หมอหญิงยอดมือสังหาร 152 ไร้ความสามารถ สาบสูญ (3)
“กลับมาแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บหรือไม่” หนานกงมั่วลืมตามองเขา ดวงตาตื่นเต็มที่ไม่มีแววง่วงงุนเลยสักนิด บนสนามรบมีดดาบไร้ดวงตา หากโชคร้ายต่อให้เป็นยอดฝีมือก็ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนที่ซวยได้เช่นกัน เว่ยจวินมั่วส่ายศีรษะ ยกมือขึ้นถอดเสื้อคลุมออกโยนทิ้งไปอีกฝั่ง เอ่ยถาม “เจ้าดูเหนื่อยๆ ไยจึงไม่รีบพักผ่อนเล่า”
หนานกงมั่วส่ายหน้า “นอนไม่หลับ” หนานกงมั่วหรี่ตาลงเมื่อเห็นรอยเลือดสีแดงที่แขนของเว่ยจวินมั่ว พอจะรับรู้ได้ว่านางกำลังมองอยู่ เว่ยจวินมั่วจึงเอ่ย “ไม่ทันระวังจึงถูกเฉือนไปเล็กน้อย ไม่เป็นไรมากหรอก”
หนานกงมั่วเดินเข้าไปใกล้แล้วถลกแขนเสื้อเขาขึ้น เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ นั่งลง ปล่อยให้นางเปิดแขนเสื้อของเขาเงียบๆ เป็นบาดแผลเล็กๆ ดังที่เว่ยจวินมั่วบอก เพียงรอยขีดข่วนเล็กน้อยเท่านั้น แต่เพราะมิได้ใส่ยาทำให้ยามนี้บาดแผลจึงเป็นชั้วผิวด้านขึ้นมาบางๆ หนานกงมั่วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หันกลับไปหยิบกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะด้านข้าง หยิบยาออกมาแล้วโรยลงไป เอ่ยสั่ง “เดี๋ยวข้าจะให้ห้องยาส่งยามาให้ อย่าลืมกินด้วย”
เห็นว่านางกำลังจะเดินออกไป เว่ยจวินมั่วเลยยื่นมืออีกข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บออกไปคว้านางเอาไว้ เอ่ยเสียงเบา “อย่าเพิ่งไป ดูเหมือนเจ้าจะไม่สบายใจ เห็นสงครามวันนี้แล้วรู้สึกไม่ดีหรือ” เมื่อกลับมาพวกเขาก็ถูกหนานกงไหวเรียกไปหารือ จึงยังไม่มีโอกาสได้มาดูนางแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นคนเช่นไร มีโอกาสน้อยมากที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากสนามรบ
หนานกงมั่วนั่งลงตรงข้ามเขา นวดหัวคิ้วเบาๆ ถอนหายใจออกมา เอ่ยตอบ “วันนี้ข้าพึ่งรู้ว่า ข้ายังจำจรรยาบรรณแพทย์ที่อาจารย์พร่ำสอนได้” นางเคยคิดมาตลอดว่าตนเองมิได้เป็นหมอ เพราะนางเป็นนักฆ่า หมอและนักฆ่าเป็นอาชีพที่ต่างกันสุดขั้ว นางเรียนวิชาแพทย์ หนึ่งเพราะอาจารย์ สองคือเพื่อให้สังหารได้ง่ายขึ้น สามเพื่อรักษาตนเอง แต่ไม่คิดว่าความหมายของการเป็นหมอที่ท่านอาจารย์พูดกรอกหูนางอยู่ทุกวันนั้นจะถูกบันทึกเก็บไว้ในหัวใจของนางด้วย มิเช่นนั้น ไยนางจึงต้องรู้สึกปวดใจเล่า
เว่ยจวินมั่วยกมือขึ้นมา ดึงหญิงสาวเข้าสู่อ้อมอก เอ่ยเสียงเบา “อู๋สยาเป็นคนดี”
ได้ยินดังนั้น หนานกงมั่วก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านช่างปลอบใจคนไม่เป็นเสียจริง ท่านเคยเห็นสตรีที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาหรือไม่”
“เคยเห็น” เว่ยจวินมั่วพยักหน้า เอ่ยตอบ “เจ้า อู๋สยาฆ่าคนที่สมควรฆ่า ข้ารู้ อู๋สยาไม่ฆ่าประชาชนคนธรรมดา”
มุมปากของหนานกงมั่วโค้งเล็กน้อย จากนั้นกล่าว “ข้าจะรับคำชื่นชมของท่านไว้”
“วันนี้อู๋สยามายืมคนจากข้าเพื่อไปช่วยรักษาทหารเหล่านั้นหรือ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยถาม
หนานกงมั่วพยักหน้า ถอนหายใจ “แต่ก็ยังมีคนตายไปไม่น้อย เดิมที…พวกเขาจะไม่ตายด้วยซ้ำ” นางเห็นกระทั่งนายทหารที่บาดเจ็บสาหัสฆ่าตัวตายเอง ด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่าหากเขายังมีชีวิตอยู่จะทำให้ครอบครัวลำบาก แต่หากตายไปแล้วก็ยังจะได้รับเงินชดเชยอย่างน้อยสิบตำลึงให้แก่ครอบครัวของเขา
เว่ยจวินมั่วเอ่ยกระซิบเสียงเบา “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าทำไม่ได้มากกว่านี้ ใครก็ทำไม่ได้ ดังนั้น อู๋สยา อย่าโทษตัวเองเลย”
หนานกงมั่วส่ายหน้า นางเสียใจนั่นเป็นความจริง ทว่าเรื่องโทษตัวเองนั้นย่อมไม่ใช่ ความจริงนางเป็นคนเห็นแก่ตัว ต่อให้สงสารคนพวกนั้นมากเพียงใด คนที่นางจะช่วยเหลือก่อนอย่างไรก็ย่อมเป็นคนใกล้ชิดที่สุดของนาง
“เว่ยจวินมั่ว ท่านอย่าตายนะ ไม่ว่าท่านจะบาดเจ็บมากเพียงใด ข้าจะช่วยท่านให้ได้”
ปลายคางของใบหน้าหล่อเหลาวางลงบนศีรษะของนาง ริมฝีปากยกยิ้ม “ได้ ข้าจะไม่ตาย”
“เช่นนั้นก็ดี” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “อย่างไร…อยู่คนเดียว มันไม่สนุกเลยสักนิด ข้าจะเล่นกับท่าน…ท่านอย่าตายเล่า…”
“ได้”
“ข้ามิใช่คนดี”
“ข้าก็มิใช่” เว่ยจวินมั่วเอ่ยกระซิบ
“อืม…พวกเรามิใช่…”
“ไม่ต้องกลัว ต่อไปข้าจะเล่นกับเจ้า” เว่ยจวินมั่วเอ่ยกระซิบเสียงเบา “ดังนั้น…พวกเราจึงเกิดมาคู่กัน”
“อืม…”
เว่ยจวินมั่วก้มลงไป มองหญิงสาวที่ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของเขา เดิมทีก็ยังไม่ทันหายป่วย วันนี้กลับวิ่งวุ่นไปตลอดบ่าย ในใจมีเรื่องมากมายจะไม่เหนื่อยได้เช่นไร หญิงสาวอิงอยู่ในอ้อมแขนของเขา มิได้มีดวงตาสดใสร่าเริงเหมือนยามตื่น ทว่ากลับดูไร้พิษสงและบอบบาง ราวกับแมวที่หวาดกลัวความหนาวเหน็บและอันตราย ระแวดระวังและเปราะบางทีเดียว
มองเห็นเว่ยจวินมั่วอุ้มหนานกงมั่วออกมาจากกระโจม ฝังเหลือบมองรอยคราบเลือดที่แขนเจ้านายของตน รีบก้มหน้าลงอย่างรู้หน้าที่ ไม่คิดเข้าไปช่วย บางครั้ง…เจ้านายอาจไม่ต้องการให้ผู้ใต้บัญชาใส่ใจเกินไป และมีบางเรื่องที่ช่วยไม่ได้
กระโจมใหญ่อีกฝั่ง หนานกงไหวกำลังนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ แม้ตลอดบ่ายเขาจะไม่ได้เดินออกจากกระโจมเลยแม้แต่ก้าวเดียว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในค่ายทั้งหมดล้วนปิดบังเขาไม่ได้ สิ่งที่หนานกงมั่วทำตลอดทั้งบ่ายเองก็ด้วย เวลานี้คิ้วของหนานกงไหวขมวดเข้าเป็นปม ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่บ้าง นายทหารในกระโจมใหญ่ไม่กล้าเดาความคิดของท่านแม่ทัพใหญ่ ทำได้เพียงก้มหน้าลงราวกับตนเองไร้ซึ่งตัวตน
เนิ่นนาน หนานกงไหวจึงถอนหายใจ มั่วเอ๋อร์เคยบอกว่านางมีอาจารย์ เขากลับมิได้ใส่ใจ มั่วเอ๋อร์บอกว่านางเรียนวิชาการแพทย์ เขายังคงไม่ใส่ใจ ยามนี้พึ่งรู้ว่าบุตรีของตนนั้นเก่งกาจ ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์หรือการแพทย์ล้วนเยี่ยมยอด หากรู้มาก่อน… หนานกงไหวขมวดคิ้ว ล้มล้างความคิดนั้นโดยไม่ลังเล ในใจพลันเกิดข้อสงสัยขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง ตอนนั้นมั่วเอ๋อร์…ตั้งใจจะบอกเขาจริงๆ หรือ เพราะท่าทางของนางที่เอ่ยออกมาด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ จึงส่งผลให้เขาพลอยไม่สนใจไปด้วยหรือไม่ เป็นเพราะเขาละเลยหรือท่าทีของมั่วเอ๋อร์ทำให้เขาละเลยกันแน่ หากเป็นอย่างหลัง… หัวใจหนานกงไหวเย็นเยียบ เขาต้องเรียกนางมาคุยกันสักนิด แต่คงยังมิใช่ตอนนี้ ในสนามรบ ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องเก็บเอาไว้ทีหลัง
“ในเมื่อวิชาการแพทย์ของมั่วเอ๋อร์ไม่เลว เช่นนั้นก็ให้นางไปช่วยท่านหมอเถิด อยู่ในค่ายแล้วไม่ทำสิ่งใดเลยก็คงไม่ได้” หนานกงไหวเอ่ยเสียงเรียบ
“ขอรับ แม่ทัพใหญ่”
เพราะประโยคนั้นของหนานกงไหว การใช้ชีวิตในค่ายของหนานกงมั่วจึงมีชีวิตชีวาขึ้นมา การออกรบนั้นย่อมมิใช่หน้าที่ของนาง หนานกงมั่วเองก็ไม่มีความสนใจในเรื่องการสู้รบนองเลือด ดังนั้นในทุกๆ วันนางจึงขลุกอยู่ในกระโจมแพทย์ ช่วยดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือยืมหนังสือของหมอชรามาอ่าน หมอชราที่ดูแล้วไม่ค่อยสะดุดตาและอารมณ์ร้อนนั้นความจริงมีฐานะไม่ธรรมดาเลย เดิมทีเป็นรองสำนักหมอหลวง และเดิมก็อยู่แต่ในจินหลิง คอยตรวจอาการให้บรรดาเชื้อพระวงศ์สบายๆ บางทีก็คิดค้นยาบางอย่างที่อาจไม่ดีนักทว่าไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต ใครจะไปคิดว่าอยู่ดีๆ ความซวยจะหล่นทับ หลายปีก่อนองค์ชายสิบเก้าจากไป เขาเองที่เป็นหมอดูแลองค์ชายสิบเก้า สนมหลินโยนเอาความโกรธทั้งหมดที่มีมาที่หมอหลวง ดังนั้นหมอชราจึงถูกปลดกลายมาเป็นหมอประจำกองทัพ ไปๆ มาๆ สุดท้ายก็มาเจอกับหนานกงมั่ว
หมอชรามีความชำนาญด้านการแพทย์เป็นอย่างดี เมื่อเห็นหญิงสาวที่ชาญฉลาดอย่างหนานกงมั่วพลันรู้สึกตื่นเต้นราวกับนายพรานเจอเป้าหมาย ชวนนางพูดคุยเรื่องการแพทย์ทุกวัน หนานกงมั่วรู้สึกผิดมากทีเดียว นางจัดการบาดแผลได้ดี ความรู้ด้านพิษไม่เลว วิชาฝังเข็มยิ่งดีขึ้นไปอีก สำหรับการรักษาโดยทั่วไปนั้น เมื่อครั้งอาจารย์สั่งสอนนางแอบหลับไปบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นนางค่อนข้างสนใจสิ่งที่ใช้ได้จริง รู้สิ่งที่ควรรู้ก็พอแล้ว ไยจึงต้องบรรยายถึงหลักการแพทย์มากมาย เรื่องนี้จึงค่อนข้างทำให้นางลำบาก แต่ละครั้งหมอชราจะจ้องนางเขม็งและบอกว่านางเป็นเด็กสั่งสอนมิได้ แต่ก็ยังยัดเยียดหลักการทางการแพทย์มากมายเข้ามาในหัวของหนานกงมั่วอยู่ดี จนทำให้หนานกงมั่วนึกถึงช่วงแรกที่นางคารวะอาจารย์ ช่วงเวลาที่ถูกบังคับให้เรียนวิชาแพทย์
Comments