หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรักตอนพิเศษ 60-2 ความจริงของเจ้าตำหนัก ในที่สุดก็โตแล้ว
ตอนพิเศษ 60-2 ความจริงของเจ้าตำหนัก ในที่สุดก็โตแล้ว
ชิงสุ่ยเจินเหรินเอ่ยต่ออย่างไม่รีบร้อน “สิ่งที่ข้าอยากจะพูดก็คือทางเชื่อมนั่น ในเมื่อชิงหลวนขึ้นไปได้ ย่อมบ่งบอกว่าทางเชื่อมไม่ได้ถูกปิดตายอย่างสมบูรณ์ มันยังมีความเป็นไปได้ที่จะเปิดออก”
ผู้อาวุโสใหญ่นิ่งไปครู่ใหญ่ ที่สุดก็ยอมรับข้อสันนิษฐานอันใจกล้าประการนี้ “ต่อให้เป็นเช่นนั้น แต่ก็มีเพียงเทพที่จะเปิดทางเชื่อมได้ ท่านอย่าถามเชียวว่าเหตุใดจอมมารถึงทำได้ ข้าคิดว่าหนนั้นน่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ หากนางเปิดได้อย่างอิสระจริงก็คงไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ นางคงกลับมาเผ่ามารเสียตั้งนานแล้ว”
นี่ก็เป็นสิ่งที่ชิงสุ่ยเจินเหรินคิดจะพูดเช่นกัน เขาคิดว่าชิงหลวนต้องติดอยู่ที่แดนเทพอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นนางไม่มีวันทิ้งเวยเวย ทิ้งเขาเอาไว้
เขาไม่แน่ใจว่าตนเองจะมีโอกาสหรือไม่ ต่อให้มีแล้วเวยเวยจะทำเช่นไรเล่า จะให้เขาขึ้นไปยังแดนเทพตัวคนเดียวแล้วทิ้งเวยเวยไว้ในแดนเซียน หรือในเผ่ามาร หรือในแดนกลางเพียงลำพังอย่างนั้นหรือ
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบงันอันผิดปกติ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ผู้อาวุโสใหญ่จึงถอนหายใจแล้วเอ่ยปากว่า “ความจริง…เมื่อสองหมื่นปีก่อน มีเทพองค์หนึ่งลงมายังแดนล่าง ตอนที่ทางเชื่อมปิดลง เขาไม่ได้กลับขึ้นไป”
ชิงสุ่ยเจินเหรินแววตาวาววับ “เหตุใดเขาจึงไม่กลับขึ้นไป”
ผู้อาวุโสใหญ่มองรัตติกาลอันไร้ที่สิ้นสุดแล้วบอกว่า “เขาตายแล้ว พูดให้ถูกต้องก็คือกายเนื้อถูกทำลาย จิตตั้งต้นก็แตกกระจัดกระจาย แต่มีเศษวิญญาณเสี้ยวหนึ่งลอยหายไป เวลาผ่านไปสองหมื่นปี ไม่รู้ว่าเศษวิญญาณเสี้ยวนั้นจะยังอยู่ในโลกหรือไม่ หากยังอยู่ บางทีอาจลองถามเขาดูได้ว่ามีหนทางเปิดทางเชื่อมหรือไม่”
ชิงสุ่ยเจินเหรินถามอย่างประหลาดใจ “เขาเป็นเทพ แล้วกายเนื้อของเขาถูกทำลายได้อย่างไรกัน”
“ศัตรูคู่แค้นไล่ล่าสังหาร” ผู้อาวุโสใหญ่ตอบ “เรื่องนี้ข้ามิได้เห็นเองกับตา แต่ข้าได้ยินจอมมารรุ่นก่อนพูดถึงอีกที การต่อสู้ครั้งใหญ่หนนั้นทำลายแดนปีศาจไปครึ่งหนึ่ง เหตุที่แดนปีศาจในปัจจุบันมีเขตแดนลับกับมิติมากมายถึงเพียงนั้นก็ล้วนเป็นเพราะการต่อสู้ครั้งนั้นเป็นเหตุ เดิมทีแดนเทพไม่ได้ถูกปิดตาย แต่เพราะเสี้ยววิญญาณของเทพองค์นั้นหนีไป เพื่อป้องกันไม่ให้เทพองค์นั้นรวบรวมกำลังกลับมาแก้แค้น ศัตรูของเขาจึงปิดตายทางเชื่อมเสีย”
ชิงสุ่ยเจินเหรินฉงน “เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินคนเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน”
ผู้อาวุโสใหญ่ตอบว่า “เรื่องนั้นเกิดในแดนปีศาจ ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ล้วนถูกคนของแดนเทพล้างความทรงจำ จอมมารรุ่นก่อนก็ด้วย แต่เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ถูกลบความทรงจำจนเกลี้ยง แต่สิ่งที่ต้องเสียไปเป็นค่าแลกเปลี่ยนก็คืออายุขัยของเขาจะหดสั้นลง”
ชิงสุ่ยเจินเหรินเข้าใจแล้ว มิน่าจอมมารรุ่นก่อนจึงจากไปไวเช่นนั้น
ชิงสุ่ยเจินเหรินนึกอะไรขึ้นมาได้จึงขมวดคิ้ว “ถ้าเช่นนั้นชิงหลวนเดินทางไปแดนเทพไยมิใช่อันตรายมาก”
นิสัยอย่างจอมมาร หากไม่พบเทพที่ทำร้ายจอมมารรุ่นก่อนก็แล้วไป แต่หากพบหน้า นางจะต้องล้างแค้นให้จอมมารรุ่นก่อนอย่างแน่นอน
แต่ลำพังนางคนเดียวจะสู้กับเทพทั้งโขยงได้อย่างไรเล่า
ชิงสุ่ยเจินเหรินร้อนใจมากกว่าเดิมแล้ว เขาอยากจะเปิดทางเชื่อมสู่แดนเทพเสียเดี๋ยวนี้!
หลังจากสนทนาจบลง ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มลงมือตามหาคน
เวลาเดียวกันนี้พวกเขาไม่รู้เลยว่าเป้าหมายที่พวกเขาใจจดใจจ่ออยากค้นหาให้พบกำลังอยู่บนเรือท้องแบนเหนือแม่น้ำลืมเลือน ดอกบัวน้ำแข็งน้อยว่ายน้ำอย่างสนุกสนานอยู่ในลำน้ำ นางอ้าปากฮุบอสรพิษวิญญาณ ‘ตัวอวบอ้วนเนื้อแน่นฉ่ำ’ คำละตัวๆ
ผู้พิพากษาชุยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของใต้เท้าเจ้าตำหนัก เขารู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่บนพรมหนาม “ใต้เท้า…ท่านเลิกปล่อยให้นางกินได้แล้วขอรับ”
“เหตุใดเล่า”
“ยายเมิ่งถูกตำหนิแล้ว มีคนบอกว่านางจับอสรพิษวิญญาณแห่งแม่น้ำลืมเลือนไปใช้ในเรื่องส่วนตัว” ผู้พิพากษาชุยเกรงว่าใต้เท้าเจ้าตำหนักจะไม่เข้าใจความหมายของตน เขาจึงเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “เรือลำนี้เป็นของยายเมิ่ง”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักสนใจคนละเรื่องกับเขาอย่างสิ้นเชิง “มีกฎว่าห้ามจับอสรพิษวิญญาณด้วยหรือ”
“มีสิขอรับ!” ผู้พิพากษาชุยตอบอย่างหนักแน่น “‘กฎหมายฉบับใหม่แห่งแดนยมโลก’ มาตราที่หนึ่งร้อยสิบแปด ระบุไว้ว่าผู้ที่จับอสรพิษวิญญาณเพื่อประโยชน์ส่วนตนจะต้องถูกจองจำในคุก!”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่รู้กฎของแดนยมโลกแม้แต่ข้อเดียว เขาเลิกคิ้วเรียวของตนเองแล้วแค่นเสียงดังเหอะ “อสรพิษวิญญาณกลายเป็นของดีตั้งแต่เมื่อใดกัน”
ผู้พิพากษาชุยถอนหายใจ “ก็เพราะไม่ใช่ของดีอะไรถึงไม่ให้จับอย่างไรเล่าขอรับ! ยอดฝีมือในแดนยมโลกจับอสรพิษวิญญาณไปเพิ่มระดับการฝึกตนก็ไม่ต่างจากผู้ฝึกตนบนแดนมนุษย์เอายาพิษมาดื่มดับกระหาย ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังมีพวกโง่สมองไม่พัฒนาบางคนแอบมาจับอสรพิษวิญญาณไปบำรุงพลัง ผลสุดท้ายไม่บำรุงตนเองจนตาย ก็บำรุงคนอื่นจนตาย! สรุปก็คืออสรพิษวิญญาณห้ามจับ นี่เป็นกฎของแดนยมโลก! หากรู้ว่าท่านจะเอาเรือมาจับอสรพิษวิญญาณ ข้าคงไม่ไปยืมมาให้ท่านหรอก!”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักตอบอย่างไม่อินังขังขอบ “ข้าไม่ได้จับกลับบ้านไปทำร้ายผู้อื่นเสียหน่อย พวกเขายังจะยุ่งอีกหรือ”
ผู้พิทักษ์ชุยตอบอย่างเหนื่อยใจ “กฎว่าไว้เช่นนี้แล้วจะทำเช่นไรได้เล่าขอรับ ท่านเป็นถึงเจ้าตำหนัก ท่านรู้กฎดี จะฝ่าฝืนกฎไม่ได้สิขอรับ”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักถอนหายใจดังเฮ้อ “มิน่าเจ้าตำหนักชิงเฉิงจึงปลงไม่ตก ชีวิตเช่นนี้น่าเบื่อสุดจะทนเหลือเกินจริงๆ”
ผู้พิพากษาชุยทำหน้าขุ่นเคือง
ต่อว่านายเก่าของเขาต่อหน้าเขาเช่นนี้จะดีหรือ
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเอ่ยต่อ “วางใจเถิด ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีข้าแบกเอาไว้ ไม่ปล่อยให้โทษตกไปถึงหัวเจ้าหรอก”
“ข้ากลัวตนเองโดนลงโทษที่ไหนกัน ข้า…” ผู้พิพากษาชุยกวาดสายตาวูบหนึ่ง “เอ๋ ดอกบัวน้ำแข็งน้อยเล่า”
ดอกบัวน้ำแข็งน้อยหายไปแล้ว!
เมื่อครู่มันยังว่ายจ๋อมแจ๋มอยู่ในน้ำอยู่เลย เพียงพริบตาเดียวก็ไม่รู้ว่าหายไหนแล้ว!
“ดำน้ำลงไปด้านล่างหรือ” ผู้พิพากษาชุยเกาะกราบเรือชะโงกหน้าลงไปดู แต่จนปัญญาที่แม่น้ำลืมเลือนดำทะมึนมากเกินไป นอกจากอสรพิษวิญญาณที่ทอแสงอยู่สองสามตัว เขาก็มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น
ใต้เท้าเจ้าตำหนักขมวดคิ้ว ดอกบัวน้ำแข็งน้อยลอยหายไปต่อหน้าต่อตาของเขา เรื่องนี้หากเป็นในอดีตคงเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ทว่านับตั้งแต่โลหิตน้อยลงไปหนึ่งหยด พลังของเขาก็อ่อนแอลงมาก จนแม้แต่ดอกบัวน้ำแข็งน้อยที่เพิ่งจะปลุกร่างจริงของตนเองได้ก็ยังหายไปจากจิตสัมผัสของเขาได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวสักนิด
แน่นอนว่าหากพูดจากอีกมุมหนึ่งก็คือฝั่งดอกบัวน้ำแข็งน้อยเองก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
ด้านหน้ามีเสียงดังลอยมา ใต้เท้าเจ้าตำหนักใช้คาถาเหินเวหาไปทันใด
สิ่งที่เห็นคือดอกบัวน้ำแข็งน้อยดอกหนึ่งฟุบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ที่ตนเองสร้างออกมา ใบห่อเหี่ยว กลีบดอกหลุดร่วงไปหลายกลีบ ฝั่งตรงข้ามของดอกบัวน้ำแข็งน้อยคือยักษ์หน้าตาโหดเหี้ยมดุร้ายสองตน
ยักษ์เป็นผู้ปกปักษ์อารักษ์แดนยมโลก หนนี้พวกมันได้รับบัญชาให้ลาดตระเวนแม่น้ำลืมเลือน จับตัวผู้ฝึกตนที่ลักลอบกินอสรพิษวิญญาณ
ดอกบัวน้ำแข็งน้อยโชคไม่ดี นางดำน้ำไล่ตามอสรพิษวิญญาณตัวโตตัวหนึ่งอยู่ ไล่ตามไป ไล่ตามมาดันมาติดกับดักของยักษ์
พวกยักษ์เตรียมการมาล่วงหน้าอยู่แล้ว พวกมันเรียกสามง่ามออกมาแทงใส่ดอกบัวน้ำแข็งน้อยเต็มแรง ดอกบัวน้อยถูกแทงอย่างจัง ใบจึงหุบเหี่ยว กลีบดอกหลุดร่วง นางเจ็บเจียนตาย!
ยักษ์ในแดนยมโลกมีสติปัญญาไม่มากนัก พวกมันทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว คำสั่งบอกว่าผู้ใดขัดขืน สังหารไม่ละเว้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้นดอกบัวน้อยไม่เชื่อฟังดอกนี้ย่อมต้องสลายเป็นเถ้าธุลี
ยักษ์สองตนเห็นดอกบัวน้ำแข็งน้อยยังมีชีวิตอยู่ จึงเรียกสามง่ามออกมาคิดจะแทงใส่ดอกบัวน้ำแข็งน้อยดอกนั้นอีกหน
ในตอนนี้เอง ใต้เท้าเจ้าตำหนักก็มาถึงทันเวลาพอดี ใต้เท้าเจ้าตำหนักสะบัดแขนเสื้อ พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งสายหนึ่งปัดสามง่ามกระเด็นออกไป ทว่าพลังวิญญาณยังไม่หยุดเท่านี้ มันกักขังยักษ์สองตนไว้ประหนึ่งสายโซ่
ใต้เท้าเจ้าตำหนักอุ้มดอกบัวน้ำแข็งน้อยขึ้นมา
ดอกบัวน้ำแข็งน้อยตัวกระตุกอย่างน่าสงสาร มันยกใบน้อยๆ กับกลีบดอกน้อยๆ ของตนเองให้เขาดู
ใต้เท้าเจ้าตำหนักสีหน้าดำทะมึนในทันใด “ดูท่าพวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่จนเบื่อแล้วสินะ”
กล่าวจบเขาก็พลันเหยียดนิ้วเรียวยาวประหนึ่งหยกสลักนิ้วหนึ่งออกมาชี้นิ้ว
“ใต้เท้า!” ผู้พิพากษาชุยอยากจะห้ามก็ไม่ทันกาลแล้ว เปรี้ยง! ยักษ์สองตนพลันสลายกลายเป็นฝุ่นธุลี
ผู้พิพากษาชุยยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดหน้า “จบสิ้นกัน ต้องเขียนฎีการายงานอีกแล้ว…”
….
ระหว่างที่อสรพิษวิญญาณที่เคยมีอยู่ท่วมท้นในแม่น้ำลืมเลือนถูกจับกินจนแทบจะสูญพันธุ์ โลหิตเทพในร่างดอกบัวน้ำแข็งน้อยก็ถูกดูดซับหมดสิ้น
เช้าตรู่วันหนึ่งชิงสุ่ยเจินเหรินกำลังใช้กระเรียนเซียนส่งข่าวติดต่อกับยอดเซียน หลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์กำลังประลองยุทธ์กันอยู่ในลานฝึกซ้อม พวกเจ้าสำนักสวี่กำลังนั่งเรียงรายประชุมยามเช้าอยู่ในโถงซงชุ่ย ส่วนจีเสี่ยวซิวกำลังเด็ดผลมังกรที่สุกแล้วให้เฉียวเวยเวยอยู่ที่ภูเขาด้านหลัง
ทันใดนั้นเองแสงสีทองเจิดจ้าจับตาสายหนึ่งพลันฉายแสงส่องสว่างอาบท้องนภา
ทุกคนพากันหยุดสิ่งที่ทำอยู่แล้วหันไปมองแสงสีทอง
ผู้พิทักษ์รองถามขึ้นมาว่า “เอ๋ นั่นมันบ้านของหลิงจือไม่ใช่หรือ”
ผู้พิทักษ์ใหญ่ตอบว่า “แต่หลิงจืออยู่ที่ลานฝึกซ้อม”
เจ้าสำนักสวี่ “หรือว่าจะเป็นเวยเวย”
ทุกคนต่างตกตะลึง เวยเวยโตแล้วอย่างนั้นหรือ!
Comments