หมอหญิงยอดมือสังหาร 691 การเลือกและพ่อลูก (2)
ตอนที่ 691 การเลือกและพ่อลูก (2)
มองดูคู่พ่อลูกตรงหน้า หนานกงมั่วถอนหายใจเบาๆ “อ้อ แม่ทัพจ้าวเอ่ยจริงหรือ”
แม่ทัพจ้าวชะงักไปชั่วครู่ เมื่อเข้าใจสิ่งที่นางถามจึงรีบพยักหน้า เอ่ยตอบว่า “ใช่แล้วขอรับ ขอจวิ้นจู่ช่วยบุตรชายของข้าด้วย”
หนานกงมั่วพยักหน้าพึงพอใจ มุมปากยกยิ้มบาง เอ่ย “น่าสงสารจิตใจคนเป็นบิดามารดา…แม่ทัพจ้าวมาหาด้วยตนเอง อย่างไรก็ต้องไว้หน้า หลิ่วหัน”
“ซิงเวย” ซิงเวยเดินเข้ามาจากหน้าประตู เอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม
หนานกงมั่วเอ่ย “เจ้าพาจางจวีอานและเสียวเถี่ยไปหยิบยาเชื่อมกระดูกแผลสดมาหนึ่งขวด แล้วไปดูคุณชายสี่เถิด”
ซิงเวยเองก็ไม่ได้ถามอันใดมาก เพียงพยักหน้า เอ่ย “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งขอรับ”
“จวิ้นจู่” แม่ทัพจ้าวงุนงง หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ได้ยินมาว่าบุตรชายของท่านไม่ระวังถูกม้าเหยียบขาหักอย่างนั้นหรือ บาดแผลเช่นนี้หมอทั่วไปต่างก็จัดการได้ เพียงแค่ไม่มียาที่เหมาะสมเท่านั้น มียาเชื่อมกระดูกแผลที่ศิษย์พี่ข้าปรุงด้วยตนเอง แม้บุตรชายของท่านไม่อาจกลับมาเป็นปกติได้ถึงสิบส่วน อย่างน้อยก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้แปดเก้าส่วน” เห็นท่าทางไม่เชื่อถือของแม่ทัพจ้าว หนานกงมั่วจึงยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “บางทีแม่ทัพจ้าวอาจไม่รู้ ศิษย์พี่เสียนเกอของข้า ได้รับการขนานนามว่าหมอเทวดา หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็ลองไปถามท่านหมอที่ท่านเชิญมาดูก็ได้”
ฟังนางเอ่ยเช่นนี้ แม่ทัพจ้าวก็ไม่สนใจอันใดมากอีก เพียงยกมือขึ้นประสานและลากลับไป ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้หันไปมองคุณชายจ้าวเลยแม้เพียงนิด
หนานกงมั่วมองคุณชายจ้าวด้วยความสนอกสนใจ คุณชายจ้าวเหม่อลอย ใบหน้ามีสีหน้าสับสน เดี๋ยวเดือดดาล เดี๋ยวสิ้นหวังเสียใจ เดี๋ยวเคียดแค้น ดูโหดเหี้ยมและดุร้ายขึ้นมา เนิ่นนานราวกับว่าในที่สุดก็ยอมรับแล้วว่าตนเองถูกบิดาทอดทิ้ง หัวเราะเสียงดังออกมาอย่างบ้าคลั่ง เพียงแต่เสียงนั้นทำให้คนรู้สึกว่าเหมือนเสียงร้องไห้เสียมากกว่า ช่าง…น่าสงสาร หนานกงมั่วลอบคิดอยู่ในใจ น่าเสียดาย…เดิมนางไม่ได้เป็นคนดีเพียงนั้น
“เจ้าชนะแล้ว” รอจนคุณชายจ้าวหยุดหัวเราะในที่สุด ก่อนจะจ้องหนานกงมั่วเขม็งพร้อมกัดฟันเอ่ยขึ้น
หนานกงมั่วกลับไม่แสดงท่าทีแปลกใจ เพียงดื่มชาด้วยท่าทางนิ่งสงบ “ข้ารู้”
คุณชายจ้าวเอ่ย “เจ้าอะเอาอย่างไร จะฆ่าก็ฆ่าตามใจเจ้า”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “เอ๋ คงมิใช่ว่าถูกบิดาของเจ้าทอดทิ้งแล้ว ก็เลยไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ช่างเป็นเด็กไม่รู้จักโตจริงๆ”
คุณชายจ้าวยิ้มเย็นอย่างน่ารังเกียจ “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังวางแผนกลั่นแกล้งข้าหรือ เจ้าบีบบังคับให้บิดาของข้าต้องเลือก ไม่ใช่เพราะต้องการสร้างรอยร้าวให้กับพวกเราพ่อลูกหรอกหรือ น่าเสียดาย เจ้าพลาดแล้ว ข้าไม่มีทางช่วยอันใดเจ้า”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วแปลกใจเล็กน้อย “เจ้ามองออกหรือ เพียงแต่เจ้าคิดมากไปแล้ว”
“หมายความเช่นไร” คุณชายเจ้าเอ่ย
ชวีเหลียนชิงยกมือขึ้นปิดริมฝีปากหัวเราะออกมา “คุณชายจ้าว ความหมายของจวิ้นจู่เราก็คือ ท่านมีค่าอันใดให้จวิ้นจู่วางแผนกลั่นแกล้ง ต่อให้ท่านกับแม่ทัพจ้าวแตกหักกันจริงๆ ด้วยความสามารถของท่าน…จะทำอันใดได้”
หนานกงมั่วไม่เอ่ยสิ่งใด ทว่านับว่ายอมรับในสิ่งที่ชวีเหลียนซิงเอ่ย เพียงแต่การเอ่ยวาจาเสียดสีอย่างไม่ใส่ใจในครั้งนี้ดูเหมือนจะทำคนยิ่งเดือดดาลขึ้นไปอีก หนานกงมั่วยกมือเท้าคางมองสำรวจเขาด้วยท่าทางเนือยๆ เอ่ย “ข้ามิได้มีความแค้นอันใดต่อบิดาของเจ้า ต่อให้ก่อนหน้านี้เขาจะเสียมารยาทต่อจวินมั่วบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องงาน ข้าไม่สนใจด้วยว่าใครเป็นคนสนับสนุนเจ้าให้มาใส่ร้ายสำนักแพทย์ของข้า เจ้าเพียงทำให้ข้าไม่พอใจ แน่นอนว่าข้าก็ไม่มีวันปล่อยให้เจ้ามีความสุข เจ้าว่าใช่หรือไม่”
สีหน้าของคุณชายจ้าวเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวคล้ำ เนิ่นนานก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “เจ้านึกว่าเจ้าฉลาดนักหรือ เพียงเห็นข้าเป็นที่ระบายอารมณ์เท่านั้นมิใช่หรือ ซิงเฉิงจวิ้นจู่ก็ได้เท่านี้เอง”
หนานกงมั่วหาวเบาๆ โบกมือส่งสัญญาณให้คนพาตัวเขาออกไป
สีหน้าของคุณชายจ้าวพลันเปลี่ยน ดิ้นรนต่อสู้ เอ่ย “เจ้าไม่อยากรู้จริงหรือว่าคนที่อยู่เบื้องหลังข้าเป็นใคร”
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถิด ข้าไม่สังหารเจ้าหรอก ส่วนคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้า…เขาก็ได้รับบทลงโทษไปแล้วมิใช่หรือ จะว่าไป…เรื่องที่เจ้าเชื่อฟังคำของเขาแล้วมาใส่ร้ายข้าเดิมก็เป็นเรื่องน่าแปลกอยู่แล้ว”
“เจ้า…เจ้ารู้หรือ” คุณชายจ้าวตกตะลึงอย่างจริงจัง
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ “ในกองทัพมีม้านับหมื่นตัว เจ้าว่า ไยม้าจึงเลือกที่จะเหยียบเขาเล่า”
คุณชายจ้าวหนาวสะท้านขึ้นมา สายตาที่มองไปยังหนานกงมั่วราวกับมองสัตว์ร้าย
ทหารองครักษ์พาตัวเขาออกไป ชวีเหลียนซิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “จวิ้นจู่คิดจะจัดการกับคนผู้นี้เยี่ยงไรเจ้าคะ”
หนานกงมั่วเอ่ย “อย่างไรก็เป็นบุตรชายของแม่ทัพจ้าว เราจะสังหารเขาตั้งแต่มาที่นี่ครั้งแรกคงจะไม่เป็นผลดีต่อจวินมั่ว สั่งสอนเขาสักหน่อยแล้วปล่อยเขากลับไปก็พอ เกรงว่าตอนนี้เขาคงเสียใจเสียยิ่งกว่าต้องตายอีกนะเจ้าคะ” หนานกงมั่วไม่ใส่ใจ “ก็คงอาจจะ ใครบ้างจะอยากตาย ความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างแม่ทัพจ้าวกับเขาก็ไม่ได้ดีอันใดนัก” เพียงแต่ความแตกแยกของพ่อลูกพี่น้องตระกูลจ้าวนั้นมีอยู่แล้ว แม่ทัพจ้าวเองก็ไม่ใช่คนที่จะใส่ใจเรื่องเล็กน้อย รอยร้าวนี้นับวันยิ่งกว้างขึ้น กระทั่งวันใดวันหนึ่ง…ที่มันจะปะทุขึ้นมาเอง
“จวิ้นจู่จะปล่อยคุณชายสี่ตระกูลจ้าวไปจริงหรือเจ้าคะ” ชวีเหลียนซิงเอ่ยถาม แม้แต่หาเรื่องใครพวกเขาก็เลือกคนนะ หากไม่รู้ฐานะของคุณชายจ้าวสี่ตั้งแต่แรก อย่างน้อยตอนลงมือพวกเขาอาจจะเบาสักหน่อย คุณชายจ้าวเป็นบุตรชายที่มีความสามารถที่สุดในบรรดาบุตรชายทั้งหมด ดังนั้น เขารีบร่วมมือกันกับคนของเซียวเซียนเยี่ยที่ลอบส่งมาในยามที่เว่ยจวินมั่วยังไม่กลับมา ความฉลาดของคุณชายจ้าว สามารถโน้มน้าวคุณชายจ้าวสามที่มีความสัมพันธ์กับเขาไม่ดีนัก กระทั่งคุณชายจ้าวสามเองก็เพิ่งจะได้สติกลับมา
น่าเสียดาย…ตั้งแต่เขาถูกสืบได้ว่าติดต่อกับคนของเซียวเชียนเยี่ย เมื่อเกิดเรื่องขึ้นมาเขาจึงเป็นที่น่าสงสัยกว่าคนอื่นหลายเท่า ต่อให้ไม่เกี่ยวอันใดกับเขาจริงๆ หนานกงมั่วก็ไม่รังเกียจหากได้ตัดปีกของเซี่ยวเชียนเยี่ย
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “เขาไม่ได้ทำอันใด เพียงหาคนจัดการสังหารอนุภรรยาของพี่ชาย จากนั้นหาคนมาเอ่ยกระตุ้นเพียงไม่กี่ประโยค พวกเราเองก็ไม่มีหลักฐาน จะทำอันใดได้เล่า”
ชวีเหลียนซิงคิดไตร่ตรอง สุดท้ายจึงยอมปล่อยไป เพียงนึกถึงการรบราฆ่าฟันระหว่างพี่น้องและความโกรธเกลียดระหว่างพ่อลูกของตระกูลจ้าวที่จะเกิดขึ้น ตอนนี้ปล่อยพวกเขาไปก่อนคงไม่เป็นไร ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังรู้ตัวตนของจ้าวสี่แล้วด้วย กลัวแต่เขาจะทำไม่สำเร็จหลังจากการได้รับความทุกข์ทรมานในครั้งนี้ หวังว่าคุณชายจ้าวสามจะยังยืนหยัดอยู่ต่อไปได้ ไม่ถูกน้องชายฆ่าตายเสียก่อนคงจะดี
“คุณชายกลับมาแล้ว” ชวีเหลียนซิงเงยหน้าขึ้นหันกลับไปมองคนที่เดินเข้ามาจากด้านนอก รีบลุกขึ้นย่อตัวเคารพ มองเห็นเว่ยจวินมั่วอยู่ในอาภรณ์สีคราม เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เมื่อวานคุณชายเว่ยถูกแม่ทัพเซี่ยสั่งให้ออกไปลาดตระเวน วันนี้กลับมาแต่เช้านับว่าแปลกอยู่บ้าง หนานกงมั่วคิดว่าอย่างน้อยเขาคงกลับมาถึงตอนพลบค่ำ
“ไยจึงกลับมาเร็วเพียงนี้”
เว่ยจวินมั่วนั่งลงข้างนาง เอ่ยถาม “ในจวนเกิดเรื่องอันใดหรือ” เขาเพิ่งเดินเข้ามาก็มองเห็นทหารองครักษ์สองคนหิ้วชายหนุ่มที่ร่างกายมีแต่รอยเลือดเดินออกไป ยังไม่ทันได้ถามก็ตรงเข้ามาด้านใน มองดูเขาที่ร่างกายเต็มไปด้วยฝุ่น หนานกงมั่วจึงส่งสัญญาณให้ชวีเหลียนซิงไปเตรียมอาหาร พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะมีเรื่องอันใดได้เล่า เพียงสั่งสอนเด็กที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงก็เท่านั้น”
Comments