หมอหญิงยอดมือสังหาร 658 คุณชายเว่ยเลือกหญิงงาม ขี่ม้าออกปล้น (1)
ตอนที่ 658 คุณชายเว่ยเลือกหญิงงาม ขี่ม้าออกปล้น (1)
เว่ยจวินมั่วเดินเข้ามาหาหนานกงมั่วพลางก้มลงมองดูสิ่งของในมือของนาง หนานกงมั่วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดผวาว่าเขาจะเข้ามาฉีกหนังจิ้งจอกแดงขาดเป็นชิ้นๆ ในชั่วอึดใจหรือไม่ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นพื้นที่ในอาณาเขตของพวกเขา ไม่ควรทำตัวกำเริบเสิบสานจนเกินหน้าเกินตาจะเป็นการดีกว่า
“ทำอย่างไรดี” หนานกงมั่วหันไปถามหญิงสาวชาวเป่ยหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก อาจเป็นเพราะสีหน้าที่เป็นกังวลใจของนางค่อนข้างชัดเจน หญิงสาวชาวเป่ยหยวนจึงสามารถเข้าใจความหมายที่นางจะสื่อได้ นางยิ้มหวานพลางโบกมือเบาๆ แล้วชี้ไปยังหนังสัตว์ในมือของหนานกงมั่ว จากนั้นก็เอ่ยภาษาเป่ยหยวนอยู่สองสามประโยค หนานกงมั่วฟังออกแค่คำว่าของขวัญและคำว่าเพื่อนเท่านั้น หนานกงมั่วจึงพยักหน้าเบาๆ หญิงสาวเองก็พยักหน้าตาม จากนั้นก็หมุนตัวแล้วออกไปทันที
ช่างเถิด ถือเสียว่าเป็นของขวัญธรรมดาทั่วไปก็แล้วกัน จะปล่อยให้เว่ยจวินมั่วทำลายของชิ้นนี้ในที่แห่งนี้ไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นอาจทำให้ผู้คนที่นี่เกิดความไม่พอใจเอาได้
หนานกงมั่วจึงค่อยๆ พับหนังสัตว์เก็บ แล้วจูงมือของเว่ยจวินมั่วเดินกลับกระโจมไป
ในกระโจม บรรยากาศเงียบสนิท หนังจิ้งจอกสีแดงสดถูกวางไว้ที่ข้างเตียง หนานกงมั่วจ้องมองชายที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าจนใจ หนานกงมั่วรู้สึกว่าเว่ยจวินมั่วออกจะสนใจหนังสัตว์ผืนนี้มากกว่านางเสียด้วยซ้ำ นางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเว่ยจวินมั่วและหนังสัตว์พลางเอ่ย “ท่านโกรธจริงๆ หรือ เว่ยจวินมั่ว ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าท่านใจแคบขนาดนี้”
“อืม” เว่ยจวินมั่วพยักหน้าตอบ “จิตใจของข้าคับแคบมาโดยตลอด”
หนานกงมั่วขบกรามแน่น พยายามข่มอารมณ์ที่อยากจะพุ่งทะยานไปกัดเขาไว้ “ก่อนหน้านี้เราบอกพวกเขาว่าเป็นพี่น้องกันมิใช่หรือ ท่านอยากจะให้ข้าทำอย่างไรก็บอกมา เช่นนี้ พอใจท่านหรือไม่” เว่ยจวินมั่วเอื้อมมือดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่ได้โกรธ” เพียงแต่ว่าเห็นนางถูกบอกรักท่ามกลางผู้คนมากมาย ก็เลยทนไม่ไหวอยากเข้าไปกีดกันคนผู้นั้นออกไปก็เท่านั้น
“ดีมาก” หนานกงมั่วหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “มีคุณชายเว่ยที่รูปงามเช่นนี้อยู่ใต้หล้า ข้าจะยังชายตามองผู้ใดได้อีกเล่า”
เว่ยจวินมั่วหลุบตาลงต่ำ จากนั้นก็เอื้อมไปสัมผัสริมฝีปากสีแดงของนางอย่างเบามือ “อู๋สยา เมื่อครู่นี้….เจ้างดงามมาก”
หนานกงมั่วยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “ระบำของข้างดงามหรือ”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ
“ไว้วันหลังข้าจะเต้นระบำให้ท่านดูใหม่ ดีหรือไม่”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าตอบ “ระบำให้ข้าดูแค่คนเดียวเท่านั้น”
“แน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า…ชายหนุ่มชาวเป่ยหยวนชอบเต้นระบำมาก แต่ข้ายังไม่เคยเห็นจวินมั่วเต้นระบำเลย”
สีหน้าของคุณชายเว่ยเปลี่ยนไปในทันที หนานกงมั่วหลุดขำออกมาด้วยความตลก เอาเถิด ถึงแม้ว่าคุณชายเว่ยจะรูปงามไร้ซึ่งเทียมทานและมีจิตวิญญาณสูงส่ง แต่ว่า…ใบหน้าที่เย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึกนี้ แม้ว่าจะเต้นระบำด้วยท่าทางที่อ่อนช้อยและอ้อยอิ่ง ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เหมาะกับใบหน้าและแววตาที่ไร้ซึ่งอารมณ์ของเขาเลยแม้แต่น้อย…ออกจะดูแปลกๆ เสียด้วยซ้ำ
ยิ่งจินตนาการถึงฉากที่คุณชายเว่ยกำลังเต้นระบำ หนานกงมั่วก็ยิ่งหัวเราะเสียงดังเข้าไปใหญ่ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะกุมท้องหัวเราะจนทิ้งตัวในอ้อมกอดของเว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วจึงจับตัวนางทิ้งลงบนเตียงแทน ใครบางคนที่ยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองก็ยังคงหัวเราะชอบใจต่อ จวบจนเงาร่างใหญ่คร่อมลงบนตัวของนาง นางจึงพึ่งจะรู้สึกตัวว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี
ฟู่….
เสียงลมพัดผ่านวูบ แสงไฟของตะเกียงที่ตั้งอยู่ไม่ไกลมากก็ดับลง ท่ามกลางความมืดมิด หนานกงมั่วกำลังจะดิ้นหนี แต่คนที่คร่อมอยู่บนร่างของนางกลับเอ่ยขึ้นว่า “อู๋สยา ข้ายังโกรธอยู่”
“เว่ยจวินมั่ว คนบ้า ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าไม่โกรธแล้ว”
“อืม ข้าโกรธที่เจ้าขำข้า”
ไกลออกไปจากกระโจม เสียงโห่ร้องที่ฮึกเหิมและเสียงเพลงที่ครื้นเครงดั่งขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่ในกระโจมมีเพียงเสียงลมหายใจที่เหนื่อยหอบและเสียงครางที่แผ่วเบาดังขึ้นเท่านั้น ท่ามกลางความมืดมิด ถึงแม้ว่าบรรยากาศของทุ่งหญ้าในต้นฤดูใบไม้ร่วงจะค่อนข้างหนาวเย็น แต่ภายใต้กระโจมกลับท่วมท้นไปด้วยบรรยากาศเร่าร้อน
เช้าตรู่ หนานกงมั่วนั่งอยู่บนเนินเตี้ยพลางทอดสายตามองวัวและแกะที่อยู่ไกลออกไปกำลังเล็มหญ้าด้วยความสบายใจ นอกจากนี้ยังมีเหล่าคนเลี้ยงสัตว์ที่ร้องเพลงกันอย่างอารมณ์ดี ที่ริมทะเลสาบมีเหล่าหญิงสาวกำลังนั่งซักผ้า ด้านหลังของนางเป็นกระโจมที่กางเรียงรายเป็นกลุ่มจำนวนมาก เหนือกระโจมมีควันล่องลอยเล็กน้อย ช่างเป็นภาพวิถีชีวิตบนทุ่งหญ้าที่แสนสงบสุข
จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ หนานกงมั่วหันไปมอง ก็เห็นว่าเป็นเว่ยจวินมั่วที่สาวเท้าเดินเข้ามาหานางอย่างเชื่องช้า
เว่ยจวินมั่วค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงด้านข้างนางเงียบๆ หนานกงมั่วทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าพลางทอดถอนใจเบาๆ “พรุ่งนี้ก็จะต้องออกเดินทางแล้ว ไม่อยากจะไปจากที่นี่เลย”
“ไว้วันข้างหน้าค่อยมาใหม่” เว่ยจวินมั่วเอ่ยขึ้น
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ ที่จริงพวกเขาต่างก็รู้ดีว่าการมาคราวหน้านั้นจะเป็นตอนไหนก็ไม่อาจล่วงรู้ได้เลย กลับมาคราวหน้าที่นี่อาจไม่มีผู้คนอาศัยอยู่แล้วก็เป็นได้ และถึงแม้ว่าจะมี ก็อาจจะไม่ใช่กลุ่มคนเหล่านี้แล้ว
“เป่าขลุ่ยให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่” หนานกงมั่วเอ่ยขึ้น
เว่ยจวินมั่วเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง เขาเองไม่ได้พกขลุ่ยติดตัวมาด้วย จึงเอื้อมมือไปเด็ดใบไม้มาหนึ่งใบ จากนั้นก็วางมันแนบกับริมฝีปาก เสียงดนตรีก็ค่อยๆ ดังขึ้นอย่างช้าๆ
เป็นท่วงทำนองที่ค่อนข้างแตกต่างกับเสียงเพลงของเหล่าคนเลี้ยงสัตว์ แต่กลับไม่เหมือนเสียงเพลงของเจียงหนาน ฟังดูอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว และวังเวงเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันที่หนานกงมั่วจะนึกออก เสียงดนตรีก็เปลี่ยนเป็นท่วงทำนองสนุกสนานและครึกครื้นแทน เหล่าหญิงสาวที่กำลังซักเสื้อผ้าอยู่หันมาดูพลางชี้นิ้วมายังทั้งสองพร้อมกับเอ่ยบางอย่างด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หนานกงมั่วเท้าคางพลางฟังบทเพลงที่เขาเป่าอย่างเงียบๆ จากนั้นก็อิงศีรษะไปยังแขนของเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เหตุใดถึงต้องเสียดายไม่อยากจากไปด้วยเล่า ขอเพียงแค่มีเขาคอยอยู่เคียงข้าง ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใดก็ยังคงสามารถรู้สึกมีความสุขได้
เมื่อบทเพลงสิ้นสุดลง หนานกงมั่วจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “บทเพลงนี้มีชื่อว่าอย่างไร ข้าไม่เคยฟังมาก่อน”
เว่ยจวินมั่วเอ่ยตอบ “ข้าก็แค่เป่าไปเรื่อยเปื่อย”
หนานกงมั่วยักไหล่เบาๆ ช่างเถิด ก็ใครบางคนเขาเป็นอัจฉริยะ
“คุณชายกง แม่นางกง”
ทั้งสองหันกลับไปมองตามต้นเสียง หลูฉี่หลินกำลังพาบุตรชายและบุตรสาวเดินตรงมาหาทั้งคู่พอดี เมื่อเห็นทั้งสองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างพลางเอ่ย “ยังเป็นพวกท่านทั้งสองที่อิสระเสรี ทำเอาข้ารู้สึกอิจฉาพวกท่านทั้งสองทีเดียว”
หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย “ที่พวกข้าว่างเพราะไม่มีการงานทำ จะไปเทียบกับนายท่านหลูได้อย่างไรเจ้าคะ รอบนี้นายท่านหลูคงจะได้กำไรไม่น้อยเลย”
“ขอให้เป็นดังเช่นคำที่แม่นางเอ่ย” หลูฉี่หลินประสานมือทั้งสองพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่อารมณ์ดี
เว่ยจวินมั่วจูงมือของหนานกงมั่วลุกขึ้น หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “นายท่านหลูเสร็จธุระทางนี้แล้วหรือเจ้าคะ” หลูฉี่หลินตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “คนเลี้ยงสัตว์ยังมีสมุนไพรบางส่วนที่ต้องเตรียม คาดว่าคงจะเตรียมเสร็จวันนี้ พรุ่งนี้เราจะเริ่มออกเดินทางกัน” แน่นอนว่าหลูฉี่หลินไม่ได้ลงลึกเกี่ยวกับรายละเอียดการค้าขายอยู่แล้ว
หนานกงมั่วพยักหน้ารับรู้และไม่ได้ถามต่อ เพียงเอ่ยว่า “แล้วเราจะไปที่ชนเผ่าไหนต่อหรือเจ้าคะ”
หลูฉี่หลินส่ายหน้าพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่นางไม่รู้อันใด นี่มิใช่สิ่งที่เราจะตัดสินใจเองได้ เราสามารถกำหนดทิศทางคร่าวๆ เท่านั้น และรู้แค่ว่าสถานที่ไหนน่าจะมีผู้คนอาศัยอยู่เท่านั้นเอง ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าเราจะได้เจอกับชนเผ่าไหน”
โกหก! หากว่าไปเจอเข้ากับชนเผ่าที่เป็นกลุ่มโจรปล้นจี้หรือกลุ่มคนที่มองไม่เข้าตา เห็นเป็นศัตรูขึ้นมา เขาจะมีสักกี่ชีวิตที่จะเอาไปสังเวยกับเหตุการณ์เหล่านี้กัน
ถึงแม้ว่าในใจนางจะคิดเช่นนี้ แต่หนานกงมั่วก็ยังคงยิ้มตอบเหมือนเช่นเดิม นางถอนใจออกมาเบาๆ พร้อมกับเอ่ยว่า “พวกข้าไม่มีประสบการณ์ทางด้านนี้แม้แต่นิดเดียว หวังว่าทุกๆ ชนเผ่าจะเป็นมิตรและใจดีเหมือนเช่นชนเผ่านี้ก็พอ”
หลูฉี่หลินยิ้มพลางเอ่ย “แม่นางวางใจเถิด ตระกูลข้าใช้เส้นทางนี้มานานนับสิบปี อย่างน้อยๆ ก็ยังสามารถรับรองความปลอดภัยได้”
“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ เอ่ย “นายท่านหลูมาหาพวกข้าเวลานี้ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรจะคุยกับพวกข้าหรือเจ้าคะ”
Comments