หมอหญิงยอดมือสังหาร 634 แต่งงาน (1)
ตอนที่ 634 แต่งงาน (1)
เกาอี้ปั๋วกวาดตามองนางเล็กน้อย จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อเดินเข้าไปด้านใน
ออกมาจากเรือนรับแขก กลับมาถึงเรือนองค์หญิงฉังผิง เซียวเชียนเหว่ยและเซียวเชียนชื่อสองพี่น้องมารออยู่ในเรือนก่อนแล้ว มองหนานกงมั่วที่เดินกลับมาอย่างไม่รีบร้อนคิดว่าคงไม่มีอันใดแล้ว เซียวเชียนชื่อยกมือขึ้นประสานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณพี่สะใภ้แล้ว” หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณอันใดกัน เพียงเดินไปไม่กี่ก้าวเอ่ยปากไม่กี่ประโยคเท่านั้น ไม่ต้องกังวล ไม่มีอันใดแล้ว”
“ไม่รู้ว่าเกาอี้ปั๋วฮูหยินผู้นั้นไยจึงโกรธเกรี้ยวหรือขอรับ” เซียวเชียนชื่อเอ่ยถาม
หนานกงมั่วยิ้มเย็น เอ่ย “โกรธหรือ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ขบวนเจ้าสาวต้องพักอยู่ในโรงเตี๊ยม เพียงแต่…จะบอกว่าเกาอี้ปั๋วฮูหยินโกรธเกรี้ยว ข้าว่าคงต้องบอกว่าโจวเซียงกำลังหยั่งเชิงจวนเยี่ยนอ๋องก็เท่านั้น” เกาอี้ปั๋วฮูหยินเสียงดังโวยวายอยู่ในเรือนนานเพียงนั้น เกาอี้ปั๋วและโจวเซียงหากต้องการให้นางหุบปากคงโผล่หน้าออกมาตั้งนานแล้ว ไยต้องรอให้คนจวนเยี่ยนอ๋องไปถึงแล้วค่อยออกมาเอ้อละเหยลอยชายทีหลังเล่า
“หยั่งเชิงหรือ” เซียวเชียนเหว่ยขมวดคิ้ว “พี่สะใภ้โปรดชี้แนะด้วยขอรับ” หนานกงมั่วเอ่ย “แน่นอนว่าเป็นทีของจวนเยี่ยนอ๋องต่อการแต่งงานในครั้งนี้” เซียวเชียนชื่อย่นหัวคิ้ว เอ่ย “ไม่ต้องหยั่งเชิง พวกเขาก็น่าจะรู้ว่าท่าทีของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ต่อการแต่งงานครั้งนี้เป็นอย่างไรจึงจะถูก” ในช่วงเวลาเปราะบางเช่นนี้ยังพระราชทานสมรสกะทันหันไม่บอกกล่าว เซียวเชียนเยี่ยยังหวังว่าท่าทีของเยี่ยนอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องจะยังดีอยู่หรือ
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ ยิ้มบาง เอ่ย “ความหมายของข้าคือ พวกเขาอยากรู้ถึงความอดทนที่จวนเยี่ยนอ๋องมีต่อราชสำนัก”
ทั้งสองชะงัก มองสบตากัน เซียวเชียนเหว่ยเอ่ย “พี่สะใภ้…ท่านว่าอย่างไรนะขอรับ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ย “แน่นอนว่าไม่เกรงใจต่อพวกเขาน่ะสิ”
“นี่จะ….เกินไปหรือไม่…”
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเข้ม “จวนเยี่ยนอ๋องยอมรับการพระราชทานสมรสของฝ่าบาทนั่นบอกชัดเจนถึงท่าทีของเราแล้ว หากยังถอยไปอีก ไม่ใช่ว่าจะทำให้ฝั่งจินหลิงคิดว่าจวนเยี่ยนอ๋องอ่อนแอรังแกได้ง่าย ก็คงเป็นทำให้คนคิดว่าจวนเยี่ยนอ๋องซุกซ่อนอันใดเอาไว้ไม่อาจเปิดเผย ดังนั้นกับคนเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องถอยอีก”
“กล่าวได้ไม่เลว” เยี่ยนอ๋องเดินเข้ามาจากด้านนอก ด้านหลังยังมีเว่ยจวินมั่วเดินตามเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง กวาดตามองเซียวเชียนชื่อสองพี่น้องเล็กน้อย เยี่ยนอ๋องเอ่ย “สิ่งที่พี่สะใภ้พวกเจ้าเอ่ย เข้าใจแล้วหรือไม่”
เซียวเชียนชื่อและเซียวเชียนเหว่ยรีบลุกขึ้น ประสานมือหันไปยังหนานกงมั่วด้วยท่าทีนอบน้อม เอ่ย “น้องชายโง่เขลา ขอบคุณพี่สะใภ้ที่ชี้แนะ” หนานกงมั่วถอยไป เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ชี้แนะอันใดกัน เพียงคุยเล่นไม่กี่ประโยคเท่านั้น เสด็จลุงไม่รังเกียจหม่อมฉันพูดมากก็พอเพคะ”
เยี่ยนอ๋องมองบุตรชายทั้งสอง ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “ช่างเถิด พวกเจ้าไปก่อนเถิด เรื่องนี้อย่าพึ่งบอกเสด็จแม่ของเจ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ” เซียวเชียนชื่อสามพี่น้อง นอกจากเซียวเชียนจย่งแล้ว สองคนผู้พี่ยังหวาดกลัวเยี่ยนอ๋องอยู่ เมื่อได้ยินที่เยี่ยนอ๋องบอกจึงรีบลุกขึ้นกล่าวลาทันที
“แซ่จูนั่นช่างกล้าเหลือเกิน คิดว่ามีเซียวเชียนเยี่ยคอยหนุนหลังแล้วข้าจะมิกล้าทำอันใดเขาอย่างนั้นหรือ” เซียวเชียนชื่อสองพี่น้องออกไปจากห้องโถง เยี่ยนอ๋องก็โกรธขึ้นมาทันใด เอ่ยเสียงเข้ม เว่ยจวินมั่วหลุบตาลง เอ่ย “เสด็จลุง เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่ใช่ความตั้งใจของเกาอี้ปั๋วพ่ะย่ะค่ะ” เกาอี้ปั๋วก้มหน้าก้มตาอยู่ในจินหลิงมายี่สิบกว่าปี คงไม่ลืมตัวง่ายๆ เพียงนี้
เยี่ยนอ๋องเองก็มิใช่คนบุ่มบ่าม ปรายตาขึ้นมอง เอ่ยเสียงเรียบ “โจวเซียง”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า เยี่ยนอ๋องเอ่ยเสียงเย็น “ตาเฒ่าพวกนั้น…เสด็จพ่อยังปล่อยให้พวกเขากลับไปยังจินหลิงอีก” ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เยี่ยนอ๋องจึงโบกมืออย่างเบื่อหน่าย เอ่ย “ช่างเถิด โจวเซียงตาเฒ่านั่นชอบคิดว่าตนเองฉลาด คนเช่นนี้รับมือง่าย อีกสองวันก็ถึงงานพิธีแล้ว พิธีจบลงก็ให้พวกเขารีบไสหัวไป”
รู้ว่าเยี่ยนอ๋องอารมณ์ไม่ดี หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วก็ไม่เอ่ยอันใดให้เขาโกรธอีก ทั้งสองพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ เสด็จลุง”
สองวันผ่านไป วันนี้โยวโจวอากาศสดใสไม่มีเมฆมาตั้งแต่เช้า เห็นชัดว่าเป็นวันที่ดี รุ่งเช้า ทั่วทั้งโยวโจวก็ครึกครื้นขึ้นมา ร้านรวงต่างๆ ที่อยู่ริมสองข้างทางพร้อมใจกันประดับประดาด้วยสีแดง ทำให้ทั่วทั้งโยวโจวเต็มไปด้วยบรรยากาศของงานมงคล
บนร้านอาหารร้านหนึ่งตั้งอยู่บนเส้นทางตรงไปยังจวนเยี่ยนอ๋อง โจวเซียงและเอ้อกั๋วกงนั่งดื่มชาอยู่ในห้องห้องหนึ่ง มองออกไปนอกหน้าต่าง สามารถมองเห็นผู้คนที่กำลังครึกครื้น รอถึงยามขบวนเดินผ่านพวกเขาจะได้มองเห็นอย่างชัดเจน
เอ้อกั๋วกงอารมณ์ไม่ดีนัก นั่งดื่มชาคนเดียว และคร้านจะพูดคุยกับโจวเซียง เขาเคยเป็นคนหยาบกระด้างที่ไม่รู้หนังสือ กระทั่งตอนนี้ก็เพียงรู้ได้อ่านออกก็เท่านั้น มาเอ่ยเรื่องพิธีหรือบทกวีกับเขาก็เหมือนกับสีซอให้ควายฟัง แน่นอนว่าไม่อาจพูดคุยไปด้วยกันได้กับโจวเซียงปัญญาชนพวกนี้ได้ โจวเซียงดูถูกเขา เขาเองก็คร้านจะสนทนากับปัญญาชนร่ำเรียนหนังสือเช่นกัน
กลับกันโจวเซียงมองเอ้อกั๋วกง หาได้ยากที่เขาจะเอ่ยปาก “เอ้อกั๋วกงมองเมืองโยวโจวนี้เป็นเช่นไร”
“ไม่เลว” เอ้อกั๋วกงเอ่ยตอบตามตรง พื้นที่แห้งแล้วอย่างโยวโจว แม้เยี่ยนอ๋องจะปกครองได้ดี ทว่าก็ยังเทียบกับจินหลิงที่เจริญรุ่งเรืองไม่ได้ ไม่ต้องเป็นจินหลิง ต่อให้เป็นเมืองที่รองจากจินหลิงก็ยังสู้ไม่ได้ เพียงแต่ชาวเมืองโยวโจวกลับมีความสุข ไม่ได้ลำบากยากแค้นเหมือนเมื่อครั้งเอ้อกั๋วกงยังเยาว์ เห็นชัดว่าการเก็บภาษีของโยวโจวนั้นไม่ได้หนัก เยี่ยนอ๋องดูแลประชาชนได้ดีทีเดียว
“ไม่เลวหรือ” โจวเซียงเลิกคิ้วขาวของเขาขึ้น เอ่ยขึ้นราวกับกำลังคิดอันใดอยู่ “กลัวก็กลัว…ว่าจะไม่เลวเกินไปแล้ว”
“ใต้เท้าโจว” เอ้อกั๋วกงขมวดคิ้ว วางถ้วยชาในมือลงพลางมองไปยังโจวเซียง เอ่ยเสียงเข้ม “ประชาชนอยู่ดี ใต้เท้าโจวมีปัญหาอันใดหรือ หรือว่าต้องการให้เยี่ยนอ๋องทำให้ประชาชนชาวโยวโจวต้องยากแค้นต้องเดือดดาล ประชาชนจนหนทางถึงจะเป็นสิ่งที่ดีหรือ” เขาไม่ใช่คนโง่ ไยจะไม่เข้าใจความหมายของโจวเซียง ต่อให้ฟังไม่ออกถึงความจริงใจ หลายปีมานี้ถูกปัญญาชนเหล่านั้นก่นด่าไปหลายครั้งก็คงเข้าใจแล้ว โจวเซียงคิดว่าเยี่ยนอ๋องปกครองโยวโจวดีเกินไปเพราะในใจนั้นกำลังวางแผนอันใดอยู่
หากเอาแต่สงสัยชินอ๋องที่มีความสามารถทางการทหารที่โดดเด่นเพราะเหตุนี้ เอ้อกั๋วกงอยากบอกว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้เดิมคนไม่อยากก่อกบฏก็จะก่อกบฏ
เอ้อกั๋วกงเองก็เคยร่วมก่อกบฏด้วยกันกับอดีตฮ่องเต้ แน่นอนว่ายิ่งเข้าใจกว่าคนทั่วไป นอกจากคนที่มีความทะเยอทะยานกลัวว่าโลกจะสงบสุข คนส่วนใหญ่นอกจากจะถูกบีบบังคับจนไร้หนทาง มีกี่คนที่จะยอมก่อกบฏกัน นั่นเป็นการเอาชีวิตของครอบครัวมาเดิมพันเลยนะ
โจวเซียงถูกเขาเอ่ยดักจนพูดไม่ออก เขาเป็นคนที่ร่ำเรียนปรัชญาของนักปราชญ์คงไม่อาจเอ่ยว่าเขาหมายถึงเช่นนี้ใช่หรือไม่
เอ้อกั๋วกงส่งเสียงเย็น มองไปยังโจวเซียง เอ่ย “ใต้เท้าโจว พวกเราเป็นขุนนางมีหน้าที่ช่วยเหลือฝ่าบาทอย่างซื่อสัตย์ หากฝ่าบาทมีสิ่งใดไม่ถูกไม่ควรก็ต้องเอ่ยตักเตือนด้วยความจริงใจจึงจะถูก ขุนนางตายเพราะให้คำแนะนำ แม่ทัพตายเพราะทหาร ขุนนางไม่ใช่พวกที่ฝ่ายตรวจการเอ่ยถึงอยู่ทุกวันหรอกหรือ” โจวเซียงโกรธเกรี้ยวใบหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด วาจานี้ของเอ้อกั๋วกงไม่เพียงบอกว่าเขาไม่รู้จักตักเตือนฝ่าบาทไม่พอ ยังเอาแต่กระตุ้นความสัมพันธ์ของฝ่าบาทและผู้ปกครองเมือง โจวเซียงเพียงรู้สึกว่าในปากนั้นขมขึ้นมา แม้ว่าเขาเองจะเห็นด้วยกับฝ่าบาทกำจัดผู้ปกครองเมือง ทว่าไม่เคยคิดจะทำสิ่งใดบุ่มบ่าม เป็นเพราะฝ่าบาทมีเหตุผลบางอย่างที่ไม่อาจเอ่ยออกมา ต้องโจมตีเยี่ยนอ๋องและเว่ยจวินมั่ว แต่เหตุผลเช่นนี้หากเอ่ยออกมา ในสายตาของเอ้อกั๋วกงที่ไม่รู้ว่าในใจของฝ่าบาทคิดเยี่ยงไร เห็นชัดว่ามันเป็นเรื่องน่าขบขันไม่มีแหล่งที่มา ไม่ต้องเอ่ยก็ได้
Comments