หมอผีแม่ลูกติดบทที่ 254 เสียสละตัวเองเพื่อคนอื่น
บทที่ 254 เสียสละตัวเองเพื่อคนอื่น
“ในเมื่อพวกเขาคิดที่จะลงกับเรา พวกเขาก็ย่อมที่จะคิดถึงผลที่จะตามมาแล้ว” สีหน้าของเจียงหวายเย่พลันเย็นชาขึ้นมาจนน่ากลัว เสมือนเป็นผู้พิพากษาที่ยิ่งใหญ่ ที่ตัดสินชะตากรรมของทุกคน และไม่อนุญาตให้ใครละเมิดกฎเหล่านี้
อันเอ้อพลันขานรับคำสั่งแล้วจากไป จากนั้นเจียงหวายเย่ก็หันไปพูดกับความมืด “ตามเสี่ยวเหยียนเอ๋อไป เปิ่นหวางอยากจะรู้ว่านางไปพบใคร”
ไม่ช้าเขาก็พาตัวไปเอนนอนลงบนเตียง สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ทำให้เขาบาดเจ็บหนักสาหัสยิ่งนัก เมื่อเขาคิดว่าตนเกือบจะต้องแยกจากเสี่ยวเหยียนเอ๋อไปตลอดกาลแล้วจริง ๆ มันก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
แต่ในเวลานี้หลินซีเหยียนคนที่เขากำลังนึกถึงอยู่นั้น กำลังพาเทียนเอ๋อตัวน้อยไปที่ร้านรสชาติที่แท้จริง เมื่อเข้าไปในร้านก็มีเสี่ยวเอ้อออกมาต้อนรับทั้งคู่ทันที “เชิญทางนี้เลยขอรับ”
หลินซีเหยียนพลันถามขึ้นมาก่อนว่า “ขอโทษทีนะ คุณชายจงมาถึงที่นี่แล้วหรือยัง?”
“อ้อ แขกของคุณชายจงสินะขอรับ! คุณชายมารออยู่ที่นี่ได้สักพักใหญ่ ๆ แล้ว โปรดตามข้าน้อยมาเลยขอรับ”
หลินซีเหยียนกับเทียนเอ๋อตามหลังเสี่ยวเอ้อของร้านไปอย่างเงียบ ๆ ทั้งหมดมุ่งหน้าไปที่ห้องส่วนตัวห้องหนึ่งบนชั้นสาม การที่จะขึ้นที่ชั้นสามได้เช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะต้องมีเงิน แต่จะต้องมีตัวตนในระดับหนึ่งด้วย
ซึ่งด้วยเหตุนี้หลินซีเหยียนจึงได้เกิดความสงสัยขึ้นมา จงซู่เฟิงนั้นปกติจะเรียบง่ายอยู่เสมอแท้ ๆ ทำไมวันนี้เขาถึงได้ทำตัวอู้ฟู่นักนะ
เมื่อหลินซีเหยียนเข้ามาในห้องส่วนตัวซึ่งมีประตูปิดมิดชิด มีเพียงหน้าต่างที่เปิดออกให้อากาศถ่ายเทเท่านั้น ก็พบจงซู่เฟิงคนที่นางกำลังนึกถึงอยู่พอดี เมื่ออีกฝ่ายเห็นหลินซีเหยียนทีแรกก็ตกใจ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแทน “ซู่เฟิงกำลังคิดว่าแม่นางหลินคงไม่มาแล้ว”
“อภัยให้ข้าด้วย ข้าติดธุระนิดหน่อยเลยมาสายน่ะ” ใบหน้างามของหลินซีเหยียนยามนี้มีเพียงความรู้สึกผิดที่กำลังฉายอยู่ขณะที่นางกล่าวขอโทษออกมา ทว่าการกระทำเช่นนั้นกลับทำให้จงซู่เฟิงรู้สึกห่างเหินขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยยินดีนัก แต่เมื่อนึกถึงจุดประสงค์ที่ตนชวนหลินซีเหยียนมาพูดคุยในวันนี้แล้ว จึงได้ข่มอารมณ์แล้วยิ้มให้อีกครั้งเป็นเชิงไม่ถือสา
“เทียนเอ๋อ นี่รายการอาหาร” จงซู่เฟิงพลันส่งรายการอาหารให้เทียนเอ๋อตัวน้อย ก่อนจะมองไปที่หลินซีเหยียนด้วยแววตาอบอุ่นอ่อนโยน
หลินซีเหยียนที่รู้สึกได้จึงเงยหน้าขึ้นมามองและถาม “คุณชายจงเรียกข้ามาพบเช่นนี้ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดหรือ?”
จงซู่เฟิงผงกหัว เมื่อหญิงสาวเห็นเช่นนั้นจึงคิดจะเอ่ยปากถามต่อ ทว่าฝ่ายบุรุษก็กล่าวชี้แจงขึ้นมาก่อน “เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยกันหลังกินอาหารเสร็จเถิด ไม่อย่างนั้นมันจะส่งผลถึงบรรยากาศเปล่า ๆ”
หลินซีเหยียนพยักหน้าไม่ต่อความยาวสาวความยืดอะไรอีก ไม่ช้าทั้งหมดก็ลงมือรับประทานหารตรงหน้า ซึ่งในขณะนั้นเอง ก็มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่คนทั้งหมดจากนอกหน้าต่าง คนคนนี้ใส่ชุดสีดำคลุมทั้งตัว ไม่อาจระบุตัวตนได้ ในพลันต่อมาบุคคลลึกลับก็ได้ผละออกจากสถานที่ไป
เขากำลังรีบมุ่งหน้าไปที่จวนมหาเสนาบดี ซึ่งในขณะนั้นหลีเจี้ยนเฉินกำลังฝึกซ้อมอยู่กับท่านมหานักบวชอยู่ เมื่อเขาเห็นคนในชุดดำจึงหยุดการฝึกซ้อมลง เอากระบี่เก็บเข้าฝัก แล้วเร่งฝีเท้าอีกฝ่ายไปหาทันที
“เกิดอะไรขึ้นกับท่านหมอหลิน?”
“ทูลฝ่าบาท เป็นคุณชายจงที่ชวนแม่นางหลินไปทานอาหารที่ร้านรสชาติที่แท้จริงพ่ะย่ะค่ะ” หน่วยลับพลันรายงานด้วยความเคารพ “และกระหม่อมก็พบว่าที่ด้านนอกมีบางคนที่หมายจะปองร้ายแม่นางหลินด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ใครกันที่บังอาจทำเช่นนั้น!” หลีเจี้ยนเฉินได้ยินรายงานนี้เข้าก็ไม่ต้องคิดสิ่งอื่นใดให้เสียเวลา มือความหมับเอาด้ามกระบี่ออกจากฝัก แล้วตั้งท่าจะมุ่งหน้าไปที่ร้านรสชาติที่แท้จริงทันที ไม่สนใจแม้แต่คำทัดทานของมหานักบวช
“ฝ่าบาท พวกเราควรไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วนก่อน!” เสียงของมหานักบวชยังคงดังไล่หลังเขาไม่ลดรา แต่ดูเหมือนว่า คำว่า ปองร้ายแม่นางหลิน ได้อุดหูของเขาออกจากทุกสรรพเสียงจากโลกภายนอกแล้ว
ในขณะที่พวกเขามาถึงร้านรสชาติที่แท้จริงและเฝ้าสังเกตการณ์หญิงสาวเป้าหมายอยู่นั้น ทางฝ่ายหลินซีเหยียนกับเทียนเอ๋อก็เพิ่งรับประทานอาหารกันเสร็จ ส่วนจงซู่เฟิงก็กำลังมองไปที่นางอย่างแน่วนิ่ง เสมือนกำลังตั้งมั่นว่าจะพูดความในใจบางสิ่งออกไปให้ได้
เขาตั้งสติอยู่อึดใจหนึ่ง ในไม่ช้า ก็พยายามพูดความในใจออกมาอย่างยากลำบาก “มะ….แม่นางหลิน ซู่เฟิงรู้ดีว่าตัวเองเป็นเพียงองค์ชายตกยากของรัฐจง แต่ซู่เฟิงขอรับรองว่าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดีไม่ว่าจะที่ไหนหรือว่าเมื่อไร ขอให้แม่นางหลินได้โปรดให้โอกาสซู่เฟิงผู้นี้บ้างได้หรือไม่?”
หลินซีเหยียนถอนหายใจออกมาแทบจะทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ถ้อยคำดังกล่าวทำให้นางถึงกับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่คิดว่าคิดว่าช่วงนี้มันอะไรกันนะ หรือว่านางกำลังเนื้อหอม?
เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าหลินซีเหยียนดูอึกอักลังเล ก็ปรากฏกระแสความเศร้าในดวงตาขึ้นมา จงซู่เฟิงเอ่ยเสียงแหบพร่าแฝงความผิดหวัง “ความคิดของแม่นางหลิน ซู่เฟิงเข้าใจแล้ว ฉะนั้นซู่เฟิงจะไม่ทำให้แม่นางต้องลำบากใจ”
หลีเจี้ยนเฉินที่ลอบฟังอยู่นั้นดีใจยิ่งนักที่ได้เห็นหลินซีเหยียนปฏิเสธจงซู่เฟิง ทว่าดีใจได้เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ก็มีชายชุดดำนับสิบคนโผล่เข้าไปในห้อง เป้าหมายคือหลินซีเหยียน
ฝ่ายหญิงสาวเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองกำลังถูกปองร้ายก็รีบคว้าตัวเทียนเอ๋อถอยหลบทันที ในคราแรกหลีเจี้ยนเฉินคิดจะออกไปช่วยสตรีที่ตนรัก ทว่าเขาก็ต้องหยุดลงทันที เมื่อเห็นว่าแม้แต่จงซู่เฟิงก็ยังไม่อาจสู้คนนับสิบที่เข้ามารุมได้ องค์ชายรัฐจงถูกเตะไปจนตัวกระแทกโต๊ะ นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้น
หลีเจี้ยนเฉินหุบขาที่กำลังจะก้าวออกไปทันที แต่กระนั้นสายตาอันห่วงหาก็ยังไม่อาจละหลินซีเหยียนได้
ทางฝ่ายหลินซีเหยียนนั้นเอง เพราะมัวแต่ระวังหลังให้ลูกจึงไม่ทันได้ระวังภัยที่จะเข้ามาหาตัวเอง ชายชุดดำคนหนึ่งในบรรดาหลายสิบชีวิตนั้นชักมีดออก เมื่อหลีเจี้ยนเฉินเห็นภาพดังกล่าวก็ไม่อาจรั้งรอได้อีกต่อไป ชายหนุ่มพุ่งตัวออกมาขวางหน้าหลินซีเหยียนในเสี้ยวพริบตา
มีดที่ควรที่จะเสียบเข้ามาที่ท้องของหลินซีเหยียนนั้น ในเวลานี้กลับเสียบเข้าไปที่หน้าอกของหลีเจี้ยนเฉินแทน ส่วนจงซู่เฟิงก็ได้แต่นอนมองดูเหตุการณ์ด้วยสภาพเปลือกตาปรือ
กระนั้นดวงตาของคนก็ยังดูว้าวุ่นใจมากขณะจับจ้องไปที่หลีเจี้ยนเฉิน
เมื่อเห็นสภาพขององค์ฮ่องเต้ หน่วยลับที่รอเจ้านายอยู่ข้างนอกก็รีบไปยังที่สูงแล้วขว้างระเบิดสัญญาณทันที จากนั้นจึงรีบพากันเข้าไปในห้องห้องนั้นเพื่อปกป้องหลีเจี้ยนเฉิน
“ทำใจดี ๆ ไว้นะ!” หลินซีเหยียนละล่ำละลักพูดกับฮ่องเต้หนุ่ม ส่วนฝ่ายหลังเมื่อเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลและตกใจบนดวงหน้างามของหลินซีเหยียนแล้ว ก็พลันยิ้มออกมา ทว่าทันใดนั้นเองเลือดในปากคนก็พลันทะลักจนเปื้อนไปทั้งคางทั้งเสื้ออย่างไม่อาจห้าม และในไม่ช้า ที่หน้าอกของเขา ตำแหน่งที่ถูกมีดปักก็มีเลือดซึมออกมา
เมื่อเห็นเลือดสีแดงที่ซึมออกมาไม่หยุด หลินซีเหยียนจึงไม่มีเวลาที่จะไปสนใจเรื่องอื่น นางจะต้องรีบพาฮ่องเต้ผู้นี้หนีไปก่อนที่เลือดที่ไหลออกมาจนหมดตัว ส่วนหน่วยอันทั้งหมดที่คอยติดตามหลินซีเหยียนอยู่นั้นก็ปรากฏตัวออกมาและคอยคุ้มกันนางอย่างแน่นหนา
หลังจากนั้นสักพัก เหล่านักฆ่าก็พบว่าพวกตนหมดโอกาสแล้ว เพราะเมื่อใดก็ตามหน่วยองครักษ์ของฮ่องเต้หลีมาถึง นั่นย่อมหมายความว่าภารกิจเป็นอันจบลง
พวกเขาพากันหลบหนีอย่างสุดชีวิต หรือบางคนที่หนีไม่ทันก็ชิงฆ่าตัวตาย ทำให้หลงเหลือข้อมูลที่เป็นประโยชน์อยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น
“ฝ่าบาท!” มหานักบวชที่รีบเร่งมาหานายเหนือหัวร้องตกใจทันทีเมื่อเห็นสภาพของฝ่าบาท เขารีบจับไปที่ชีพจรของหลีเจี้ยนเฉิน ซึ่งพบว่าบัดนี้อ่อนแรงเหลือเกิน ฉับพลันนั้นน้ำตาของคนก็ไหลออกมาอย่างไม่อาจห้าม
เมื่อหลีเจี้ยนเฉินเห็นท่าทีของนักบวชคนสนิทแล้วจึงพูดขึ้นด้วยเสียงโรยแรงว่า “ถ้าหากข้าตายไป เจ้าอย่าได้พาดพิงไปถึงท่านหมอหลิน ข้าขอให้เจ้ากลับไปที่รัฐหลีเพียงลำพังแล้วขึ้นเป็นฮ่องเต้แทน…”
พูดยังไม่ทันจะจบดี ก็มีเลือดไหลทะลักออกมาจากปาก ดูแล้วชวนหดหู่และเศร้าสร้อยเหลือเกิน
“ข้าเป็นฮ่องเต้ไม่ได้หรอก!” มหานักบวชพลันคุกเข่าลงต่อหน้าหลีเจี้ยนเฉิน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสำนึกผิด “มันเป็นเพราะข้าไม่ปกป้องท่านให้ดี แล้วฝ่าบาทลืมไปแล้วหรือว่ามหานักบวชนั้นจะมีเจ้านายได้แค่เพียงคนเดียว ถ้าหากว่าท่านสิ้นลมไปก่อน ข้าเองก็คงไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้เช่นกัน”
“หากว่ารัฐหลีอยู่ในมือของเจ้า ข้าคงจะตายตาหลับได้” แม้ปากจะพูดอย่างอ่อนแรงและเจ็บปวดตรงทรวงอกจนเหมือนจะตายเสียให้ได้ แต่เมื่อเขาอยู่ในอ้อมแขนของหลินเหยียนซีแล้ว หัวใจกลับเป็นสุขอย่างมาก เมื่อฮ่องเต้หนุ่มคิดว่าตนจะได้ตายคาอ้อมแขนหญิงงามเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้ายินดีออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เงียบน่า”
มีหรือที่หลินซีเหยียนจะไม่เห็น ว่าหลีเจี้ยนเฉินที่กำลังกระอักเลือดนั้นกลับแสดงสีหน้าที่ยินดีขึ้นมา “ฝ่าบาทคงจะไม่ได้ลืมไปแล้วใช่หรือไม่ ว่าตำแหน่งหัวใจของท่านน่ะมันต่างไปจากของคนทั่วไป”
เมื่อมีคนพูดเตือนเขาเช่นนี้ หลีเจี้ยนเฉินก็พลันนึกขึ้นมาได้ ดวงตาของเขาฉายประกายแห่งความหวังขึ้นมาทันที “หรือว่าข้าจะยังมีชีวิตรอดได้?”
แต่ดูเหมือนว่าเขาคงตื่นเต้นกับข่าวดีนี้มากเกินไป จนทำให้กระอักเลือดออกมาอีกอึกหนึ่ง เลือดของเขาเปรอะเต็มหน้ามหานักบวช กระนั้นมหานักบวชก็ไม่ได้แสดงสีหน้ารังเกียจแต่อย่างใด เพียงแต่หันไปพูดกับหลินซีเหยียนเชิงอ้อนวอน “ท่านหมอหลิน ข้าขอร้องท่าน ได้โปรดช่วยฝ่าบาทด้วย!”
Comments