หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก 13 หมื่นตำลึงทอง
ตอนที่ 13 หมื่นตำลึงทอง
ขนมที่เฉียวเวยทำทั้งงดงามทั้งแปลกใหม่ ไม่นานก็ดึงดูดให้คนผ่านไปมาหยุดดู เฉียวเวยไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ตัดขนมเหนียวถั่วแดงเป็นแผ่นให้ทุกคนได้ลองชิม
เริ่มแรกทุกคนรู้สึกว่ากระต่ายน้อยสีขาวโพลนเหล่านี้น่ารักน่าชังเท่านั้น แต่เมื่อกินเข้าไปจึงพบว่าความจริงแล้วพวกมันอร่อยมาก ราคาก็ไม่แพง สามอีแปะต่อหนึ่งชิ้น ห้าอีแปะได้สองชิ้น หากซื้อสิบชิ้นยังแถมให้หนึ่งชิ้นด้วย
ของดีคุ้มราคาเช่นนี้ ขายไม่ออกย่อมไม่มีเหตุผล
ท่านป้าคนหนึ่งล้วงเงินห้าอีแปะออกมา “เอามาสองชิ้น”
“ข้าก็เอาสองชิ้น!”
“สี่ชิ้น!”
“สิบชิ้น!”
ป้าหลัวเก็บเงินจนตาลาย เฉียวเวยใช้ใบไผ่ห่อขนมเหนียวถั่วแดงทีละห่อ ใครต้องการเท่าไรก็ใส่ให้เท่านั้น นางจดจำได้ไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามขนมหวานสองตะกร้าก็ถูกแย่งชิงไปได้พอประมาณ
“วันพรุ่งนี้พวกเจ้ายังมาอีกหรือไม่” หญิงสาวที่ซื้อขนมเหนียวคนหนึ่งกินไปก็ถามไปด้วย
เฉียวเวยพยักหน้า “มาเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะมาอีก” หญิงสาวชอบขนมหวานที่เฉียวเวยทำมาก
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ขอบคุณเจ้าค่ะ”
หญิงสาวเดินจากไป ป้าหลัวใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก กลางหน้าหนาวเพียงคอยเก็บเงินยังเหงื่อออกทั้งตัว กิจการนี้ไปได้ดีกว่าที่นางคาดไว้ “เสี่ยวเวย ยังเหลืออีกเท่าไร”
เฉียวเวยเปิดตะกร้าดู “เหลือห้าชิ้นสุดท้ายแล้ว”
นางกลัวว่าจะขายไม่ออกจึงทำมาเพียงห้าสิบชิ้น แต่เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว รวดเร็วผิดจากที่นางคาดไว้อยู่บ้าง ดูท่าหมากตานี้จะเดินถูกแล้ว
นางหันไปมองเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองที่อยู่ด้านหลัง ทั้งสองคนกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งน้อยถือตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่งเล่นอยู่กับเพียงพอนหิมะตัวจ้อย เป็นเด็กดียิ่งนัก ทันใดนั้นเฉียวเวยก็หัวใจอ่อนยวบ ถือเงินหกอีแปะเดินออกจากร้านไป
เมื่อกลับมา ในมือนางก็มีถังหูลู่เพิ่มมาสามไม้ บุตรชายไม้หนึ่ง บุตรสาวไม้หนึ่ง เพียงพอนหิมะไม้หนึ่ง
เด็กสองคน สัตว์หนึ่งตัวได้ถังหูลู่ไปก็ดีใจยิ่งนัก เฉียววั่งซูเขย่งปลายเท้ากอดคอเฉียวเวยแล้วดึงเฉียวเวยลงมาหอมหนึ่งที “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านแม่”
เฉียวเวยยกมุมปากจนยกโค้ง “หลังจากนี้ชอบอะไร อยากกินอะไร บอกแม่ได้ทุกอย่าง”
เฉียววั่งซูพยักหน้า ลิ้นน้อยเลียถังหูลู่ไม้โตสีแดงสดอันฉ่ำวาว “หวานจริง!”
เฉียวจิ่งอวิ๋นเลียอย่างเคอะเขิน เหนียมอายกว่าน้องสาวเล็กน้อย
เพียงพอนหิมะตัวน้อยกอดไม้เอาไว้แล้วกัดอย่างตะกรุมตะกรามเสียงดัง กร้วมๆ! กร้วมๆ!
รถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดที่เหลาสุราฝั่งตรงข้าม สตรีสวมอาภรณ์สีสันสดใสคนหนึ่งเดินลงมาจากรถม้า นางสวมเสื้อคลุมไร้กระดุมทำจากผ้าแพรกู่เซียง[1] ซึ่งเป็นรองเพียงผ้าแพรต่วนของไห่โจว เส้นผมหวีจนมันเงา ปักปิ่นเงินประดับหยกสองเล่ม มือเรียวยาวของนางถือผ้าเช็ดหน้าสีเขียวอ่อนผืนหนึ่ง ท่วงท่าสง่างามหยิ่งยโส ข้างกายนางมีแม่นางหน้าตาเกลี้ยงเกลาคนหนึ่งติดตามมาด้วย
มองปราดเดียวก็ทราบว่าทั้งสองคนเป็นหญิงรับใช้กับสาวใช้จากครอบครัวร่ำรวย ในเมืองน้อยครั้งนักจะเห็นคนมีหน้ามีตาเช่นนี้ ทุกคนจึงเลื่อนสายตาไปจับจ้องทั้งสองคนอย่างสงสัยใคร่รู้และยำเกรง
เมื่อวานเฉียวเวยได้พบข้ารับใช้ที่สูงศักดิ์จนพรรณนาไม่ถูกมาแล้ว เมื่อเห็นสองคนตรงหน้าจึงไม่รู้สึกแตกตื่นเท่าใดนัก ทว่าไม่นานทั้งสองคนก็เดินมาทางเฉียวเวย
สาวใช้ชี้ขนมหวานบนแผง “ฝังมามา ท่านดูกระต่ายน้อยสิ น่ารักจริงเชียว!”
หญิงรับใช้ที่ถูกเรียกว่าฝังมามาหยุดก้าวเท้าอย่างไม่ใส่ใจแล้วเหล่ตามอง “ของข้างถนนสกปรกยิ่งนัก เจ้าเข้าจวนมานานเท่าใดแล้ว ทำไมยังทำตัวเหมือนไม่เคยเห็นโลกอีก”
สาวใช้แลบลิ้นใส่
หนังตาเฉียวเวยไม่กระตุกแม้แต่น้อยคล้ายไม่ได้ยินคำพูดของพวกนาง
ฝังมามาส่งเสียงอืมอย่างยอมตามใจแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ เจ้าชอบก็ซื้อ อย่าให้คุณหนูเห็นก็พอ”
สาวใช้เปิดถุงเงินอย่างดีอกดีใจ “ชิ้นละเท่าไร”
เฉียวเวยตอบว่า “หนึ่งชิ้นสามอีแปะ สองชิ้นห้าอีแปะ เหลืออยู่ห้าชิ้นสุดท้ายแล้ว หากแม่นางไม่นึกดูแคลน ข้าขายให้เจ้าสิบอีแปะก็แล้วกัน”
‘ไม่นึกดูแคลน’ สี่คำนี้พูดโดยใช้เล่ห์เหลี่ยม นางเป็นสาวใช้ แต่ไหนแต่ไรผู้อื่นล้วนดูแคลนนาง มีโอกาสให้นางดูแคลนหรือไม่ดูแคลนผู้อื่นเสียที่ไหน แม้จะเป็นเพียงสินค้าชิ้นหนึ่งก็เพียงพอทำให้นางเบิกบานใจแล้ว นางล้วงเงินสิบอีแปะออกมาอย่างไม่ลังเลสักนิด “ข้าเหมาหมด!”
ป้าหลัวรับเงินมา เฉียวเวยหยิบใบไผ่ขึ้นมาพับเป็นกระทงน้อยอย่างชำนิชำนาญจากนั้นใส่กระต่ายจิ๋วสีขาวห้าชิ้นเข้าไปอย่างเบามือ
สาวใช้เบิกตาโต “มือเจ้าคล่องแคล่วนักเชียว!”
เฉียวเวยยกมุมปากแต่ไม่พูดอันใด แล้วยื่นขนมหวานให้นาง
ฝังมามาอดไม่ไหวกลอกตาใส่สาวใช้เสียทีหนึ่ง “คราวนี้ไปได้แล้วกระมัง ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะ หากเจ้ากินเข้าไปแล้วท้องเสีย อย่าได้มาร้องไห้กับข้า”
สาวใช้ยิ้มประจบ “ไม่มีทางๆ ฝังมามาวางใจเถิด”
ทั้งสองคนคล้องแขนเดินจากไป ขณะที่กำลังจะเดินเลยไปอยู่แล้วสาวใช้ก็เหลือบไปเห็นเพียงพอนหิมะตัวจ้อยที่กัดถังหูลู่สุดกำลังอยู่ด้านหลังร้าน ดวงตาเป็นประกายทันที “โอ๊ะ! ฝังมามา ท่านดู! สุนัขน้อยตัวนั้นน่ารักนัก”
เพียงพอนบางตัวที่ถูกมองเป็นสุนัขครั้งที่นับไม่ถ้วนกลอกตา
ฝังมามาหันไปมองเสี่ยวไป๋ ใบหน้าปรากฏสีหน้าประหลาดใจแวบหนึ่ง “เพียงพอนหิมะหรือ”
เฉียวเวยแววตาไหววูบ
เพียงพอนหิมะตัวจ้อยไม่แม้แต่จะมองฝังมามา มันยังคงกัดแทะถังหูลู่ในกรงเล็บต่อไป
คุณหนูของตนอยากได้เพียงพอนหิมะสักตัวมาตลอด แต่ไม่เคยเจอตัวที่เหมาะสม เพียงพอนตัวนี้ไม่เพียงสวย แต่ยังฟังภาษาคนรู้เรื่อง หากมอบให้คุณหนูย่อมดียิ่งนัก ฝังมามามองไปทางเฉียวเวยที่กำลังเก็บร้านอยู่ “เพียงพอนหิมะตัวนั้นขายอย่างไร”
หนังตาเฉียวเวยไม่กระตุกสักนิด “ไม่ขาย”
ฝังมามาหัวเราะหยัน คนเช่นนี้นางพบเจอมามาก เริ่มแรกก็บอกไม่ขายๆ แต่ก็ทำเพื่อเรียกราคาเท่านั้น “ยี่สิบตำลึงเงิน”
เฉียวเวยร้องเหอะออกมาคำหนึ่ง สวีต้าจ้วงเคยบอกว่าเสี่ยวไป๋มีค่าเสียยิ่งกว่าเสือ เสือยังขายได้ตั้งสามสิบตำลึง หญิงรับใช้ผู้นี้กลับเสนอมาแค่ยี่สิบตำลึงหรือ
ฝังมามารับรู้ความดูแคลนของเฉียวเวย คิ้วจึงขมวดเข้าหากัน “สามสิบตำลึงเล่า”
เฉียวเวยไม่ตอบสักคำ
“ห้าสิบ”
เฉียวเวยยังไม่สนใจนาง
ฝังมามาตะเบ็งเสียง “เจ้าต้องการหนึ่งร้อยตำลึงหรืออย่างไร”
เฉียวเวยพับผ้าปูโต๊ะเก็บเข้าไปในตะกร้า “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ขาย”
ฝังมามากัดฟัน “เจ้าบอกราคามา!”
มือที่ถือตะกร้าของเฉียวเวยชะงัก “จะให้ข้าบอกราคาจริงหรือ”
“เจ้าว่ามา!”
เฉียวเวยชูนิ้วชี้ขึ้นมา
ฝังมามขมวดคิ้ว “หนึ่งร้อยตำลึงหรือ”
เฉียวเวยส่ายนิ้วชี้ไปมา
“หนึ่งพันตำลึงหรือไร”
นางส่ายนิ้วชี้อีกครั้ง
“หนึ่งหมื่นหรือ” ฝังมามาตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว
“อืม ทองนะ” เฉียวเวยยิ้มบางๆ “เจ้าซื้อไหวหรือไม่เล่า”
ฝังมามาสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด “เจ้าจงใจล้อข้าใช่หรือไม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างสบายๆ “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร อยากซื้อเพียงพอนของข้าก็เอาหนึ่งหมื่นตำลึงทองมา มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องมาคุยกัน”
เพียงพอนพรรค์ไหนมีค่ามากมายปานนั้น นี่แสดงชัดว่าไม่ต้องการขาย ฝังมามาถลึงตาใส่เฉียวเวยอย่างอับอายและขุ่นเคือง คุณหนูของนางเป็นผู้สูงศักดิ์ระดับใด ในฐานะแม่นมของคุณหนู นางก็มีคนล้อมหน้าล้อมหลังด้วย เคยต้องเก็บกลั้นความไม่พอใจเช่นนี้เมื่อไร นางยกฝ่ามือขึ้นตบใส่เฉียวเวยทันที!
“โอ้ย!” ป้าหลัวเห็นท่าไม่ดีจึงโถมเข้ามากอดเฉียวเวยไว้ ฝ่ามือนั้นจึงฟาดลงบนหน้าของนางอย่างจัง
[1] ผ้าแพรกู่เซียง ผ้าแพรต่วนจากแถบหังโจวและซูโจวซึ่งทอเป็นลวดลาย บ้างเป็นลายสิ่งปลูกสร้างเช่นห้องหอศาลา สิ่งของในธรรมชาติเช่นสัตว์และดอกไม้ หรือเป็นเรื่องราวของบุคคล สีสันและรูปแบบเรียบง่ายต้องใช้ฝีมือในการทอ
Comments