หนึ่งฝ่ามือสยบโลกาบทที่ 730 อุบัติเหตุ…
ระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์เป็นระบบดาวขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของระบบสุริยะ โดยมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ถึง 23 ดวงที่โคจรรอบดาวฤกษ์หลัก ดาวเคราะห์เหล่านั้นหมุนรอบตัวเองและรอบดาวฤกษ์อย่างไม่รู้จบ จนราวกับว่าจะคงอยู่ในวงโคจรนี้ตราบชั่วกัลปาวสาน
ระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์มีสิ่งมีชีวิตและอารยธรรมเป็นของตนเองเช่นเดียวกับระบบสุริยะ แต่เป็นอารยธรรมที่ก้าวหน้าในด้านการฝึกตนกว่ามาก ด้วยความที่ทั้งสองอารยธรรมเติบโตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกัน จึงทำให้สิ่งมีชีวิตในระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์มีหน้าตาใกล้เคียงสิ่งมีชีวิตในสหพันธรัฐ
แต่ก็ยังมีความแตกต่างด้านสรีรวิทยาอยู่เล็กน้อย
วันนี้ บนดาวเอกของระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ขนาดเท่าดาวพฤหัสบดีในระบบสุริยะ มีดาวหางพุ่งลงมาจากห้วงอวกาศไกลโพ้นและตกลงที่พื้นผิวของดาวเคราะห์ยักษ์ การที่ดาวหางตกลงสู่พื้นผิวดาวเป็นเรื่องปกติของดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ ด้วยเหตุนี้แม้หลายคนจะเห็นดาวหางที่พุ่งลงมาก็แทบไม่มีใครสนใจ
มีเพียงผู้ฝึกตนบางคนซึ่งอยู่ใกล้บริเวณที่ดาวหางตก ที่จะเดินทางมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นเผื่อว่าจะพบของมีค่าเข้า และถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงทรัพยากร
พอดาวหางพุ่งเข้าชนพื้นดินจนทำให้เกิดแอ่งกระทะขนาดใหญ่ โลงศพก็ตกตามลงมาด้วย โลงศพเหล็กสีดำเสียบทะลุพื้นดินของดาวโดยไร้ซึ่งซุ่มเสียง มันหยุดเคลื่อนไหวในทันที ราวกับถูกฝังลงไปในผืนดินเป็นที่เรียบร้อย
โลงศพนี้มีสีดำสนิท ดูเหมือนว่าจะสร้างมาจากโลหะกล้าสีดำ บนผิวของโลงเต็มไปด้วยอักขระโบราณมากมาย ทว่า…อักขระเหล่านั้นกลับอยู่ในสภาพยับเยิน กระทั่งตัวโลงศพเองยังเต็มไปด้วยรูและรอยขีดข่วนนับไม่ถ้วน ราวกับถูกของแหลมแทงจนเกือบทะลุ รูเหล่านั้นลึกจนเกือบตัดผ่านโลงศพได้ แต่ดูเหมือนว่าก่อนที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น มีคนเอาตัวเข้ามาบังการโจมตีนั้นเสียก่อน หากไม่ทันการณ์ โลงศพอาจแตกสลายกลายเป็นชิ้นๆ ได้เลยทีเดียว!
โลงศพสีดำผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน เป็นสมรภูมิที่ดุเดือดอันตรายเหลือคณนา มิเช่นนั้นวัตถุเวทที่ทรงพลังเช่นนี้คงไม่ตกอยู่ในสภาพย่อยยับถึงเพียงนี้เป็นแน่
หากมีใครเข้ามาสังเกตใกล้ๆ จะเห็นว่าบนผิวของโลงเต็มไปด้วยคราบเลือดมากมาย แม้เลือดนั้นจะไม่ได้มีสีแดงก็ตามที แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันต้องผ่านการต่อสู้ที่พัวพันคนจำนวนมากมาแน่ๆ
โลงศพนี้…เดินทางข้ามผ่านห้วงอวกาศมาจากระบบสุริยะ เป็นโลงศพของสำนักแห่งความมืดที่เฉินชิงแบกมา…ซึ่งมีร่างที่หลับใหลของหวังเป่าเล่ออยู่ภายใน
ดาวหางที่พุ่งชนดาวเคราะห์และโลงศพที่เจาะพื้นผิวดาวลงไปนั้นทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน รอยแตกทำให้โลงศพแทบแหลกเป็นชิ้นๆ ทันทีที่โหม่งพสุธา แรงสะเทือนส่งให้หวังเป่าเล่อผู้ที่กำลังนิทราอยู่ภายในโลงสะดุ้งตื่น ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาในที่สุด
“ถึงแล้วหรือ ข้านอนเต็มอิ่มเลย…” หวังเป่าเล่อขยี้ตา อ้าปากหาว ก่อนจะดันฝาโลงหวังจะเปิดออก แต่ก็เปิดไม่ได้ ชายหนุ่มประหลาดใจมากจึงรีบตะโกนถามศิษย์พี่ของตนในทันที
“ศิษย์พี่ เราถึงแล้วหรือยัง”
ชายหนุ่มรอสักพักให้มีเสียงตอบ แต่กลับได้ยินเพียงความเงียบงันอันแปลกประหลาด เขาทุบฝาโลงสองสามครั้ง ก่อนจะเพ่งสมาธิไปที่พลังปราณของตน และเอ่ยเรียกอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ ท่านอยู่ข้างนอกหรือไม่”
“เกิดอะไรขึ้นกัน ศิษย์พี่ ตอบข้าสิ!” สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังในทันที เขาตะโกนต่อไปแต่ไม่ได้รับคำตอบ ความกังวลใจเริ่มพองขึ้นในจิตใจ
“แม่นางน้อย เจ้าอยู่หรือไม่” หลังจากที่ความเงียบเข้าปกคลุมเป็นเวลานาน หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจว่าควรจะปลอดภัยไว้ก่อน จึงไม่ใช้เปลวไฟสีดำดันฝาโลงให้เปิด แต่ร้องเรียกหาแม่นางน้อยแทน
นี่คือแผนสำรองที่เขาคิดไว้ก่อนจะนอนหลับไป
แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากแม่นางน้อยเช่นกัน ชายหนุ่มหรี่ตาลง สมองเริ่มทำงานเพื่อหาทางหนีทีไล่ แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเสียทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ หวังเป่าเล่อหลับไปในทันทีที่ก้าวเข้าไปในโลง ทำให้เขาไม่รู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้างระหว่างทาง
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพักเขาก็ตัดสินใจที่จะรอ หวังเป่าเล่อรออย่างใจเย็น คอยนับวันเวลาที่เดินหน้าผ่านไป ในวันที่สาม ประกายกล้าก็วาบขึ้นในดวงตาของเขาในที่สุด
มีความเป็นไปได้สูงมากที่ระหว่างทางเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น! เปลวไฟสีดำลุกโชนในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขายกมือขวาขึ้นวางบนฝาโลงอีกครั้ง พลังปราณระเบิดออกมาเพื่อเชื่อมจิตตนเองเข้ากับโลงศพ แต่ในตอนที่เขากำลังจะผลักฝาโลงให้เปิด เสียงแผ่วเบาก็ลอยเข้ามา เสียงนั้นดังมาจากที่อื่นที่ไม่ใช่นอกโลง มันดังก้องอยู่ในศีรษะของหวังเป่าเล่อ
“เป่าเล่อ”
“ศิษย์พี่!” แววตาของชายหนุ่มคมขึ้น เขาเลิกพยายามผลักฝาโลงและรีบถามในทันที “ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้นกัน ท่านอยู่ข้างนอกหรือไม่”
“เป่าเล่อ…มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นระหว่างทาง…ระหว่างนี้ข้า…อารยธรรมเล็ก…รอให้ข้าไปรับเจ้า…อย่าใช้ร่างจริงก้าวออกมา…เต๋าสวรรค์กำลังมา…ตายแน่ๆ …กระบวนเวทสร้างร่างอวตาร…ใช้หลบเต๋าสวรรค์ได้ชั่วคราว…จึงจะออกมาได้…”
ข้อความนั้นขาดเป็นช่วงๆ เหมือนมีบางสิ่งคอยรบกวนสัญญาณให้ส่งมาไม่ถึง จนทำให้ข้อความจากเฉินชิงขาดๆ หายๆ กระนั้นหวังเป่าเล่อก็ยังปะติดปะต่อใจความหลักเข้าด้วยกันได้จากสิ่งที่ศิษย์พี่ของเขาพูด
เกิดเรื่องไม่คาดคิด ข้าเลยโดนโยนลงมาที่อารยธรรมเล็ก เต๋าสวรรค์กำลังมา หากใช้ร่างจริงเดินออกจากโลงศพข้าต้องตายแน่ แต่ถ้าใช้กระบวนเวทนี้สร้างร่างอวตารของตนเอง ข้าก็จะออกจากโลงได้อย่างปลอดภัยชั่วคราว หวังเป่าเล่อมุ่นคิ้ว เขาไม่รู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเฉินชิงกันแน่ แต่ก็เดาได้ว่าสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งอย่างเฉินชิงถึงกับต้องทิ้งเขาไว้เพื่อไปจัดการ…ต้องเป็นเรื่องใหญ่มากแน่ๆ !
เสียงของเฉินชิงยังคงติดๆ ขัดๆ ขณะที่เขาส่งกระบวนเวทมาให้หวังเป่าเล่อศึกษา อีกฝ่ายใช้ความพยายามในการส่งเคล็ดเวทนี้มาให้หวังเป่าเล่อเป็นพิเศษ จึงทำให้ได้รับข้อมูลมาอย่างครบถ้วน
ชื่อของประบวนเวทนี้ก็คือศาสตร์เวทร่างจำแลง เมื่อเรียนครบแล้ว ผู้ใช้จะสามารถเปลี่ยนพลังปราณของตนรวมถึงแก่นของรูปลักษณ์ได้ จึงทำให้สามารถจำแลงกายเป็นสิ่งใดก็ได้
หวังเป่าเล่อตรวจดูกระบวนเวทนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน สมองเริ่มแล่นหาคำตอบ กระบวนเวทนี้มีบางส่วนที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณของผู้ฝึกตน ตัวเขาเองที่เป็นบุตรแห่งความมืดได้ศึกษางานเขียนมามากมายสมัยที่อยู่สำนักแห่งความมืด เขารู้ว่ามีกระบวนเวทมากมายที่ร้ายกาจยิ่ง บางกระบวนเวทสามารถเข้าควบคุมเหยื่อได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่กระบวนเวทเหล่านี้จะใช้กับเหยื่อไม่ได้จนกว่าตัวเหยื่อจะเรียนรู้วิชานี้ด้วยความเต็มใจ ถึงตอนนั้นอำนาจอันเลวร้ายจึงจะสำเร็จผล
นี่เป็นเรื่องจริงหรือว่าเป็นกลลวงกันแน่… ศิษย์พี่เจอเรื่องร้ายแรงระหว่างทางจริงหรือ หรือว่า… เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากอาจหมายถึงความเป็นความตายของเขา หวังเป่าเล่อจึงไม่สามารถละทิ้งมันได้ ชายหนุ่มวิเคราะห์ลึกลงไปทุกรายละเอียด เขาศึกษากระบวนเวทเงียบๆ ไม่รู้ว่าตนเองควรจะลองดูหรือไม่ ดวงตาจ้องมองไปที่ด้านในของฝาโลง หากเขาต้องการเปิดฝาโลงออก เขาเพียงแต่ต้องใช้เปลวไฟสีดำเท่านั้น การออกจากโลงเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน
ข้าควรฝึกวิชานี้ หรือข้าควรออกจากโลงกันแน่
บางทีคนเราก็ต้องเจอกับทางเลือกที่ยากจะตัดสินใจ โดยเฉพาะทางเลือกที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อใจในตัวบุคคล และจะยากมากขึ้นไปอีกหากเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตนเอง
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังคิดวิเคราะห์ทุกแง่มุมให้ละเอียดถี่ถ้วนนั้น ที่ระบบดาวเคราะห์ขนาดใหญ่กว่าซึ่งอยู่ห่างจากระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ออกไป มีระบบดาวขนาดเล็กหลายพันระบบโคจรอยู่ภายในระบบดาวใหญ่ยักษ์นี้ มันเรียงตัวกันเป็นวงแหวนปราณจักรวาลขนาดใหญ่!
วงแหวนปราณจักรวาลนี้ใหญ่โตมโหฬารมาก มันดึงพลังงานมาจากดารานิรันดร์ใหญ่น้อยหลายพันดวงของระบบดาวขนาดเล็ก เพื่อมาหลอมรวมเป็นอำนาจหนึ่งเดียวที่ทำลายได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า สิ่งที่ทำให้วงแหวนปราณนี้ยิ่งใหญ่มากขึ้นไปอีก คือหม้อหลอมยักษ์แปดหม้อที่กระจายตัวอยู่ทั่ววงแหวนปราณ หม้อหลอมเหล่านี้ลอยวนรอบจักรภพ แบ่งแยกจักรภพเล็กๆ เหล่านี้ออกจากกันในอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล
หม้อหลอมแต่ละหม้อปล่อยพลังที่ยิ่งใหญ่เก่าแก่น่าเกรงขามออกมา ภายในหม้อหลอมนั้นมีร่างที่ดูไม่ออกติดอยู่ ร่างเหล่านั้นถูกจองจำอยู่ภายในเพื่อใช้เป็นพลังงานในการหลอม
วงแหวนปราณที่สร้างมาจากดารานิรันดร์หลายพันดวง รวมถึงหม้อหลอมยักษ์ทั้งแปดหม้อคือกรงขัง ส่วนนักโทษก็คือ…เฉินชิง!
เฉินชิงที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวยืนอยู่กลางวงแหวนปราณ รอบกายรายล้อมด้วยกระแสสายฟ้าสีดำที่พุ่งมาจากทุกทิศทาง ปรากฏขึ้นเป็นสายโซ่จำนวนมากที่พันเกี่ยวทับซ้อนไปทั่วระบบดวงดาว
เบื้องหน้าเฉินชิงคือชายผู้หนึ่งในชุดเกราะสีทองอร่าม เขามีร่างสูงตระหง่าน พรั่งพร้อมด้วยศีรษะทั้งสามและแขนทั้งหก ดูราวกับเทพเจ้าแห่งสงครามที่ปล่อยอำนาจรุนแรงออกมาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าวงแหวนปราณที่รายล้อม!
เบื้องหลังของชายผู้นี้คือกองทัพร่างมายา ทุกตนดูเหมือนเหล่าเทพที่มีพลังแก่กล้าน่าเกรงขาม ชายในชุดเกราะสีทองเปรียบเหมือนพระเจ้าที่มีอำนาจเหนือกองทัพเทพเบื้องหลัง!
“เฉินชิง ข้ารู้ว่าเจ้าเด็กนั่นมีความสัมพันธ์ใดกับเจ้า ข้าจึงปรานีไม่ตัดสัญญาณทั้งหมดให้เจ้ายังพอส่งข้อความไปหามันได้บ้าง ทีนี้เรามาลองเดากันดีกว่า…ว่าศิษย์น้องสุดที่รักของเจ้า ที่เจ้ารักมากเสียยิ่งกว่าใคร จะเชื่อใจและทำตามที่เจ้าบอกหรือไม่ ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าหนุ่มนี่จะเลือกอะไร!” ชายร่างยักษ์ยิ้ม เสียงกังวานไปทั่วจักรภพ เส้นสายฟ้านับแสนชอนไชเหมือนงูพิษขดเป็นเกลียวไปมา ปล่อยเสียงระเบิดก้อง ก่อนขยายใหญ่ออกเป็นหน้าจอยักษ์สีดำ
บนหน้าจอคือภาพของ…โลงศพที่มีหวังเป่าเล่ออยู่ในนั้น!
ไม่ใช่ภาพที่ฉายให้เห็นในโลง หากแต่เป็นภายนอก!
“เจ้าคิดว่าสิ่งใดจะออกมาจากโลงกันแน่ ร่างจริงของศิษย์น้องที่รักของเจ้า หรือว่าร่างอวตาร”
…………………………….
Comments