หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรักตอนพิเศษ 19-2 กินเนื้อ เอาคืนให้สาสม
ตอนพิเศษ 19-2 กินเนื้อ เอาคืนให้สาสม
ผ่านไปหนึ่งเค่อ เหวินเหรินเฟิงก็กลับมา เขาเอาถุงน้ำที่ตนให้ความอบอุ่นมาระหว่างทางส่งให้สวี่หลีเย่ว์
สวี่หลีเย่ว์ดื่มไปหลายอึก อาการค่อยๆ ดีขึ้น นางหันไปถามเหวินเหรินเฟิงว่า “ศิษย์พี่ เหตุใดจึงไปนานเพียงนี้”
เหวินเหรินเฟิงหลุบตาเอ่ยว่า “ตอนแรกข้าคิดจะจับปลากลับมาสักหน่อยด้วย แต่ว่าไม่มี”
สวี่หลีเย่ว์ไม่ได้สงสัยอะไร ยิ้มพลางส่งถุงน้ำคืนให้เขา
หลังจากกินยาลงไปแล้ว อาการปวดของสวี่หลีเย่ว์ก็ค่อยๆ หายไป และกลับมามีแรงเดินอีกครั้ง
เขาจะไปเอาเฉียวเวยเวยขึ้นหลังต่อ
อยู่ๆ จีเสี่ยวซิวก็พูดขึ้นว่า “น้องสาวข้าอยากให้พี่หลีเย่ว์อุ้ม!”
เฉียวเวยเวย “เอ๋?”
ใครเป็นน้องสาวเจ้ากัน
สวี่หลีเย่ว์ระบายยิ้มใจดี “ข้าอุ้มแล้วกัน”
เหวินเหรินเฟิง “เจ้ามีแผลติดตัว ให้ข้าอุ้มเถิด”
สวี่หลีเย่ว์อุ้มเฉียวเวยเวยขึ้นมาแล้ว “ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าใช้พลังปราณนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก ศิษย์พี่เก็บแรงไว้ ถึงเวลานั้นต้องรบกวนศิษย์พี่แล้ว”
เหวินเหรินเฟิงตอบรับอ้อมแอ้ม แล้วออกเดินนำทุกคนไป
ถ้ำตรงนี้ค่อนข้างกว้าง รอบด้านมีแต่ทางเชื่อมไปที่อื่น ซึ่งไม่รู้ไปยังที่ใด
เท่าที่เหวินเหรินเฟิงจำได้ ถ้ำแห่งนี้ไม่มีสัตว์อสูร แต่หลังจากเดินไปพักหนึ่ง เหวินเหรินเฟิงสัมผัสได้ถึงไอปราณมหาศาล
สวี่หลีเย่ว์ก็สัมผัสได้เช่นกัน เพียงแต่การยังฝึกตนไม่สูงพอ ประสาทสัมผัสจึงไม่ชัดเจนเพียงนั้น “ศิษย์พี่ เหมือนจะมีสัตว์อสูร”
ใช่แค่สัตว์อสูรเมื่อไรกัน นี่มันเป็นสัตว์มารขั้นสามด้วยซ้ำ ความสามารถถึงขั้นผสานตันตอนกลางแล้วด้วย ร้ายกาจกว่าสิงโตสองปีกที่กัดว่านจื่อเยียนนั่นไม่น้อยกว่าสิบเท่าทีเดียว
เหวินเหรินเฟิงพอรู้ว่าสัตว์มารตัวนี้เป็นอย่างไร เขาหันไปมองทางที่พวกตนเดินมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วเอ่ยกับสวี่หลีเย่ว์ว่า “ไม่เห็นมีสัตว์อสูรนี่ เจ้าคิดมากไปแล้ว”
สวี่หลีเย่ว์พลันเบาใจ “ไม่มีก็ดี!”
เฉียวเวยเวยซบอยู่กับอกของสวี่หลีเย่ว์ สายตาสงบนิ่ง
“ศิษย์น้องหญิง” อยู่ๆ เหวินเหรินเฟิงก็เรียกนาง
ฝีเท้าสวี่หลีเย่ว์พลันชะงัก อันไปส่งยิ้มน้อยๆ “หือ?”
เหวินเหรินเฟิงกำหมัดแน่น “หากข้าทำเรื่องที่เจ้าไม่ชอบใจ เจ้าจะให้อภัยข้าหรือไม่”
สวี่หลีเย่ว์เอยยิ้มๆ “ให้สิ เจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของข้านี่ เจ้าดีกับข้าที่สุดแล้ว! นอกจากท่านพ่อข้า คนที่ข้าชอบที่สุดก็คือเจ้า! ไม่ว่าเจ้าทำอะไร ข้าก็ให้อภัยเจ้าได้ทั้งสิ้น!”
หน้าอกของเหวินเหรินเฟิงมีความรู้สึกบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกจนรู้สึกปวด
สวี่หลีเย่ว์ถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเป็นอะไรหรือ ศิษย์พี่? ตั้งแต่ไปรองน้ำกลับมา ท่าทางก็ดูแปลกๆ ใช่กลัวจะเอาผลผูถีมาไม่ได้หรือไม่ เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอกนะ”
เหวินเหรินเฟิงเอ่ยด้วยความปวดใจ “ขอโทษด้วยนะ ศิษย์น้องหญิง”
จีเสี่ยวซิวหรี่ตาลง
เหวินเหรินเฟิงเดินเข้าไปหาสวี่หลีเย่ว์ คว้ามือสวี่หลีเย่ว์ไว้ ฉวยเอาไข่มุกเคลื่อนย้ายจากแขนเสื้อนาง เดินพลังปราณแล้วโยนใส่เท้าทั้งสามคน
เห็นเพียงแสงสีขาวแสบตาสว่างวาบ ห่อตัวพวกสวี่หลีเย่ว์ทั้งสามเอาไว้
แค่เพียงชั่วพริบตา แสงสีขาวนั้นก็หายไป พวกสวี่หลีเย่ว์ก็หายวับไปด้วย
ฉือเฟิงสัมผัสได้ถึงไอปราณของไข่มุกเคลื่อนย้าย เขารีบใช้วิชาเวทย์รีบตามไป แต่น่าเสียดายที่ช้าก้าวหนึ่ง สวี่หลีเย่ว์กับเด็กสองคนถูกส่งตัวไปแล้ว
ฉือเฟิงย่อตัวลง สัมผัสไอปราณของไข่มุกเคลื่อนย้ายที่ยังเหลืออยู่บนพื้นแล้วเอ่ยเยาะหยันว่า “เจ้าส่งพวกเขาไปยังแดนล่างแล้ว? ข้าประเมินความสามารถพวกเจ้าต่ำไปจริงๆ”
แดนล่างกับแดนกลางแน่นอนว่ามีค่ายเคลื่อนย้าย แต่กลับไม่อนุญาตให้สร้างค่ายส่วนตัว แค่สำนักเล็กๆ แต่กลับแอบสร้างค่ายเคลื่อนย้ายลับหลังสหพันธ์ ช่างใจกล้านักนะ!
ฉือเฟิงเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าไม่หวังในผลผูถีแล้วอย่างนั้นหรือ เพื่อเด็กแปลกหน้าสองคน คุ้มกันหรือ”
เพื่อเด็กสองคน? เหวินเหรินเฟิงไม่ได้เป็นคนดีเพียงนี้ หากไม่ใช่เพราะศิษย์น้องหญิงจะต้องพาพวกเขาไปด้วยให้ได้ เขาสามารถทิ้งตัวถ่วงสองคนนั้นได้ทุกเมื่อ แต่เวลานี้ เขาได้เห็นใบหน้าของบุรุษผู้นี้ รู้ว่าบุรุษผู้นี้เข้าพรรคเข้าพวกกับใคร เมื่อใดที่เขาส่งตัวเด็กไปแล้วหมดประโยชน์ คนต่อไปที่จะตายก็คือศิษย์น้องหญิงกับเขานี่เอง
“เจ้าอย่าคิดว่าแค่นี้ก็จะสามารถขวางข้าได้ เจ้ามีไข่มุกเคลื่อนย้าย แล้วข้าไม่มีหรือ” ไข่มุกเคลื่อนย้ายของฉือเฟิงดีเลิศกว่าไข่มุกเคลื่อนย้ายของแดนล่างเป็นสิบเท่าร้อยเท่า พวกสวี่หลีเย่ว์สามคนยังไม่ทันกลับถึงสำนัก เขาก็ตามไปทันแล้ว!
ฉือเฟิงหยิบไข่มุกเคลื่อนย้ายสีเขียวทั้งเม็ดออกมา
เหวินเหรินเฟิงเห็นไข่มุกเม็ดนั้นก็รู้ว่าศิษย์น้องหญิงน่าจะอันตรายมากกว่าปลอดภัย เดิมทีเขาไม่คิดจะมีชีวิตรอดกลับไปอยู่แล้ว ขวางได้นานเท่าไรก็เท่านั้น เขาใช้พลังปราณเสกเอากระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมา แล้วฟันใส่ฉือเฟิงอย่างดุดัน
การโจมตีครั้งนี้ใส่พลังปราณกว่าแปดส่วนของเขาเข้าไปด้วย ต่อให้ลำดับขั้นของฉือเฟิงจะอยู่เหนือเขา แต่ก็ไม่อยากสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับเขาอยู่ดี
ฉือเฟิงถูกบีบจนต้องถอยไปก้าวหนึ่ง
เหวินเหรินเฟิงฟันกระบี่เข้าใส่อีกครั้งอย่างสู้ตาย!
เหวินเหรินเฟิงมีรากปราณคู่ไฟกับไม้ กระบวนท่าที่ใช้ในเวลานี้คือท่าที่สองของทะเลอัคคีไร้ขอบเขต เมื่อใช้กระบวนท่านี้ ถ้ำทั้งถ้ำคล้ายมีลาวาไหลทะลัก ทุกแห่งหนร้อนระอุจนมีควันจางๆ ลอยออกมา
ฉือเฟิงหากจะสู้กับเขาจริงๆ แน่นอนว่าสามารถเอาชนะได้ แต่ฉือเฟิงกำลังร้อนใจจะไปตามมังกรน้อย ไม่มีเวลาพัวพันกับเขานาน “อสูรต้านน้ำ! สัตว์นอเดียวสีเขียวตัวหนึ่งท่าทางแข็งแกร่งราวกับแรดพุ่งทะยานเข้าใส่เหวินเหรินเฟิงอย่างดุดัน!”
อสูรต้านน้ำเป็นสัตว์มารขั้นสามธาตุไฟประเภทหนึ่ง ทะเลเพลิงที่เหวินเหรินเฟิงสร้างขึ้นมาไม่เพียงทำอะไรมันไม่ได้เท่านั้น แต่กลับทำให้มันร่าเริงเป็นปลากระดี่ได้น้ำอีกด้วย มันดูดเอาพลังปราณไฟในอากาศไปอย่างรวดเร็ว จังหวะที่พุ่งเข้าไปหาเหวินเหรินเฟิงนั้น ตัวมันขยายใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว
ผู้ฝึกตนขั้นผสานตันเช่นเดียวกัน แต่ด้วยความต่างทางคุณสมบัติร่างกายได้กำหนดไว้แล้วว่าเหวินเหรินเฟิงต้องถูกอสูรต้านน้ำกดเอาไว้จนทำอะไรไม่ได้
เหวินเหรินเฟิงถึงขั้นขยับตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ
เขามองอสูรต้านน้ำที่พุ่งเข้ามาหาตนด้วยความหวาดหวั่น
แต่กระนั้นความเจ็บปวดที่คิดเอาไว้กลับไม่มาถึง เขาได้ยินเสียงคำรามของมังกร
จากนั้นเขายังไม่ทันได้ทำอะไร บนตัวอสูรต้านน้ำก็ถูกเงาดำที่รวดเร็วจนน่าอัศจรรย์กระแทกใส่จนตัวลอยออกไป
ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา กว่าเขาจะตั้งสติได้ หันไปมองอสูรต้านน้ำที่กระเด็นไปอีกที ก็ได้ยินเพียงเสียงตู้มดังก้อง อสูรต้านน้ำถูกเงาดำนั้นผลักตกน้ำไปแล้ว…
เหวินเหรินเฟิงอ้าปากกว้าง “เมื่อครู่นั่นมัน…”
“ศิษย์พี่ เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง” สวี่หลีเย่ว์วิ่งเข้ามาด้วยใจที่ร้อนรุ่ม
เหวินเหรินเฟิงตกใจมาก “เจ้า… เจ้ากลับมาได้อย่างไร”
สวี่หลีเย่ว์เอ่ยด้วยความไม่พอใจ “ยังจะพูดอีก เหตุใดพี่ถึงส่งข้าไปเล่า”
เขามองไปด้านหลังสวี่หลีเย่ว์แต่กลับไม่เห็นเด็กอีกสองคน นี่มันเรื่องอะไรกัน
ฉือเฟิงก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วเกินไป กระทั่งเขาก็ยังมองไม่ชัดว่าตัวที่กระแทกอสูรต้านน้ำจนกระเด็นไปเป็นอะไรกันแน่
เขาดูดเอาโซ่หาดมังกรที่อยู่ในอกเสื้อของเหวินเหรินเฟิงกลับไปแล้วย่างสามขุมไปทางสายน้ำที่ไหลอยู่ใต้ถ้ำ
แต่ระหว่างที่เขาเดินไปนั้น บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไป
ใต้เท้าเขาไม่ใช่ผิวน้ำแข็งหนาๆ อีกแล้ว เหนือศีรษะเขาก็ไม่ใช่เพดานถ้ำที่แข็งเย็น ท้องฟ้ามืดครึ้มลง ไม่เห็นทั้งดวงจันทร์และดวงดาว มีเพียงแสงสลัวจากตรงขอบฟ้า
ส่วนตัวเขากลับยืนอยู่บนทางเดินที่เย็นยะเยือก
ในใจเขามีเสียงระฆังร้องดัง “ที่นี่คือที่ไหน”
ห่างไปไม่ไกลมีเสียงกระดิ่งที่ฟังดูเลื่อนลอยดังมา ฉือเฟิงมองตามเสียงไปก็เห็นกิเลนไฟตัวหนึ่งกำลังลากราชรถหน้าตาประณีตงดงามลอยเข้ามาเหนือหัวเขาช้าๆ
“เจ้าเป็นใคร” เขามองขึ้นไปยังราชรถ
ราชรถหยุดจอดอยู่ด้านบน มือที่งดงามประหนึ่งหยกข้างหนึ่งค่อยๆ ยื่นออกมาจากตัวรถ แหวกผ้าม่านโปร่งใสออกช้าๆ “คนของเผ่ามารหรือ เจอไม่บ่อยนะ”
ฐานะของฉือเฟิงยามอยู่ข้างนอกคือเป็นลูกศิษย์ใหม่ของสำนักว่านเซี่ยง เขากินยาซ่อนไอมารลงไป ไม่มีใครดูออกว่าเขาเป็นคนของเผ่ามาร!
“เจ้าเป็นใครกัน!”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าเป็นใครหาได้สำคัญไม่ เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ให้ชัดแจ้ง รู้ไปหาได้มีประโยชน์อันใดกับเจ้า”
นี่เป็นคำพูดที่เขาเพิ่งพูดกับเหวินเหรินเฟิงไป!
เขารู้ได้อย่างไร
ในตาของฉือเฟิงมีแววหวาดกลัว
ในตอนนั้นเอง ด้านในราชรถ เฉียวเวยเวยที่กินจนอิ่มหนำลูบท้องกลมๆ พร้อมเรอออกมาเบาๆ
อสูรต้านน้ำบำรุงดีเกินไป บำรุงจนหางเจ้ามังกรน้อยโผล่ออกมาอีกแล้ว
ฉือเฟิงหันไปมองด้านข้างบุรุษผู้นั้นก็เห็นแม่นางน้อยของสำนักเชียนหลันของเมื่อครู่ รวมถึงหางน้อยๆ ที่กำลังกวัดแกว่งด้วยความพอใจด้านหลังนางด้วย
ฉือเฟิงเป็นคนหัวไว พลันเข้าใจทุกอย่าง “นางต่างหากที่เป็นมารมังกร! นางต่างหาก!”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ “เพิ่งจะมารู้เอาตอนนี้ สายไปแล้ว”
“เจ้าคิดจะฆ่าปิดปาก? หึ ไม่ง่ายเพียงนั้นหรอก! เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าอยู่ในขั้นผสานตันน่ะ” ฉือเฟิงใจเย็นลงแล้ว เขายิ้มเย็น คายเอายาซ่อนไอมารในท้องออกมา จากนั้นพลังฝึกตนเขาก็เริ่มเพิ่มสูงขึ้น …. ผสานตันขั้นกลาง ผสานตันขั้นปลาย ผสานตันสมบูรณ์เล็กน้อย ผสานตันสมบูรณ์พร้อม อมตะขั้นต้น อมตะขั้นกลาง… อมตะสมบูรณ์พร้อม!
นี่คือยอดฝึมือแห่งสุดยอดอมตะ!
ห่างจากการเป็นเซียนเพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น!
เขาแผ่พลังกดดันของสุดยอดอมตะออกมา!
ใต้เท้าเจ้าตำหนักกลับไม่กระทั่งเหลือบตามอง ริมฝีปากบางยกขึ้น “แตก”
จิตตั้งต้นของฉือเฟิงพลันแตกโป
Comments