หมอหญิงยอดมือสังหาร 641 สตรีที่เพิ่งแต่งงาน (1)
ตอนที่ 641 สตรีที่เพิ่งแต่งงาน (1)
หนานกงมั่วเลิกคิ้วพลางเอ่ยว่า “บางทีอาจมีคนคิดใส่ร้ายเซียวเชียนเยี่ย”
ทุกคนหันมามองหนานกงมั่วอย่างพร้อมเพรียง เฉินอวี้ลูบปลายคางพยักหน้า เอ่ย “แม้จะมีความเป็นไปได้ แต่ว่า…ทำลายความสัมพันธ์ของฮ่องเต้กับท่านอ๋อง มีประโยชน์อันใดต่อคนผู้นี้ จะมี…คนแบบนี้อยู่จริงๆ หรือ” หากมี ตัวตนของคนผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็คงต้องเป็นชินอ๋องเหมือนกับเยี่ยนอ๋อง อีกทั้งยังเป็นชินอ๋องที่มีกำลังทหารอยู่ในมือ แต่ว่า…เฉินอวี้ลองไล่ดูชินอ๋องที่มีกำลังทหารในมือในความทรงจำของเขา ทว่ายังคิดไม่ออกว่าจะมีใครทำเรื่องเช่นนี้ได้
หนานกงมั่วกะพริบตาปริบ “ข้าเพียงเอ่ยไปเท่านั้น” นางกลับไม่ได้คิดว่าชินอ๋องคนไหนจะไม่อยากมีชีวิตสงบสุข อีกทั้ง…ยังมีหนึ่งคนที่ไม่รู้ทำไมถึงไม่ยอมใช้ชีวิตสงบสุขอย่างกงอวี้เฉินอย่างไรเล่า หลายวันก่อนหน้านี้เห็นกงอวี้เฉินปรากฏตัวอยู่ที่เป่ยหยวน หนานกงมั่วก็มีความรู้สึกไม่ดีมาตลอด
ไหนเลยเฉินอวี้จะยอมถูกนางหลอกได้ง่ายๆ ครุ่นคิด เอ่ย “ฮูหยินน้อยหมายถึง เป่ยหยวนอย่างนั้นหรือ”
หนานกงมั่วครุ่นคิด แม้จะไม่ถูก แต่ก็ไม่นับว่าผิดใช่หรือไม่ พยักหน้าเบาๆ
เฉินอวี้เอ่ย “พวกเป่ยหยวนนั่นมีหัวคิดเพียงนี้เลยหรือ”
หนานกงมั่วรู้สึกเอือมระอาขึ้นมา
เยี่ยนอ๋องฟังทั้งสองคุยกันเงียบๆ รอพวกเขาคุยจบแล้วจึงเอ่ย “ไปสืบมาให้หมด อย่าให้หลุดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว”
ทุกคนพยักหน้ารับ เยี่ยนอ๋องเหลือบมองเว่ยจวินมั่วที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้าง “เรียกคนของเจ้ามาใช้งาน นอกจากนี้ ไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ใครก็ห้ามออกจากโยวโจว” เว่ยจวินมั่วเหลือบสายตาขึ้นมอง เอ่ยราบเรียบ “เสด็จลุง ในมือกระหม่อมไม่มีคนพ่ะย่ะค่ะ” วังจื่อเซียวแยกย้ายแล้ว คนที่เหลืออยู่ต่างแยกย้ายไปทำการค้า คนที่ใช้ได้ถ้าไม่อยู่ในกองทัพก็เป็นองครักษ์อยู่ที่เรือนชิงมั่ว
เยี่ยนอ๋องทำราวกับไม่ได้ยิน มองข้ามเขาหันไปเอ่ยกับเซวียเจิน ออกคำสั่งกับทั้งสอง “บริเวณสามสิบลี้นอกเมืองโยวโจว มีใครน่าสงสัยจับกลับมาให้หมด”
เซวียเจินทั้งสองพยักหน้า
สุดท้าย เยี่ยนอ๋องมองมายังบุตรชายทั้งสอง เซียวเชียนจย่งรีบเหยียดตัวขึ้น มองไปยังบิดาของตน เยี่ยนอ๋องเบ้ปากมองเขา หันไปเอ่ยกับเซียวเชียนเหว่ย “จับตาดูซั่นจยาจวิ้นจู่เอาไว้ให้ดี”
เซียวเชียนเหว่ยขมวดคิ้ว ลังเลอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “เสด็จพ่อสงสัยว่าซั่นจยาจวิ้นจู่จะ…” เยี่ยนอ๋องเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าไม่สงสัยอันใดทั้งนั้น ข้าเพียงคิดว่า…บุตรีพ่อค้าคนหนึ่ง ระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปีก็กลายมาเป็นจวิ้นจู่คงไม่ใช่คนธรรมดา จวิ้นจู่อย่างจูชูอวี้และจวิ้นจู่อย่างหนานกงมั่วนั้นไม่เหมือนกัน หนานกงมั่วถูกอดีตฮ่องเต้แต่งตั้งขึ้นเป็นจวิ้นจู่เนื่องจากมีความดีความชอบในสงคราม การแต่งตั้งของจูชูอวี้กลับเป็นดั่งความโชคดี บังเอิญอยู่ในช่วงที่องค์รัชทายาทกำลังเจ็บป่วย จวนเกาอี้ปั๋วพลันมียาวิเศษมาเอาความดีความชอบ องค์รัชทายาทและอดีตฮ่องเต้จากไป เซียวเชียนเยี่ยขึ้นครองบัลลังก์เซียวเชียนเยี่ยกลับยิ่งรักและเอ็นดูต่อตระกูลจู ตอนนี้ดูแล้ว องค์รัชทายาทและอดีตฮ่องเต้คงเป็นเพียงหินให้นางได้เหยียบขึ้นไปก็เท่านั้น”
เซียวเชียนเหว่ยพยักหน้า “ลูกเข้าใจแล้ว เสด็จพ่อวางใจเป็นพอพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี”
“ถวายพระพรพระชายาเยี่ยนอ๋อง” ด้านนอก เสียงองครักษ์หน้าประตูเอ่ยถวายพระพรดังขึ้น
“ท่านอ๋องและคุณชายทั้งสองอยู่ด้านในหรือไม่” พระชายาเยี่ยนอ๋องเอ่ยถาม
เยี่ยนอ๋องเอ่ย “เชิญพระชายาเข้ามา”
พระชายาเยี่ยนอ๋องเปิดประตูเข้ามา มองเห็นคนด้านในจึงชะงัก “ท่านอ๋องกำลังทำอันใดหรือ เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่”
เยี่ยนอ๋องส่ายหน้า เอ่ยเสียงทุ้ม “พระชายามาที่นี่ได้อย่างไร” พระชายาเยี่ยนอ๋องเอ่ยอย่างจนใจ “เพิ่งส่งแขกเสร็จ เห็นว่าท่านอ๋องไม่อยู่เลยมาดูเพคะ” แม้การส่งแขกไม่จำเป็นต้องให้เยี่ยนอ๋องไปส่งด้วยตนเอง ทว่าเมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาจึงรู้สึกไม่ดีนัก
เยี่ยนอ๋องนิ่ง “ส่งแขกแล้วหรือ”
พระชายาเยี่ยนอ๋องเอ่ย “ชื่อเอ๋อร์ส่งแขกบุรุษกลับไปแล้ว น้องห้าช่วยหม่อมฉันส่งแขกที่เป็นสตรีเพคะ”
เยี่ยนอ๋องพยักหน้า เอ่ย “เช่นนั้นก็ดี” พระชายาเยี่ยนอ๋องมองไปยังทุกคน “เวลานี้พวกเจ้ามารวมกันอยู่ในห้องหนังสือ เกิดเรื่องแล้วหรือ” เอ่ยจบ พระชายาเยี่ยนอ๋องนึกได้ว่าบางเรื่องตนก็ไม่สมควรถาม กำลังจะเอ่ยสิ่งใดอีก เยี่ยนอ๋องถอนหายใจมองไปยังเซียวเชียนจย่งที่อยู่ด้านข้าง เซียวเชียนจย่งมองสบตา ก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เรือนหลังให้ฟังหนึ่งรอบ
เมื่อฟังเซียวเชียนจย่งจบ พระชายาเยี่ยนอ๋องแทบยืนไม่อยู่ ใบหน้าโกรธเกรี้ยว “ท่านอ๋อง เรื่องนี้ต้องสืบให้ละเอียดนะเพคะ”
ความเยือกเย็นวาดผ่านดวงตาของเยี่ยนอ๋อง “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว”
ยามเช้า หนานกงมั่วลืมตาขึ้นมาปะทะเข้ากับดวงตาสีม่วงคู่นั้น มองใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาที่ไม่มีความง่วงงุนแม้แต่น้อย เห็นชัดว่าตื่นมานานแล้ว
“ตื่นตั้งแต่เมื่อไร”
เว่ยจวินมั่วยื่นมือมาโอบนางเข้าสู่อ้อมกอด เอ่ย “ยามห้า[1]”
หนานกงมั่วมองท้องฟ้าด้านนอกสว่างแล้ว แสงแดดสาดส่อง เห็นชัดว่าเลยยามเหม่า[2]แล้ว จากนั้นหันมามองไหล่ของใครบางคนที่ตนใช้หนุน รู้สึกละอายใจขึ้นมาโดยไม่อาจห้ามได้ นางคงไม่ได้นอนหนุนไหล่ของเขามาตลอดทั้งคืน เขาถูกกดทับจนนอนไม่หลับใช่หรือไม่ แต่ว่า…นี่ไม่อาจโทษนางนะ ก่อนจะนอนนางไม่ได้…
อย่าได้คิดว่าการนอนหนุนไหล่เป็นเรื่องหวานซึ้ง ชั่วครู่นั้นไม่เป็นไร แต่หากเป็นทั้งคืน ไม่ต้องเอ่ยถึงคนที่นอนหนุนจะเส้นพลิกหรือไม่ คนที่ถูกหนุนเองก็คงราวกับแขนจะขาดออกไป รีบลุกขึ้นพลางเอ่ย “ท่านตื่นแล้วไยจึงไม่ลุกเล่า”
เว่ยจวินมั่วมองนางเรียบๆ ก้มลงไปมองไหล่ของตนเอง ราวกับกำลังบอกว่า เจ้านอนทับข้าอยู่ ข้าจะลุกได้เยี่ยงไร
หนานกงมั่วยิ่งรู้สึกผิดขึ้นมา ยื่นมือออกไปนวดไหล่ที่ตนเองนอนหนุนเมื่อครู่ เอ่ย “หากต่อไปข้าเป็นเช่นนี้อีก ท่านผลักข้าออกก็พอแล้ว” นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าท่านอนของตนเองจะแย่เช่นนี้ มุมปากของคุณชายเว่ยขยับอย่างหาได้ยาก ไม่เอ่ยสิ่งใด
“คุณชาย ฮูหยิน ตื่นหรือยังเจ้าคะ” เสียงใสของจือซูดังขึ้นจากทางด้านนอก หนานกงมั่วจึงนึกขึ้นได้ รีบผลักเว่ยจวินมั่ว เอ่ยว่า “รีบลุกขึ้นเร็ว คู่แต่งงานต้องมายกน้ำชากับเสด็จลุงเสด็จป้า” แม้เอ่ยตามหลักการแล้วจะมิใช่เรื่องของพวกเขา ทว่าในเมื่อพวกนางมาอาศัยอยู่ในจวนเยี่ยนอ๋อง แม้แต่เรื่องนี้ยังไม่โผล่หน้าไปก็คงจะไม่เหมาะ
เว่ยจวินมั่วลุกขึ้นมาช้าๆ หนานกงมั่วนึกว่าเขายังรู้สึกไม่สบาย มองเขาอย่างละอายใจ ก่อนจะเอ่ยเรียกจือซูเข้ามา
เมื่อทั้งสองมาถึงห้องโถง แม้คู่บ่าวสาวยังไม่มา แต่คนอื่นๆ กลับมาครบแล้ว เยี่ยนอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องนั่งอยู่ตำแหน่งเหนือสุด องค์หญิงฉังผิงนั่งถัดลงมาจากพระชายาเยี่ยนอ๋อง เซียวเชียนชื่อและเฉินซื่อนั่งถัดลงมาจากเยี่ยนอ๋อง ด้านหลังพวกเขายังมีอานซื่อที่พาแม่นมกอดเด็กยืนอยู่ ถัดไปด้านหลังอีกเป็นหย่งเฉิงจวิ้นจู่และอวี้หมิงจวิ้นจู่ อี๋เหนียงและอนุภรรยานอกจากชายารองหวังซื่อที่นั่งอยู่ด้านข้างหย่งเฉิงจวิ้นจู่ คนอื่นๆ ทำได้เพียงยืนอยู่ด้านหลังคอยปรนนิบัติ
หนานกงมั่วเขินอาย “เสด็จแม่ เสด็จลุง เสด็จป้า พวกหม่อมฉันมาช้าแล้วเพคะ”
พระชายาเยี่ยนอ๋องจิบชา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หลายวันมานี้ลำบากพวกเจ้าสองสามีภรรยาแล้ว พักผ่อนมากๆ ก็สมควรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคู่แต่งงานใหม่ยังไม่ทันมามิใช่หรือ รีบนั่งลงเถิด” หนานกงมั่วเอ่ยขอบคุณ เดินลงไปนั่งด้านข้างองค์หญิงฉังผิงพร้อมกับเว่ยจวินมั่ว
[1] ยามห้า คือช่วงเวลาระหว่างตีสามถึงตีห้า
[2] ยามเหม่า คือช่วงเวลาตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า
Comments