นรอบกายก็ก่อตัวเป็นม่านแสงห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ ด้านในเป็นเครื่องป้องกัน จากนั้นก็หายไป

หลังจากทำเสร็จ หวังเป่าเล่อไม่อาจฝืนทนอาการวิงเวียนศีรษะได้อีกต่อไป เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และปล่อยให้ความรู้สึกนี้ปะทุขึ้นมา ทว่า…เมื่อความรู้สึกนี้ถึงขีดสุด สติการรับรู้ของหวังเป่าเล่อก็จมดิ่งลง…

ทันใดนั้นที่ด้านขวาของจุดที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่ซึ่งเดิมไม่มีหมอกที่หมุนวนแต่อย่างใด จู่ๆ ก็พลิกม้วนในฉับพลัน ข้างในมีเงาดำร่างหนึ่ง มันสว่างวาบจากหมอกที่หวังเป่าเล่ออยู่แล้ววาบกลับมาในพริบตาราวกับสังเกตเห็นบางอย่าง ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางตรงมายังหวังเป่าเล่อ

ความรู้สึกวิกฤตรุนแรงปรากฏขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ แต่ความรู้สึกวิงเวียนและจิตวิญญาณจมดิ่งก็ได้มาถึงขีดสุดแล้ว หากแต่ตอนนี้ไม่อาจย้อนกลับได้ ถึงแม้หวังเป่าเล่อจะสัมผัสได้ถึงอันตราย ทว่าเขาก็หมดสติไปพร้อมกับเสียงระเบิดในหัว.ไอลีนโนเวล.

ในเวลาที่หมดสติไป เงาสีดำก็พุ่งออกจากหมอกมาปรากฏตัวตรงจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่ เงาสีดำยกมือขวาขึ้นปล่อยแสงสีดำออกมาอย่างไม่ลังเล ก่อนจะสำรวจหว่างคิ้วหวังเป่าเล่อด้วยสายตาละโมบ

“โชคดีจริงๆ เจอปลาตัวใหญ่เช่นนี้!” เงาสีดำนี้เลือนรางไม่ชัดเจนราวกับแสงสีดำ เขากำลังหัวเราะ ฝ่ามือกำลังจะแตะตัวหวังเป่าเล่อ แต่เมื่ออยู่ห่างจากหว่างคิ้วหวังเป่าเล่อสามฉื่อ จู่ๆ ก็มีม่านแสงปรากฏขึ้นและสัมผัสกับมือของคนผู้นี้

เกิดแรงสะท้อนกลับระเบิดออกมาเสียงดังสนั่น เงาสีดำนั่นสั่นสะท้านและทรุดลงกับพื้นทันทีกลับกลายเป็นมวลแสงสีดำนับไม่ถ้วนและมารวมตัวกันอีกครั้ง เขารีบพุ่งกลับเข้าไปในหมอกโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย

ขณะเดียวกันภายในโลกที่เต็มไปด้วยหมอกนี้ บริเวณโดยรอบจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่มีผู้ฝึกตนที่ทดสอบพลังฝึกปรือมากกว่า 100 คนที่เป็นเหมือนหวังเป่าเล่อได้ประสบกับเงาสีดำ แต่ถึงแม้พวกเขาจะมีเคล็ดวิชาของตัวเอง แต่ก็ยังมีอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่ไร้พลังป้องกันอย่างหวังเป่าเล่อ ดังนั้นสิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่คือ ในทันทีที่จมลงไปในกระแสน้ำวน ร่างกายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เลือดไหลทะลักและหมดสติ แสงแห่งการดึงบนร่างพวกเขาก็หายวับไปในทันที จากนั้นจึงถูกเงาดำพาตัวไป!

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดนี้ ในหมอกก็ไม่เกิดคลื่นลูกใหญ่และด้านนอกหมอกก็ไม่มีใครเข้ามา มีเพียงเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์และคนรับใช้ที่ดูเหมือนจะสังเกตเห็น บรรดาคนรับใช้ต่างอ้าปากค้าง แต่หลังจากมองดูนายของตนแล้วก็ถอนหายใจและไม่พูดอะไร

เพราะถึงแม้ผู้ฝึกตนที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้นจะถูกขโมยแสงแห่งการดึงไปแล้วและได้รับบาดเจ็บจนสลบ แต่ไม่ตาย!

และสามารถเปิดประตูชาติที่แล้วได้ด้วยการระเบิดแสงแห่งการดึง ในการเปิดฉากจู่โจมดังกล่าว สามารถมองเห็นความพร้อมของคนลงมือรวมถึงความไม่ธรรมดาของร่างกายได้!

ทว่าทั้งหมดนี้หวังเป่าเล่อไม่รับรู้แล้ว ตอนนี้เขาเสียสติไปแล้ว หรือพูดให้ถูกก็คือเขาไม่รับรู้แล้วว่าตนเองคือใคร เพราะตอนนี้เขาได้กลายเป็น…ยักษ์!

ท้องนภาเป็นสีม่วง ผืนดินเป็นสีขาว ไร้ตะวัน ไร้จันทรา มีเพียงท้องฟ้าเท่านั้น และยังมียักษ์ตนหนึ่งถือแหล่งกำเนิดแสงขนาดใหญ่อยู่ในมือ ก่อนจะยกขึ้นสูงและก้าวเดินช้าๆ ทำให้แสงสามารถครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก และเมื่อเขาเคลื่อนไปข้างหน้า พื้นที่ภายในระยะของแหล่งกำเนิดแสงจะค่อยๆ เปลี่ยนจากแสงเป็นความมืด

ยักษ์ตนนี้เปลือยกาย ปลายศีรษะโค้งงอ ผิวหนังทั่วทั้งร่างเป็นสีม่วง ลำตัวตะปุ่มตะป่ำ และถึงแม้บนร่างจะไม่มีความผันผวนของฐานการฝึกฝน แต่เลือดเนื้อและพลังชีวิตเข้มข้นอย่างน่าเหลือเชื่อทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความแข็งแกร่ง

ส่วนหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็นั่งอยู่บนไหล่ซ้ายของยักษ์ตนนั้น ขณะที่ยักษ์ก้าวไปข้างหน้า เขาก็มองดูโลกทั้งใบ ขณะเดียวกันเขาก็เห็นว่าบนไหล่ขวาของยักษ์มียักษ์ตัวเล็กที่คล้ายกับตนนั่งอยู่ด้วย ในเวลานี้เขากำลังตั้งตารอและจ้องมองแหล่งกำเนิดแสงที่ยักษ์ถืออยู่

“เจ้าสองคนจำเส้นทางให้ดี วันหน้าเมื่อพวกเจ้าโตขึ้นก็ต้องเดินทางไปทั่วโลกตามเส้นทางนี้”

“นี่คือภารกิจของเผ่าเทพอัคคีของเรา!”

หลังจากเสียงพึมพำดังออกจากปากยักษ์มาเข้าหูหวังเป่าเล่อ สมองของเขาก็พลันกรีดร้องคำราม ก่อนที่เสี้ยวหนึ่งของความทรงจำจะปรากฏขึ้นมาในวินาทีนั้น

เขาคือเผ่าเทพอัคคีเพียงสามคนที่หลงเหลืออยู่บนดาวโลกแห่งนี้ ภารกิจของพวกเขาคือส่งแสงให้ดาวโลกดวงนี้ทำให้ตระกูลอื่นอีกนับหมื่นบนดาวโลกได้อาบไล้แสงแห่งเทพ

และเผ่าเทพอัคคีอยู่ในสายเลือดเต๋าเทพโลกาเก้าพันชั้นต่ำ แม้จะไม่ได้ต่ำที่สุด แต่ก็ถูกจัดเป็นเผ่าเทพระดับล่างเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากเผ่าเทพระดับสูงที่ปกครองทั้งจักรวาล พวกเขาที่เป็นเผ่าเทพชั้นต่ำ อีกทั้งยังไม่มีพลังเทพพิเศษใดๆ จึงทำหน้าที่เป็นผู้ส่งแสงเทพเท่านั้น และถูกจัดให้มาอยู่ที่ดาวโลกแห่งนี้หลายชั่วอายุคนสลับสับเปลี่ยนไประหว่างแสงสว่างและความมืด

แม้ในบรรดาเผ่าเทพจะมีฐานะต่ำต้อย แต่ในดาวโลกดวงนี้กลับอยู่ในจุดสูงสุดและได้รับการบูชาจากชนเผ่านับไม่ถ้วนบนดาวโลก ถูกเรียกขานว่าเทพเจ้า

“จักรวาลเผ่าเทพ…” หวังเป่าเล่อพึมพำก่อนจะเงยหน้ามองแหล่งกำเนิดแสงที่ยักษ์ตนนี้ยกขึ้นสูง เขารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย คิ้วขมวดเผยแววครุ่นคิดในดวงตา หากแต่ก็ไม่รู้ว่าตนกำลังครุ่นคิดอะไร มันเป็นเพียงสัญชาตญาณว่าอยากคิด ทว่ายิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว

ขณะจมดิ่งอยู่กับความคิด สติของเขาก็ค่อยๆ พัดไปราวกับมีแรงขับไล่มหาศาลจากฟากฟ้า ก่อนที่เสียงคำรามจะมารวมตัวกันบนร่างจนหวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มราวกับทั้งร่างกำลังจะลอย ขณะเดียวกันอาการปวดหัวก็รุนแรงขึ้น

เมื่อเห็นว่าเขาต้านทานไม่ได้ ความเจ็บปวดทำให้เขาสั่นสะท้านราวกับกลายเป็นการทรมาน แต่ในตอนนั้นเอง กระแสน้ำอุ่นอ่อนโยนก็แผ่ออกมาจากร่างของหวังเป่าเล่อ หลังจากแผ่ขยายไปทั่วทั้งร่างก็ทำให้เขาฟื้นตัวจากสภาวะที่ไม่มั่นคงและถูกขับไล่อย่างรวดเร็ว จนอาการปวดหัวของเขาคลายลงไป

ระหว่างที่กำลังฟื้นตัว…ก็มีเสียงหนึ่งดังเข้าหูของเขา

“พี่ชาย ยมทูตกำลังมา เจ้ายังจะนอนต่ออีกหรือ!” เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ความคิดของหวังเป่าเล่อก็พัดปลิว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นราวกับเพิ่งตื่น ภาพตรงหน้าเขาเปลี่ยนไป เขาไม่ได้นั่งบนไหล่ยักษ์ขณะที่มันเดินไปในโลกอีกต่อไป แต่กลับนั่งอยู่ในวิหารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ร่างกายก็ไม่ได้เล็กจิ๋วอย่างก่อนหน้านี้ แต่เติบโตสูงถึง 1,000 จั้ง ตั้งแต่หัวจรดเท้ากำลังแผ่พลังแห่งเลือดอันน่าสะพรึงกลัวออกมา แม้แต่ลมหายใจก็ยังสร้างเสียงคำรามดังราวกับฟ้าร้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ

พลังแห่งเลือดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับสามารถทุบท้องฟ้าได้ด้วยหมัดเดียว ขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นว่าที่หน้าอกตนมีไข่มุกห้อยอยู่เม็ดหนึ่งดูคุ้นตามาก แต่เขากลับนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร

ส่วนเสียงร้องเรียกพี่ชายของตน…อยู่ที่เท้าของเขาในขณะนี้

นั่นคือแหล่งกำเนิดแสงที่เต็มไปด้วยความร้อนและแสงสว่างไร้ที่สิ้นสุด แหล่งกำเนิดแสงที่แทรกซึมไปด้วยพลังแห่งเทพเจ้าเปล่งพลังมหาศาลออกไป ในแหล่งกำเนิดแสงนี้มีเงาร่างมากมายนับไม่ถ้วน พวกเขากำลังคร่ำครวญอย่างเงียบงันราวกับถูกทรมานอยู่ตลอดเวลา และความเจ็บปวดของพวกเขาก็เหมือนกับเป็นพลังขับเคลื่อนต่อเนื่องให้แหล่งกำเนิดแสงนี้

คนที่พูดก็คือหนึ่งในจำนวนร่างมากมายในแหล่งกำเนิดแสง

นั่นคือน้องชายของเขาซึ่งนั่งอยู่บนไหล่อีกข้างของพ่อในตอนนั้นและเติบโตมากับเขา แต่เมื่อหลายปีก่อนกลับถูกฆ่าทิ้งด้วยมือของเขาเอง

“น้องชาย…” หวังเป่าเล่อพึมพำกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเอง ศีรษะของเขาก็เจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดนี้รุนแรงกว่าที่ผ่านมามากจนทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม ปากร้องคร่ำครวญเสียงต่ำ

…………………………………………………

ในพริบตาที่เสียงดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็เห็นแสงสีขาวภายนอกร่างกายทันที มันกะพริบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงระเบิดในหัว

เสียงระเบิดทำให้เขารู้สึกวิงเวียนสุดจะพรรณนา มันแผ่ขยายไปทั่วศีรษะราวกับโลกกำลังหมุนคว้าง อีกทั้งยังหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ และในไม่กี่อึดใจสั้นๆ ขณะที่หวังเป่าเล่อฝืนลืมตาอย่างยากลำบาก หมอกรอบตัวก็กลายเป็นกระแสน้ำวนโดยมีเขาอยู่ข้างในและกำลังจมลง!

แม้พื้นดินจะไม่ได้ทรุดตัว แต่ความรู้สึกจมดิ่งนี้ก็ยังคงรุนแรง

“นี่คือแสงแห่งการดึง กำลังดึงข้าเข้าสู่ชาติที่แล้วหรือ” หลังจากหวังเป่าเล่อเข้าใจแล้วก็รีบกดมือขวาลงบนกระเป๋าคลังเก็บ ในมือเกิดแสงสว่างวาบและปรากฏขึ้นมาเป็นจานค่ายกล

จานค่ายกลนี้เป็นหนึ่งในของที่ศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงมอบให้เขา มันบรรจุพลังแห่งค่ายกลอันทรงพลัง แม้จะได้รับผลกระทบจากหมอกพวกนี้ แต่อานุภาพก็ไม่ธรรมดา

หวังเป่าเล่อนำมันออกมา เขาฝืนอดกลั้นอาการวิงเวียนและวางมันไว้ตรงหน้าอย่างไม่ลังเล ก่อนจะกดแรงๆ ทันใดนั้นรอบกายก็ก่อตัวเป็นม่านแสงห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ ด้านในเป็นเครื่องป้องกัน จากนั้นก็หายไป

หลังจากทำเสร็จ หวังเป่าเล่อไม่อาจฝืนทนอาการวิงเวียนศีรษะได้อีกต่อไป เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และปล่อยให้ความรู้สึกนี้ปะทุขึ้นมา ทว่า…เมื่อความรู้สึกนี้ถึงขีดสุด สติการรับรู้ของหวังเป่าเล่อก็จมดิ่งลง…

ทันใดนั้นที่ด้านขวาของจุดที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่ซึ่งเดิมไม่มีหมอกที่หมุนวนแต่อย่างใด จู่ๆ ก็พลิกม้วนในฉับพลัน ข้างในมีเงาดำร่างหนึ่ง มันสว่างวาบจากหมอกที่หวังเป่าเล่ออยู่แล้ววาบกลับมาในพริบตาราวกับสังเกตเห็นบางอย่าง ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางตรงมายังหวังเป่าเล่อ

ความรู้สึกวิกฤตรุนแรงปรากฏขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ แต่ความรู้สึกวิงเวียนและจิตวิญญาณจมดิ่งก็ได้มาถึงขีดสุดแล้ว หากแต่ตอนนี้ไม่อาจย้อนกลับได้ ถึงแม้หวังเป่าเล่อจะสัมผัสได้ถึงอันตราย ทว่าเขาก็หมดสติไปพร้อมกับเสียงระเบิดในหัว.ไอลีนโนเวล.

ในเวลาที่หมดสติไป เงาสีดำก็พุ่งออกจากหมอกมาปรากฏตัวตรงจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่ เงาสีดำยกมือขวาขึ้นปล่อยแสงสีดำออกมาอย่างไม่ลังเล ก่อนจะสำรวจหว่างคิ้วหวังเป่าเล่อด้วยสายตาละโมบ

“โชคดีจริงๆ เจอปลาตัวใหญ่เช่นนี้!” เงาสีดำนี้เลือนรางไม่ชัดเจนราวกับแสงสีดำ เขากำลังหัวเราะ ฝ่ามือกำลังจะแตะตัวหวังเป่าเล่อ แต่เมื่ออยู่ห่างจากหว่างคิ้วหวังเป่าเล่อสามฉื่อ จู่ๆ ก็มีม่านแสงปรากฏขึ้นและสัมผัสกับมือของคนผู้นี้

เกิดแรงสะท้อนกลับระเบิดออกมาเสียงดังสนั่น เงาสีดำนั่นสั่นสะท้านและทรุดลงกับพื้นทันทีกลับกลายเป็นมวลแสงสีดำนับไม่ถ้วนและมารวมตัวกันอีกครั้ง เขารีบพุ่งกลับเข้าไปในหมอกโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย

ขณะเดียวกันภายในโลกที่เต็มไปด้วยหมอกนี้ บริเวณโดยรอบจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่มีผู้ฝึกตนที่ทดสอบพลังฝึกปรือมากกว่า 100 คนที่เป็นเหมือนหวังเป่าเล่อได้ประสบกับเงาสีดำ แต่ถึงแม้พวกเขาจะมีเคล็ดวิชาของตัวเอง แต่ก็ยังมีอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่ไร้พลังป้องกันอย่างหวังเป่าเล่อ ดังนั้นสิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่คือ ในทันทีที่จมลงไปในกระแสน้ำวน ร่างกายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เลือดไหลทะลักและหมดสติ แสงแห่งการดึงบนร่างพวกเขาก็หายวับไปในทันที จากนั้นจึงถูกเงาดำพาตัวไป!

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดนี้ ในหมอกก็ไม่เกิดคลื่นลูกใหญ่และด้านนอกหมอกก็ไม่มีใครเข้ามา มีเพียงเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์และคนรับใช้ที่ดูเหมือนจะสังเกตเห็น บรรดาคนรับใช้ต่างอ้าปากค้าง แต่หลังจากมองดูนายของตนแล้วก็ถอนหายใจและไม่พูดอะไร

เพราะถึงแม้ผู้ฝึกตนที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้นจะถูกขโมยแสงแห่งการดึงไปแล้วและได้รับบาดเจ็บจนสลบ แต่ไม่ตาย!

และสามารถเปิดประตูชาติที่แล้วได้ด้วยการระเบิดแสงแห่งการดึง ในการเปิดฉากจู่โจมดังกล่าว สามารถมองเห็นความพร้อมของคนลงมือรวมถึงความไม่ธรรมดาของร่างกายได้!

ทว่าทั้งหมดนี้หวังเป่าเล่อไม่รับรู้แล้ว ตอนนี้เขาเสียสติไปแล้ว หรือพูดให้ถูกก็คือเขาไม่รับรู้แล้วว่าตนเองคือใคร เพราะตอนนี้เขาได้กลายเป็น…ยักษ์!

ท้องนภาเป็นสีม่วง ผืนดินเป็นสีขาว ไร้ตะวัน ไร้จันทรา มีเพียงท้องฟ้าเท่านั้น และยังมียักษ์ตนหนึ่งถือแหล่งกำเนิดแสงขนาดใหญ่อยู่ในมือ ก่อนจะยกขึ้นสูงและก้าวเดินช้าๆ ทำให้แสงสามารถครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก และเมื่อเขาเคลื่อนไปข้างหน้า พื้นที่ภายในระยะของแหล่งกำเนิดแสงจะค่อยๆ เปลี่ยนจากแสงเป็นความมืด

ยักษ์ตนนี้เปลือยกาย ปลายศีรษะโค้งงอ ผิวหนังทั่วทั้งร่างเป็นสีม่วง ลำตัวตะปุ่มตะป่ำ และถึงแม้บนร่างจะไม่มีความผันผวนของฐานการฝึกฝน แต่เลือดเนื้อและพลังชีวิตเข้มข้นอย่างน่าเหลือเชื่อทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความแข็งแกร่ง

ส่วนหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็นั่งอยู่บนไหล่ซ้ายของยักษ์ตนนั้น ขณะที่ยักษ์ก้าวไปข้างหน้า เขาก็มองดูโลกทั้งใบ ขณะเดียวกันเขาก็เห็นว่าบนไหล่ขวาของยักษ์มียักษ์ตัวเล็กที่คล้ายกับตนนั่งอยู่ด้วย ในเวลานี้เขากำลังตั้งตารอและจ้องมองแหล่งกำเนิดแสงที่ยักษ์ถืออยู่

“เจ้าสองคนจำเส้นทางให้ดี วันหน้าเมื่อพวกเจ้าโตขึ้นก็ต้องเดินทางไปทั่วโลกตามเส้นทางนี้”

“นี่คือภารกิจของเผ่าเทพอัคคีของเรา!”

หลังจากเสียงพึมพำดังออกจากปากยักษ์มาเข้าหูหวังเป่าเล่อ สมองของเขาก็พลันกรีดร้องคำราม ก่อนที่เสี้ยวหนึ่งของความทรงจำจะปรากฏขึ้นมาในวินาทีนั้น

เขาคือเผ่าเทพอัคคีเพียงสามคนที่หลงเหลืออยู่บนดาวโลกแห่งนี้ ภารกิจของพวกเขาคือส่งแสงให้ดาวโลกดวงนี้ทำให้ตระกูลอื่นอีกนับหมื่นบนดาวโลกได้อาบไล้แสงแห่งเทพ

และเผ่าเทพอัคคีอยู่ในสายเลือดเต๋าเทพโลกาเก้าพันชั้นต่ำ แม้จะไม่ได้ต่ำที่สุด แต่ก็ถูกจัดเป็นเผ่าเทพระดับล่างเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากเผ่าเทพระดับสูงที่ปกครองทั้งจักรวาล พวกเขาที่เป็นเผ่าเทพชั้นต่ำ อีกทั้งยังไม่มีพลังเทพพิเศษใดๆ จึงทำหน้าที่เป็นผู้ส่งแสงเทพเท่านั้น และถูกจัดให้มาอยู่ที่ดาวโลกแห่งนี้หลายชั่วอายุคนสลับสับเปลี่ยนไประหว่างแสงสว่างและความมืด

แม้ในบรรดาเผ่าเทพจะมีฐานะต่ำต้อย แต่ในดาวโลกดวงนี้กลับอยู่ในจุดสูงสุดและได้รับการบูชาจากชนเผ่านับไม่ถ้วนบนดาวโลก ถูกเรียกขานว่าเทพเจ้า

“จักรวาลเผ่าเทพ…” หวังเป่าเล่อพึมพำก่อนจะเงยหน้ามองแหล่งกำเนิดแสงที่ยักษ์ตนนี้ยกขึ้นสูง เขารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย คิ้วขมวดเผยแววครุ่นคิดในดวงตา หากแต่ก็ไม่รู้ว่าตนกำลังครุ่นคิดอะไร มันเป็นเพียงสัญชาตญาณว่าอยากคิด ทว่ายิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว

ขณะจมดิ่งอยู่กับความคิด สติของเขาก็ค่อยๆ พัดไปราวกับมีแรงขับไล่มหาศาลจากฟากฟ้า ก่อนที่เสียงคำรามจะมารวมตัวกันบนร่างจนหวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มราวกับทั้งร่างกำลังจะลอย ขณะเดียวกันอาการปวดหัวก็รุนแรงขึ้น

เมื่อเห็นว่าเขาต้านทานไม่ได้ ความเจ็บปวดทำให้เขาสั่นสะท้านราวกับกลายเป็นการทรมาน แต่ในตอนนั้นเอง กระแสน้ำอุ่นอ่อนโยนก็แผ่ออกมาจากร่างของหวังเป่าเล่อ หลังจากแผ่ขยายไปทั่วทั้งร่างก็ทำให้เขาฟื้นตัวจากสภาวะที่ไม่มั่นคงและถูกขับไล่อย่างรวดเร็ว จนอาการปวดหัวของเขาคลายลงไป

ระหว่างที่กำลังฟื้นตัว…ก็มีเสียงหนึ่งดังเข้าหูของเขา

“พี่ชาย ยมทูตกำลังมา เจ้ายังจะนอนต่ออีกหรือ!” เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ความคิดของหวังเป่าเล่อก็พัดปลิว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นราวกับเพิ่งตื่น ภาพตรงหน้าเขาเปลี่ยนไป เขาไม่ได้นั่งบนไหล่ยักษ์ขณะที่มันเดินไปในโลกอีกต่อไป แต่กลับนั่งอยู่ในวิหารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ร่างกายก็ไม่ได้เล็กจิ๋วอย่างก่อนหน้านี้ แต่เติบโตสูงถึง 1,000 จั้ง ตั้งแต่หัวจรดเท้ากำลังแผ่พลังแห่งเลือดอันน่าสะพรึงกลัวออกมา แม้แต่ลมหายใจก็ยังสร้างเสียงคำรามดังราวกับฟ้าร้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ

พลังแห่งเลือดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับสามารถทุบท้องฟ้าได้ด้วยหมัดเดียว ขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นว่าที่หน้าอกตนมีไข่มุกห้อยอยู่เม็ดหนึ่งดูคุ้นตามาก แต่เขากลับนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร

ส่วนเสียงร้องเรียกพี่ชายของตน…อยู่ที่เท้าของเขาในขณะนี้

นั่นคือแหล่งกำเนิดแสงที่เต็มไปด้วยความร้อนและแสงสว่างไร้ที่สิ้นสุด แหล่งกำเนิดแสงที่แทรกซึมไปด้วยพลังแห่งเทพเจ้าเปล่งพลังมหาศาลออกไป ในแหล่งกำเนิดแสงนี้มีเงาร่างมากมายนับไม่ถ้วน พวกเขากำลังคร่ำครวญอย่างเงียบงันราวกับถูกทรมานอยู่ตลอดเวลา และความเจ็บปวดของพวกเขาก็เหมือนกับเป็นพลังขับเคลื่อนต่อเนื่องให้แหล่งกำเนิดแสงนี้

คนที่พูดก็คือหนึ่งในจำนวนร่างมากมายในแหล่งกำเนิดแสง

นั่นคือน้องชายของเขาซึ่งนั่งอยู่บนไหล่อีกข้างของพ่อในตอนนั้นและเติบโตมากับเขา แต่เมื่อหลายปีก่อนกลับถูกฆ่าทิ้งด้วยมือของเขาเอง

“น้องชาย…” หวังเป่าเล่อพึมพำกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเอง ศีรษะของเขาก็เจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดนี้รุนแรงกว่าที่ผ่านมามากจนทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม ปากร้องคร่ำครวญเสียงต่ำ

…………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกาบทที่ 1049 เผ่าเทพอัคคี!

Now you are reading หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา Chapter บทที่ 1049 เผ่าเทพอัคคี! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในพริบตาที่เสียงดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็เห็นแสงสีขาวภายนอกร่างกายทันที มันกะพริบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงระเบิดในหัว

เสียงระเบิดทำให้เขารู้สึกวิงเวียนสุดจะพรรณนา มันแผ่ขยายไปทั่วศีรษะราวกับโลกกำลังหมุนคว้าง อีกทั้งยังหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ และในไม่กี่อึดใจสั้นๆ ขณะที่หวังเป่าเล่อฝืนลืมตาอย่างยากลำบาก หมอกรอบตัวก็กลายเป็นกระแสน้ำวนโดยมีเขาอยู่ข้างในและกำลังจมลง!

แม้พื้นดินจะไม่ได้ทรุดตัว แต่ความรู้สึกจมดิ่งนี้ก็ยังคงรุนแรง

“นี่คือแสงแห่งการดึง กำลังดึงข้าเข้าสู่ชาติที่แล้วหรือ” หลังจากหวังเป่าเล่อเข้าใจแล้วก็รีบกดมือขวาลงบนกระเป๋าคลังเก็บ ในมือเกิดแสงสว่างวาบและปรากฏขึ้นมาเป็นจานค่ายกล

จานค่ายกลนี้เป็นหนึ่งในของที่ศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงมอบให้เขา มันบรรจุพลังแห่งค่ายกลอันทรงพลัง แม้จะได้รับผลกระทบจากหมอกพวกนี้ แต่อานุภาพก็ไม่ธรรมดา

หวังเป่าเล่อนำมันออกมา เขาฝืนอดกลั้นอาการวิงเวียนและวางมันไว้ตรงหน้าอย่างไม่ลังเล ก่อนจะกดแรงๆ ทันใดนั้นรอบกายก็ก่อตัวเป็นม่านแสงห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ ด้านในเป็นเครื่องป้องกัน จากนั้นก็หายไป

หลังจากทำเสร็จ หวังเป่าเล่อไม่อาจฝืนทนอาการวิงเวียนศีรษะได้อีกต่อไป เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และปล่อยให้ความรู้สึกนี้ปะทุขึ้นมา ทว่า…เมื่อความรู้สึกนี้ถึงขีดสุด สติการรับรู้ของหวังเป่าเล่อก็จมดิ่งลง…

ทันใดนั้นที่ด้านขวาของจุดที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่ซึ่งเดิมไม่มีหมอกที่หมุนวนแต่อย่างใด จู่ๆ ก็พลิกม้วนในฉับพลัน ข้างในมีเงาดำร่างหนึ่ง มันสว่างวาบจากหมอกที่หวังเป่าเล่ออยู่แล้ววาบกลับมาในพริบตาราวกับสังเกตเห็นบางอย่าง ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางตรงมายังหวังเป่าเล่อ

ความรู้สึกวิกฤตรุนแรงปรากฏขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ แต่ความรู้สึกวิงเวียนและจิตวิญญาณจมดิ่งก็ได้มาถึงขีดสุดแล้ว หากแต่ตอนนี้ไม่อาจย้อนกลับได้ ถึงแม้หวังเป่าเล่อจะสัมผัสได้ถึงอันตราย ทว่าเขาก็หมดสติไปพร้อมกับเสียงระเบิดในหัว.ไอลีนโนเวล.

ในเวลาที่หมดสติไป เงาสีดำก็พุ่งออกจากหมอกมาปรากฏตัวตรงจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่ เงาสีดำยกมือขวาขึ้นปล่อยแสงสีดำออกมาอย่างไม่ลังเล ก่อนจะสำรวจหว่างคิ้วหวังเป่าเล่อด้วยสายตาละโมบ

“โชคดีจริงๆ เจอปลาตัวใหญ่เช่นนี้!” เงาสีดำนี้เลือนรางไม่ชัดเจนราวกับแสงสีดำ เขากำลังหัวเราะ ฝ่ามือกำลังจะแตะตัวหวังเป่าเล่อ แต่เมื่ออยู่ห่างจากหว่างคิ้วหวังเป่าเล่อสามฉื่อ จู่ๆ ก็มีม่านแสงปรากฏขึ้นและสัมผัสกับมือของคนผู้นี้

เกิดแรงสะท้อนกลับระเบิดออกมาเสียงดังสนั่น เงาสีดำนั่นสั่นสะท้านและทรุดลงกับพื้นทันทีกลับกลายเป็นมวลแสงสีดำนับไม่ถ้วนและมารวมตัวกันอีกครั้ง เขารีบพุ่งกลับเข้าไปในหมอกโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย

ขณะเดียวกันภายในโลกที่เต็มไปด้วยหมอกนี้ บริเวณโดยรอบจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่มีผู้ฝึกตนที่ทดสอบพลังฝึกปรือมากกว่า 100 คนที่เป็นเหมือนหวังเป่าเล่อได้ประสบกับเงาสีดำ แต่ถึงแม้พวกเขาจะมีเคล็ดวิชาของตัวเอง แต่ก็ยังมีอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่ไร้พลังป้องกันอย่างหวังเป่าเล่อ ดังนั้นสิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่คือ ในทันทีที่จมลงไปในกระแสน้ำวน ร่างกายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เลือดไหลทะลักและหมดสติ แสงแห่งการดึงบนร่างพวกเขาก็หายวับไปในทันที จากนั้นจึงถูกเงาดำพาตัวไป!

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดนี้ ในหมอกก็ไม่เกิดคลื่นลูกใหญ่และด้านนอกหมอกก็ไม่มีใครเข้ามา มีเพียงเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์และคนรับใช้ที่ดูเหมือนจะสังเกตเห็น บรรดาคนรับใช้ต่างอ้าปากค้าง แต่หลังจากมองดูนายของตนแล้วก็ถอนหายใจและไม่พูดอะไร

เพราะถึงแม้ผู้ฝึกตนที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้นจะถูกขโมยแสงแห่งการดึงไปแล้วและได้รับบาดเจ็บจนสลบ แต่ไม่ตาย!

และสามารถเปิดประตูชาติที่แล้วได้ด้วยการระเบิดแสงแห่งการดึง ในการเปิดฉากจู่โจมดังกล่าว สามารถมองเห็นความพร้อมของคนลงมือรวมถึงความไม่ธรรมดาของร่างกายได้!

ทว่าทั้งหมดนี้หวังเป่าเล่อไม่รับรู้แล้ว ตอนนี้เขาเสียสติไปแล้ว หรือพูดให้ถูกก็คือเขาไม่รับรู้แล้วว่าตนเองคือใคร เพราะตอนนี้เขาได้กลายเป็น…ยักษ์!

ท้องนภาเป็นสีม่วง ผืนดินเป็นสีขาว ไร้ตะวัน ไร้จันทรา มีเพียงท้องฟ้าเท่านั้น และยังมียักษ์ตนหนึ่งถือแหล่งกำเนิดแสงขนาดใหญ่อยู่ในมือ ก่อนจะยกขึ้นสูงและก้าวเดินช้าๆ ทำให้แสงสามารถครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก และเมื่อเขาเคลื่อนไปข้างหน้า พื้นที่ภายในระยะของแหล่งกำเนิดแสงจะค่อยๆ เปลี่ยนจากแสงเป็นความมืด

ยักษ์ตนนี้เปลือยกาย ปลายศีรษะโค้งงอ ผิวหนังทั่วทั้งร่างเป็นสีม่วง ลำตัวตะปุ่มตะป่ำ และถึงแม้บนร่างจะไม่มีความผันผวนของฐานการฝึกฝน แต่เลือดเนื้อและพลังชีวิตเข้มข้นอย่างน่าเหลือเชื่อทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความแข็งแกร่ง

ส่วนหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็นั่งอยู่บนไหล่ซ้ายของยักษ์ตนนั้น ขณะที่ยักษ์ก้าวไปข้างหน้า เขาก็มองดูโลกทั้งใบ ขณะเดียวกันเขาก็เห็นว่าบนไหล่ขวาของยักษ์มียักษ์ตัวเล็กที่คล้ายกับตนนั่งอยู่ด้วย ในเวลานี้เขากำลังตั้งตารอและจ้องมองแหล่งกำเนิดแสงที่ยักษ์ถืออยู่

“เจ้าสองคนจำเส้นทางให้ดี วันหน้าเมื่อพวกเจ้าโตขึ้นก็ต้องเดินทางไปทั่วโลกตามเส้นทางนี้”

“นี่คือภารกิจของเผ่าเทพอัคคีของเรา!”

หลังจากเสียงพึมพำดังออกจากปากยักษ์มาเข้าหูหวังเป่าเล่อ สมองของเขาก็พลันกรีดร้องคำราม ก่อนที่เสี้ยวหนึ่งของความทรงจำจะปรากฏขึ้นมาในวินาทีนั้น

เขาคือเผ่าเทพอัคคีเพียงสามคนที่หลงเหลืออยู่บนดาวโลกแห่งนี้ ภารกิจของพวกเขาคือส่งแสงให้ดาวโลกดวงนี้ทำให้ตระกูลอื่นอีกนับหมื่นบนดาวโลกได้อาบไล้แสงแห่งเทพ

และเผ่าเทพอัคคีอยู่ในสายเลือดเต๋าเทพโลกาเก้าพันชั้นต่ำ แม้จะไม่ได้ต่ำที่สุด แต่ก็ถูกจัดเป็นเผ่าเทพระดับล่างเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากเผ่าเทพระดับสูงที่ปกครองทั้งจักรวาล พวกเขาที่เป็นเผ่าเทพชั้นต่ำ อีกทั้งยังไม่มีพลังเทพพิเศษใดๆ จึงทำหน้าที่เป็นผู้ส่งแสงเทพเท่านั้น และถูกจัดให้มาอยู่ที่ดาวโลกแห่งนี้หลายชั่วอายุคนสลับสับเปลี่ยนไประหว่างแสงสว่างและความมืด

แม้ในบรรดาเผ่าเทพจะมีฐานะต่ำต้อย แต่ในดาวโลกดวงนี้กลับอยู่ในจุดสูงสุดและได้รับการบูชาจากชนเผ่านับไม่ถ้วนบนดาวโลก ถูกเรียกขานว่าเทพเจ้า

“จักรวาลเผ่าเทพ…” หวังเป่าเล่อพึมพำก่อนจะเงยหน้ามองแหล่งกำเนิดแสงที่ยักษ์ตนนี้ยกขึ้นสูง เขารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย คิ้วขมวดเผยแววครุ่นคิดในดวงตา หากแต่ก็ไม่รู้ว่าตนกำลังครุ่นคิดอะไร มันเป็นเพียงสัญชาตญาณว่าอยากคิด ทว่ายิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว

ขณะจมดิ่งอยู่กับความคิด สติของเขาก็ค่อยๆ พัดไปราวกับมีแรงขับไล่มหาศาลจากฟากฟ้า ก่อนที่เสียงคำรามจะมารวมตัวกันบนร่างจนหวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มราวกับทั้งร่างกำลังจะลอย ขณะเดียวกันอาการปวดหัวก็รุนแรงขึ้น

เมื่อเห็นว่าเขาต้านทานไม่ได้ ความเจ็บปวดทำให้เขาสั่นสะท้านราวกับกลายเป็นการทรมาน แต่ในตอนนั้นเอง กระแสน้ำอุ่นอ่อนโยนก็แผ่ออกมาจากร่างของหวังเป่าเล่อ หลังจากแผ่ขยายไปทั่วทั้งร่างก็ทำให้เขาฟื้นตัวจากสภาวะที่ไม่มั่นคงและถูกขับไล่อย่างรวดเร็ว จนอาการปวดหัวของเขาคลายลงไป

ระหว่างที่กำลังฟื้นตัว…ก็มีเสียงหนึ่งดังเข้าหูของเขา

“พี่ชาย ยมทูตกำลังมา เจ้ายังจะนอนต่ออีกหรือ!” เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ความคิดของหวังเป่าเล่อก็พัดปลิว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นราวกับเพิ่งตื่น ภาพตรงหน้าเขาเปลี่ยนไป เขาไม่ได้นั่งบนไหล่ยักษ์ขณะที่มันเดินไปในโลกอีกต่อไป แต่กลับนั่งอยู่ในวิหารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ร่างกายก็ไม่ได้เล็กจิ๋วอย่างก่อนหน้านี้ แต่เติบโตสูงถึง 1,000 จั้ง ตั้งแต่หัวจรดเท้ากำลังแผ่พลังแห่งเลือดอันน่าสะพรึงกลัวออกมา แม้แต่ลมหายใจก็ยังสร้างเสียงคำรามดังราวกับฟ้าร้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ

พลังแห่งเลือดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับสามารถทุบท้องฟ้าได้ด้วยหมัดเดียว ขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นว่าที่หน้าอกตนมีไข่มุกห้อยอยู่เม็ดหนึ่งดูคุ้นตามาก แต่เขากลับนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร

ส่วนเสียงร้องเรียกพี่ชายของตน…อยู่ที่เท้าของเขาในขณะนี้

นั่นคือแหล่งกำเนิดแสงที่เต็มไปด้วยความร้อนและแสงสว่างไร้ที่สิ้นสุด แหล่งกำเนิดแสงที่แทรกซึมไปด้วยพลังแห่งเทพเจ้าเปล่งพลังมหาศาลออกไป ในแหล่งกำเนิดแสงนี้มีเงาร่างมากมายนับไม่ถ้วน พวกเขากำลังคร่ำครวญอย่างเงียบงันราวกับถูกทรมานอยู่ตลอดเวลา และความเจ็บปวดของพวกเขาก็เหมือนกับเป็นพลังขับเคลื่อนต่อเนื่องให้แหล่งกำเนิดแสงนี้

คนที่พูดก็คือหนึ่งในจำนวนร่างมากมายในแหล่งกำเนิดแสง

นั่นคือน้องชายของเขาซึ่งนั่งอยู่บนไหล่อีกข้างของพ่อในตอนนั้นและเติบโตมากับเขา แต่เมื่อหลายปีก่อนกลับถูกฆ่าทิ้งด้วยมือของเขาเอง

“น้องชาย…” หวังเป่าเล่อพึมพำกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเอง ศีรษะของเขาก็เจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดนี้รุนแรงกว่าที่ผ่านมามากจนทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม ปากร้องคร่ำครวญเสียงต่ำ

…………………………………………………

ในพริบตาที่เสียงดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็เห็นแสงสีขาวภายนอกร่างกายทันที มันกะพริบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงระเบิดในหัว

เสียงระเบิดทำให้เขารู้สึกวิงเวียนสุดจะพรรณนา มันแผ่ขยายไปทั่วศีรษะราวกับโลกกำลังหมุนคว้าง อีกทั้งยังหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ และในไม่กี่อึดใจสั้นๆ ขณะที่หวังเป่าเล่อฝืนลืมตาอย่างยากลำบาก หมอกรอบตัวก็กลายเป็นกระแสน้ำวนโดยมีเขาอยู่ข้างในและกำลังจมลง!

แม้พื้นดินจะไม่ได้ทรุดตัว แต่ความรู้สึกจมดิ่งนี้ก็ยังคงรุนแรง

“นี่คือแสงแห่งการดึง กำลังดึงข้าเข้าสู่ชาติที่แล้วหรือ” หลังจากหวังเป่าเล่อเข้าใจแล้วก็รีบกดมือขวาลงบนกระเป๋าคลังเก็บ ในมือเกิดแสงสว่างวาบและปรากฏขึ้นมาเป็นจานค่ายกล

จานค่ายกลนี้เป็นหนึ่งในของที่ศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงมอบให้เขา มันบรรจุพลังแห่งค่ายกลอันทรงพลัง แม้จะได้รับผลกระทบจากหมอกพวกนี้ แต่อานุภาพก็ไม่ธรรมดา

หวังเป่าเล่อนำมันออกมา เขาฝืนอดกลั้นอาการวิงเวียนและวางมันไว้ตรงหน้าอย่างไม่ลังเล ก่อนจะกดแรงๆ ทันใดนั้นรอบกายก็ก่อตัวเป็นม่านแสงห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ ด้านในเป็นเครื่องป้องกัน จากนั้นก็หายไป

หลังจากทำเสร็จ หวังเป่าเล่อไม่อาจฝืนทนอาการวิงเวียนศีรษะได้อีกต่อไป เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และปล่อยให้ความรู้สึกนี้ปะทุขึ้นมา ทว่า…เมื่อความรู้สึกนี้ถึงขีดสุด สติการรับรู้ของหวังเป่าเล่อก็จมดิ่งลง…

ทันใดนั้นที่ด้านขวาของจุดที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่ซึ่งเดิมไม่มีหมอกที่หมุนวนแต่อย่างใด จู่ๆ ก็พลิกม้วนในฉับพลัน ข้างในมีเงาดำร่างหนึ่ง มันสว่างวาบจากหมอกที่หวังเป่าเล่ออยู่แล้ววาบกลับมาในพริบตาราวกับสังเกตเห็นบางอย่าง ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางตรงมายังหวังเป่าเล่อ

ความรู้สึกวิกฤตรุนแรงปรากฏขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ แต่ความรู้สึกวิงเวียนและจิตวิญญาณจมดิ่งก็ได้มาถึงขีดสุดแล้ว หากแต่ตอนนี้ไม่อาจย้อนกลับได้ ถึงแม้หวังเป่าเล่อจะสัมผัสได้ถึงอันตราย ทว่าเขาก็หมดสติไปพร้อมกับเสียงระเบิดในหัว.ไอลีนโนเวล.

ในเวลาที่หมดสติไป เงาสีดำก็พุ่งออกจากหมอกมาปรากฏตัวตรงจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่ เงาสีดำยกมือขวาขึ้นปล่อยแสงสีดำออกมาอย่างไม่ลังเล ก่อนจะสำรวจหว่างคิ้วหวังเป่าเล่อด้วยสายตาละโมบ

“โชคดีจริงๆ เจอปลาตัวใหญ่เช่นนี้!” เงาสีดำนี้เลือนรางไม่ชัดเจนราวกับแสงสีดำ เขากำลังหัวเราะ ฝ่ามือกำลังจะแตะตัวหวังเป่าเล่อ แต่เมื่ออยู่ห่างจากหว่างคิ้วหวังเป่าเล่อสามฉื่อ จู่ๆ ก็มีม่านแสงปรากฏขึ้นและสัมผัสกับมือของคนผู้นี้

เกิดแรงสะท้อนกลับระเบิดออกมาเสียงดังสนั่น เงาสีดำนั่นสั่นสะท้านและทรุดลงกับพื้นทันทีกลับกลายเป็นมวลแสงสีดำนับไม่ถ้วนและมารวมตัวกันอีกครั้ง เขารีบพุ่งกลับเข้าไปในหมอกโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย

ขณะเดียวกันภายในโลกที่เต็มไปด้วยหมอกนี้ บริเวณโดยรอบจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่มีผู้ฝึกตนที่ทดสอบพลังฝึกปรือมากกว่า 100 คนที่เป็นเหมือนหวังเป่าเล่อได้ประสบกับเงาสีดำ แต่ถึงแม้พวกเขาจะมีเคล็ดวิชาของตัวเอง แต่ก็ยังมีอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่ไร้พลังป้องกันอย่างหวังเป่าเล่อ ดังนั้นสิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่คือ ในทันทีที่จมลงไปในกระแสน้ำวน ร่างกายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เลือดไหลทะลักและหมดสติ แสงแห่งการดึงบนร่างพวกเขาก็หายวับไปในทันที จากนั้นจึงถูกเงาดำพาตัวไป!

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดนี้ ในหมอกก็ไม่เกิดคลื่นลูกใหญ่และด้านนอกหมอกก็ไม่มีใครเข้ามา มีเพียงเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์และคนรับใช้ที่ดูเหมือนจะสังเกตเห็น บรรดาคนรับใช้ต่างอ้าปากค้าง แต่หลังจากมองดูนายของตนแล้วก็ถอนหายใจและไม่พูดอะไร

เพราะถึงแม้ผู้ฝึกตนที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้นจะถูกขโมยแสงแห่งการดึงไปแล้วและได้รับบาดเจ็บจนสลบ แต่ไม่ตาย!

และสามารถเปิดประตูชาติที่แล้วได้ด้วยการระเบิดแสงแห่งการดึง ในการเปิดฉากจู่โจมดังกล่าว สามารถมองเห็นความพร้อมของคนลงมือรวมถึงความไม่ธรรมดาของร่างกายได้!

ทว่าทั้งหมดนี้หวังเป่าเล่อไม่รับรู้แล้ว ตอนนี้เขาเสียสติไปแล้ว หรือพูดให้ถูกก็คือเขาไม่รับรู้แล้วว่าตนเองคือใคร เพราะตอนนี้เขาได้กลายเป็น…ยักษ์!

ท้องนภาเป็นสีม่วง ผืนดินเป็นสีขาว ไร้ตะวัน ไร้จันทรา มีเพียงท้องฟ้าเท่านั้น และยังมียักษ์ตนหนึ่งถือแหล่งกำเนิดแสงขนาดใหญ่อยู่ในมือ ก่อนจะยกขึ้นสูงและก้าวเดินช้าๆ ทำให้แสงสามารถครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก และเมื่อเขาเคลื่อนไปข้างหน้า พื้นที่ภายในระยะของแหล่งกำเนิดแสงจะค่อยๆ เปลี่ยนจากแสงเป็นความมืด

ยักษ์ตนนี้เปลือยกาย ปลายศีรษะโค้งงอ ผิวหนังทั่วทั้งร่างเป็นสีม่วง ลำตัวตะปุ่มตะป่ำ และถึงแม้บนร่างจะไม่มีความผันผวนของฐานการฝึกฝน แต่เลือดเนื้อและพลังชีวิตเข้มข้นอย่างน่าเหลือเชื่อทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความแข็งแกร่ง

ส่วนหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็นั่งอยู่บนไหล่ซ้ายของยักษ์ตนนั้น ขณะที่ยักษ์ก้าวไปข้างหน้า เขาก็มองดูโลกทั้งใบ ขณะเดียวกันเขาก็เห็นว่าบนไหล่ขวาของยักษ์มียักษ์ตัวเล็กที่คล้ายกับตนนั่งอยู่ด้วย ในเวลานี้เขากำลังตั้งตารอและจ้องมองแหล่งกำเนิดแสงที่ยักษ์ถืออยู่

“เจ้าสองคนจำเส้นทางให้ดี วันหน้าเมื่อพวกเจ้าโตขึ้นก็ต้องเดินทางไปทั่วโลกตามเส้นทางนี้”

“นี่คือภารกิจของเผ่าเทพอัคคีของเรา!”

หลังจากเสียงพึมพำดังออกจากปากยักษ์มาเข้าหูหวังเป่าเล่อ สมองของเขาก็พลันกรีดร้องคำราม ก่อนที่เสี้ยวหนึ่งของความทรงจำจะปรากฏขึ้นมาในวินาทีนั้น

เขาคือเผ่าเทพอัคคีเพียงสามคนที่หลงเหลืออยู่บนดาวโลกแห่งนี้ ภารกิจของพวกเขาคือส่งแสงให้ดาวโลกดวงนี้ทำให้ตระกูลอื่นอีกนับหมื่นบนดาวโลกได้อาบไล้แสงแห่งเทพ

และเผ่าเทพอัคคีอยู่ในสายเลือดเต๋าเทพโลกาเก้าพันชั้นต่ำ แม้จะไม่ได้ต่ำที่สุด แต่ก็ถูกจัดเป็นเผ่าเทพระดับล่างเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากเผ่าเทพระดับสูงที่ปกครองทั้งจักรวาล พวกเขาที่เป็นเผ่าเทพชั้นต่ำ อีกทั้งยังไม่มีพลังเทพพิเศษใดๆ จึงทำหน้าที่เป็นผู้ส่งแสงเทพเท่านั้น และถูกจัดให้มาอยู่ที่ดาวโลกแห่งนี้หลายชั่วอายุคนสลับสับเปลี่ยนไประหว่างแสงสว่างและความมืด

แม้ในบรรดาเผ่าเทพจะมีฐานะต่ำต้อย แต่ในดาวโลกดวงนี้กลับอยู่ในจุดสูงสุดและได้รับการบูชาจากชนเผ่านับไม่ถ้วนบนดาวโลก ถูกเรียกขานว่าเทพเจ้า

“จักรวาลเผ่าเทพ…” หวังเป่าเล่อพึมพำก่อนจะเงยหน้ามองแหล่งกำเนิดแสงที่ยักษ์ตนนี้ยกขึ้นสูง เขารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย คิ้วขมวดเผยแววครุ่นคิดในดวงตา หากแต่ก็ไม่รู้ว่าตนกำลังครุ่นคิดอะไร มันเป็นเพียงสัญชาตญาณว่าอยากคิด ทว่ายิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว

ขณะจมดิ่งอยู่กับความคิด สติของเขาก็ค่อยๆ พัดไปราวกับมีแรงขับไล่มหาศาลจากฟากฟ้า ก่อนที่เสียงคำรามจะมารวมตัวกันบนร่างจนหวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มราวกับทั้งร่างกำลังจะลอย ขณะเดียวกันอาการปวดหัวก็รุนแรงขึ้น

เมื่อเห็นว่าเขาต้านทานไม่ได้ ความเจ็บปวดทำให้เขาสั่นสะท้านราวกับกลายเป็นการทรมาน แต่ในตอนนั้นเอง กระแสน้ำอุ่นอ่อนโยนก็แผ่ออกมาจากร่างของหวังเป่าเล่อ หลังจากแผ่ขยายไปทั่วทั้งร่างก็ทำให้เขาฟื้นตัวจากสภาวะที่ไม่มั่นคงและถูกขับไล่อย่างรวดเร็ว จนอาการปวดหัวของเขาคลายลงไป

ระหว่างที่กำลังฟื้นตัว…ก็มีเสียงหนึ่งดังเข้าหูของเขา

“พี่ชาย ยมทูตกำลังมา เจ้ายังจะนอนต่ออีกหรือ!” เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ความคิดของหวังเป่าเล่อก็พัดปลิว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นราวกับเพิ่งตื่น ภาพตรงหน้าเขาเปลี่ยนไป เขาไม่ได้นั่งบนไหล่ยักษ์ขณะที่มันเดินไปในโลกอีกต่อไป แต่กลับนั่งอยู่ในวิหารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ร่างกายก็ไม่ได้เล็กจิ๋วอย่างก่อนหน้านี้ แต่เติบโตสูงถึง 1,000 จั้ง ตั้งแต่หัวจรดเท้ากำลังแผ่พลังแห่งเลือดอันน่าสะพรึงกลัวออกมา แม้แต่ลมหายใจก็ยังสร้างเสียงคำรามดังราวกับฟ้าร้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ

พลังแห่งเลือดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับสามารถทุบท้องฟ้าได้ด้วยหมัดเดียว ขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นว่าที่หน้าอกตนมีไข่มุกห้อยอยู่เม็ดหนึ่งดูคุ้นตามาก แต่เขากลับนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร

ส่วนเสียงร้องเรียกพี่ชายของตน…อยู่ที่เท้าของเขาในขณะนี้

นั่นคือแหล่งกำเนิดแสงที่เต็มไปด้วยความร้อนและแสงสว่างไร้ที่สิ้นสุด แหล่งกำเนิดแสงที่แทรกซึมไปด้วยพลังแห่งเทพเจ้าเปล่งพลังมหาศาลออกไป ในแหล่งกำเนิดแสงนี้มีเงาร่างมากมายนับไม่ถ้วน พวกเขากำลังคร่ำครวญอย่างเงียบงันราวกับถูกทรมานอยู่ตลอดเวลา และความเจ็บปวดของพวกเขาก็เหมือนกับเป็นพลังขับเคลื่อนต่อเนื่องให้แหล่งกำเนิดแสงนี้

คนที่พูดก็คือหนึ่งในจำนวนร่างมากมายในแหล่งกำเนิดแสง

นั่นคือน้องชายของเขาซึ่งนั่งอยู่บนไหล่อีกข้างของพ่อในตอนนั้นและเติบโตมากับเขา แต่เมื่อหลายปีก่อนกลับถูกฆ่าทิ้งด้วยมือของเขาเอง

“น้องชาย…” หวังเป่าเล่อพึมพำกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเอง ศีรษะของเขาก็เจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดนี้รุนแรงกว่าที่ผ่านมามากจนทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม ปากร้องคร่ำครวญเสียงต่ำ

…………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+