หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก 165-1 ลบล้างมลทิน
ตอนที่ 165-1 ลบล้างมลทิน
ถึงแม้เฉียวเวยจะเคยวาดฝันถึงภาพตอนเฉียวเจิงฟื้นอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อเวลานั้นมาถึงจริงๆ เฉียวเวยก็ยังรู้สึกยากที่จะเชื่อ นางยืนอึ้งๆ อยู่ตรงนั้น แม้แต่คำพูดว่าควรพูดอะไรก็ยังลืมไปแล้ว
รอยยิ้มของเฉียวเจิงทั้งใจดีและอบอุ่น คล้ายเป็นแสงตะวันในฤดูใบไม้ผลิที่ส่องเข้าไปยังมุมที่ดำมืดที่สุดของใจคน เฉียวเวยรู้สึกชอบอยู่พอตัว
“เสี่ยวเวย” เฉียวเจิงคลี่ยิ้มเล็กน้อย
ขนตาของเฉียวเวยสั่นระริกเป็นจังหวะที่ไม่มีกฎเกณฑ์ นางพยายามตั้งสติ เดินเข้าไปหาเฉียวเวย ริมฝีปากเผยอออกแล้วหุบลง หุบลงแล้วเผยอออก “ท่าน…พ่…”
เรียกไม่ออก
เฉียวเจิงตบข้างเตียงเบาๆ
เฉียวเวยนั่งลง
ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจนางตอนนี้คล้ายเป็นเด็กนักเรียนที่กระทำความผิดแล้วรอที่จะถูกลงโทษอยู่กระนั้น
เฉียวเจิงยกมือขึ้นช้าๆ วางลงบนศีรษะบุตรสาวเบาๆ ลูบเส้นผมอ่อนนุ่มของนาง น้ำเสียงก็อบอุ่นเช่นเดียวกับฝ่ามือของเขา “ข้าได้ยินป้าหลัวเรียกเจ้าว่าเสี่ยวเวย”
เฉียวเวยตอบอื้อคำหนึ่ง ศีรษะที่ถูกอีกฝ่ายลูบ ถึงแม้จะรู้สึกไม่คุ้นชิน แต่กลับไม่มีความต่อต้าน
เฉียวเจิงบอกเสียงเบาว่า “ต่อไปข้าก็จะเรียกเจ้าเช่นนี้”
“อื้อ” เฉียวเวยพยักหน้า เย็นยะเยือกไปทั้งตัว ประหนึ่งว่าชั่วเวลาเพียงพริบตา นางก็กลายเป็นคนว่าง่ายไปเสียอย่างนั้น
เฉียวเจิงมองนางอย่างอบอุ่น “ช่วงที่ข้าสลบไปนี้ ทำให้เจ้าต้องเหนื่อยแล้ว”
“ท่านได้รับบาดเจ็บก็เพราะข้า…” เฉียวเวยพูดๆ อยู่ก็เห็นอีกฝ่ายกำลังยิ้ม เมื่อก่อนไม่เคยสังเกตใด้ดีๆ จึงไม่เคยรู้สึก แต่วันนี้เมื่อได้มองดูโดยละเอียดแล้ว ถึงได้รู้ว่าเขาไม่ใช่แค่หน้าตาดีธรรมดา เขาไม่ได้ดูมีเสน่ห์เหลือล้ำจนพาให้ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างหมิงซิว แต่เป็นใบหน้าที่สะอาดหมดจดราวกับแสงจันทร์ เฉียวเวยมองอยู่พักหนึ่งก็เห็นว่าเขาเห็นแล้วว่านางกำลังมองเขาอยู่ ในใจเกิดความรู้สึกประดักประเดิด จึงหลุบตาลง หาเรื่องพูดขึ้นว่า “เรื่องในวันนั้น ข้าขอโทษด้วยจริงๆ ข้ากับเรือนรองทะเลาะกันรุนแรงมาก ไม่ควรพาท่านไปร่วมอยู่ด้วยเลย”
เฉียวเจิงฟังนางพูดไปเงียบๆ สายตาคอยเหลือบมองหน้านางเป็นระยะๆ คล้ายกำลังบอกให้นางพูดต่อไป
เฉียวเวยบีบนิ้วขณะเอ่ยว่า “ตระกูลเฉียวเกิดเรื่องขึ้นมากมาย อีกเดี๋ยวข้าจะค่อยๆ เล่าให้ท่านฟัง ท่านยื่นมือมาให้ข้าก่อน ข้าขอจับชีพจรท่านหน่อย”
เฉียวเจิงยื่นมือออกไปอย่างให้ความร่วมมือเต็มที่
เฉียวเวยใช้สามนิ้ววางลงบนจุดชีพจร ชีพจรของเขาสงบนิ่งมีพลัง แค่เพียงเต้นเร็วไปสักนิด ดูท่าใต้เท้าบิดาที่ตื่นเต็มตาผู้นี้ คงจะไม่ได้สงบนิ่งดังที่แสดงออกมา
เฉียวเวยดึงมือกลับ “ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ข้าหายดีแล้ว?” เฉียวเจิงอมยิ้มขณะถาม
เฉียวเวยพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า “การหายดีของคนเราแบ่งได้หลายด้าน มีด้านกายภาพ ด้านจิตใจ ด้านร่างกาย ด้านกำลังวังชา สุขภาพของท่านไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไรแล้ว ส่วนด้านอื่นๆ ของท่าน…”
เฉียวเจิงยกมือขึ้น จัดกระเบียบปรอยผมที่ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง “ข้าจำได้หมดแล้ว จะไม่ทำเจ้าหายไปไหนอีกแล้ว”
เฉียวเวยก้มหน้า หลบสายตาหนักแน่นของอีกฝ่าย “ครั้งก่อนที่ท่านบอกว่าจะไปหา… ไปหาท่านแม่ ท่านยังจะไปหรือไม่”
เฉียวเจิงเอ่ยช้าๆ ว่า “ตอนนี้ยังไม่ไปไปก่อน ข้าหายไปนานเพียงนี้ คนที่ข้าติดค้างมีแค่นางคนเดียวเมื่อไร ยังมีเจ้าอีกคน ข้าไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะตามหานางที่มีชีวิตเจอได้หรือไม่ แต่ข้ารู้ว่าข้าสามารถมีชีวิตอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้ ส่วนที่ติดค้างเจ้าไว้นั้น จะชดเชยให้เจ้าทั้งหมด”
เฉียวเวยรู้สึกแสบจมูกขึ้นมาทันที
เฉียวเจิงบอกว่า “หากนางรู้เรื่องนี้ จะต้องเห็นด้วยกับการที่ข้าทำเช่นนี้แน่ ไม่มีใครเป็นห่วงเจ้าเท่าท่านแม่ของเจ้าแล้ว นางทนลำบากได้ ทนอยู่กับความเหงาได้ แต่นางทนไม่ได้ที่จะให้เจ้ามีชีวิตที่ไม่ดี หากให้นางรู้ว่าหลายปีนี้เจ้า…”
คำพูดต่อจากนั้น เฉียวเจิงไม่ได้พูดอีก เมื่อคิดถึงสิ่งที่เฉียวเวยประสบมาตลอดหลายปีนี้ ก็คล้ายมีก้อนหินคมๆ ขึ้นมาจุกอยู่ตรงลำคอ ทำให้รู้สึกเจ็บปวดเหลือประมาณ
เขาเอามือเฉียวเวยมาวางลงบนผ่ามือ ทั้งที่เมื่อวานนางยังติดตามอยู่ด้านหลังเขา ปากคอยเรียกว่าท่านพ่อๆ ยังเดินไม่แข็ง เป็นต้องล้มทุกสามก้าว ตกกลางคืนก็ไม่ยอมนอนเอง มักแกล้งทำเป็นว่าฝันร้าย หลอกให้พวกเขาขึ้นไปบนเตียง…
ชั่วพริบตา นางก็ให้กำเนิดบุตรเสียแล้ว
เขาพลาดอะไรไปบ้างกันนี่…
เฉียวเจิงตาแดงระเรื่อ น้ำตาเอ่อล้นเต็มขอบตา เขาพยายามกลั้นเอาไว้อย่างเต็มที่
เมื่อเห็นเขาเสียใจ ไม่รู้เหตุใด ในใจเฉียวเวยก็พลอยรู้สึกเสียใจไปด้วย
เฉียวเวยคิดถึงอะไรขึ้นมาได้ จึงขยี้ตาให้น้ำตาในดวงตาหายไป จากนั้นจึงมองไปทางบิดา “ใช่สิ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจำเป็นต้องบอกท่าน”
เฉียวเจิงบอกว่า “ถ้าเป็นเรื่องตระกูลเฉียวไว้ค่อยคุยทีหลังก็ได้”
เฉียวเวยนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เรื่องตระกูลเฉียว เป็นเรื่องของท่านย่า”
“ท่านย่าเจ้าทำไมหรือ” สายตาของเฉียวเจิงมีแววเป็นห่วงปรากฏขึ้นมาทันที
เฉียวเวยดึงมือตนกลับจากมืออีกฝ่าย หยิบกล่องเล็กๆ จากหัวเตียงเขามาวางไว้ตรงหน้า “ท่านย่าเสียแล้ว นี่เป็นของที่นางทิ้งเอาไว้ ข้าไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรอยู่ ข้าคิดว่า ให้ท่านเปิดดูอาจจะเหมาะสมกว่า”
เฉียวเจิงรับกล่องนั้นไปด้วยสองมือที่สั่นเทา “นางจากไปอย่างไร”
เฉียวเวยนึกถึงห้องทำสมาธิที่เรียบง่ายและหนาวเย็นนั้น คิดถึงว่าตลอดหกปีที่ผ่านมา นางโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ละทางโลกหันไปพึ่งทางธรรม ในใจก็เกิดความปวดแปลบขึ้นมา “จากไปตอนหลับฝัน นางไปอย่างสงบมาก ไม่ทรมานสักนิด”
เฉียวเจิงบิดเปิดหัวกลอนแล้วเปิดกล่องออก ข้างในเต็มไปด้วยจดหมายที่เขาเขียนถึงมารดายามที่เขาไปอยู่เสียข้างนอก ตั้งแต่อายุสิบขวบจนถึงสามสิบปี จดหมายทุกฉบับล้วนเก็บไว้อย่างดีไม่มีเสียหาย มีเพียงตัวกระดาษที่เหลืองจนน่ากลัว ดูออกว่าคงถูกหยิบออกมาบ่อยๆ มีตัวอักษรหลายตัวที่ถูกหยดน้ำทำให้พร่าเลือน นั่นเป็นน้ำตาของมารดาเขา…
เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่า หลังจากมารดาได้รับข่าวการเสียชีวิตของเขาแล้ว มารดาของเขาที่ผมขาวโพลนมาบอกลาคนผมดำอย่างเขาอย่างไร และมาร้องไห้กับของที่เขาทิ้งเอาไว้อย่างแทบขาดใจยามค่ำคื่นที่นับไม่ถ้วนอย่างไร
“ท่านแม่… ลูกอกตัญญู… ลูกอกตัญญูเอง….”
เฉียวเจิงกดข่มความเสียใจและโกรธเคืองในใจเอาไว้ไม่อยู่อีก เขากอดจดหมาย ร้องไห้โฮราวกับเด็กน้อยที่ถูกทอดทิ้ง…
…
ข่าวที่เฉียวเจิงฟื้นแล้วแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ทุกคนล้วนดีใจกับเฉียวเวยด้วย ไม่ว่าจะเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น การที่บิดาแท้ๆ ยังมีชีวิตอยู่บนโลก นี่ต่างหากคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เมื่อคืนเฉียวเจิงกอดของของฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้อยู่นาน เฉียวเวยทนอยู่รบกวนเขาไม่ได้ จึงปิดประตูห้องเขาลงเบาๆ ตอนฟ้าสาง นางเดินผ่านประตูห้องของเขา คิดอยากเรียกคนในห้อง แต่สุดท้ายก็อดใจไว้ นางไม่รู้ว่าเฉียวเจิงจะคิดอย่างไร แต่หากเปลี่ยนเป็นนาง นางคงไม่อายกให้บุตรของตน มาเห็นตอนที่ตนร้องไห้น้ำตากลบหน้า
เฉียวเวยไปทำอาหารเช้าที่ห้องครัว เทศกาลไหว้พระจันทร์ สถานศึกษาหยุดเรียนเป็นเวลาสามวัน ซาลาเปาน้อยนอนหายใจเสียงดังกันอยู่บนเตียง เฉียวเวยไม่ต้องรีบ จึงค่อยๆ ทำงานของตนไป
ระหว่างนั้น วั่งซูตื่นขึ้นมาทำธุระเบา แล้วปีนกลับขึ้นไปนอนบนเตียงต่อ
เฉียวเวยทำหมั่นโถว น้ำแกงไก่เส้นดึงมือกับต้มข้าวต้ม ตอนกลับไปที่ห้อง ซาลาเปาทั้งสองตื่นกันแล้ว กำลังนั่งกอดถุงอะไรกันอยู่ตรงที่วางเท้าข้างเตียง พลางเคี้ยวกันหนุบหนับ
วั่งซูเอ่ยพร้อมยิ้มแปล้ “เกาลัดคั่ว!”
เมื่อคืนจีหมิงซิวเอามาเจ็ดแปดจิน แบ่งให้ทุกคนส่วนหนึ่ง ยังเหลืออยู่อีกไม่น้อย
“กินเจ้านี่แต่เช้า ไม่กลัว…”
เฉียวเวยยังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงปูดดังขึ้น เจ้าซาลาเปาน้อยผายลมเสียแล้ว
เฉียวเวยหรี่ตา “ใคร?”
จิ่งอวิ๋นหน้าแดง
เฉียวเวยเอาอาหารเข้ามาวางที่โต๊ะ นางลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะไปเรียกเฉียวเจิงให้กินข้าว
พอเดินไปถึงหน้าประตู กำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตูห้องเขา ประตูก็เปิดออกเสียแล้ว
เฉียวเจิงยืนอยู่ในห้อง ดวงตาบวมช้ำ แต่ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก ดูแล้วคงทำใจผ่านเรื่องนั้นได้แล้ว
“เสี่ยวเวย” เฉียวเจิงยิ้มน้อยๆ
เฉียวเวยยิ้มบอกว่า “อาหารเช้าเสร็จแล้ว”
เฉียวเจิงมองนาง “ยังไม่ยอมเรียกข้าว่าท่านพ่อหรือ”
“ท่านพ่อ”
เสียนางเบามาก
แต่เฉียวเจิงได้ยินแล้ว ความขุ่นมัวเสี้ยวสุดท้ายในใจก็มหลายหายไป ประกายจากดวงตาเขาแทบจะส่องทะลุกำแพงไปได้
“อื้อ!” เขาตอบรับเสียงดัง
มุมปากของเฉียวเวยยกขึ้นอย่างไร้ร่องรอย ก็แค่เรียกท่านพ่อเท่านั้น? ต้องยินดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“ท่านตาๆ! ท่านตื่นแล้ว!”
ซาลาเปาตัวน้อยทั้งสองแย่งกันวิ่งเข้ามาหา ช่วงที่ผ่านมาถึงแม้เฉียวเจิงจะสลบอยู่ตลอด แต่ทุกวันเฉียวเวยจะให้พวกเขามาที่เตียงเฉียวเจิงเพื่อพูดคุยเป็นเพื่อนเขา พวกเขาเองก็มีความรู้สึกที่ไม่อาจแทนที่ได้กับเฉียวเจิงเช่นกัน
เฉียวเจิงย่อตัวลงไป ดึงหลานตัวน้อยทั้งสองเข้ามากอด “ตาตื่นแล้ว ต่อไปจะไม่หลับนานอย่างนั้นอีกแล้ว”
“จริงหรือ” ทั้งสองประสานเสียงถามขึ้นพร้อมกัน ไม่เสียแรงที่เป็นลูกแฝด ช่างใจตรงกันเหลือเกิน
เฉียวเจิงยิ้มเอ็นดู “จริงสิ”
วั่งซูเปิดถุงผ้าที่เอวของตนออกด้วยความระมัดระวัง แล้วหยิบเกาลัดคั่วน้ำตาลลูกเล็กออกมาลูกหนึ่ง “ท่านตาทำได้ดีมาก ให้รางวัลท่านตา”
เฉียวเจิงเอาลูกเกาลัดเข้าปากด้วยความดีใจ แค่รู้สึกแปลกใจว่า ในเมื่อคั่วน้ำตาล แต่เหตุใดถึงไม่มีรสหวานเลย…
วั่งซูเดินไปที่โต๊ะกินข้าว ระหว่างที่เดินไปมือก็หยิบเกาหลัดคั่วเม็ดหนึ่งออกมาจากห่อกระดาษ นางเลียจนน้ำตาลหายหมดแล้ว ถึงได้เอาเม็ดเกาลัดใส่ลงในถุงผ้าที่เอวของตน
ช่วงที่เฉียวเจิงสลบไป เป็นอย่างที่เฉียวเวยเคยบอกไว้ เขาแค่ไม่ฟื้น พูดไม่ได้ แต่หูได้ยินทุกอย่าง เขารู้ทุกเรื่อง ทั้งเรื่องบ้านตระกูลเฉียว บ้านตระกูลหลัว เรื่องโรงงาน หรือไม่กระทั่งคืนวันนั้นที่มีนักฆ่า รวมถึงเรื่องซู่ซินจง ผลสองภพ เขาพอรู้อยู่บ้างทั้งสิ้น เฉียวเวยไม่มีอะไรต้องปิดบัง และไม่คิดที่จะต้องปิดบังเขา
เฉียวเจิงทั้งปวดใจและเสียใจ การออกไปท่องเที่ยวในครั้งนั้นนับเป็นความผิดพลาด หายไปสิบกว่าปี อุตส่าห์กลับมาได้ แต่ก็ยังสร้างความวุ่นวายให้บุตรสาวตั้งมากมายเช่นนี้
เฉียวเวยบอกว่า “เรื่องของข้า ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ทางด้านบ้านตระกูลเฉียว ท่านลองดูว่าจะจัดการอย่างไร”
เขามีบุตรสาวกับเขาอยู่แค่คนเดียว บ้านตระกูลเฉียวอย่างไรก็ต้องเก็บเอาไว้ให้นาง แต่ส่งต่อให้สายหลักไม่ใช่สายรอง ส่งต่อให้บุรุษไม่ใช่สตรี กฎระเบียบไม่อาจเพิกเฉย อย่างไรเขาก็ต้องมองไปยาวๆ “ข้าจะกลับไปบ้านตระกูลเฉียวสักหน่อย คืนฐานะเดิมให้เจ้าเสียก่อน”
เฉียวเวยถึงแม้จะช่วงชิงตำแหน่งประมุขของบ้านคืนมาให้เฉียวเจิง แต่นางถูกตัดชื่อออกจากบัญชีวงตระกูลแล้ว หากเฉียวเจิงไม่ออกหน้า เรื่องนี้คงไม่มีทางสำเร็จด้วยดี “เรื่องในปีนั้น…”
เฉียวเจิงพยักหน้า “ข้ารู้อยู่แก่ใจ จะไม่ให้ใครใส่ร้ายเจ้าได้อีก”
เฉียวเวยปากบอกว่าไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านั้น แต่ในเมื่อสามารถลบล้างมลทินได้ ใครจะไม่อยากบ้าง
เครื่องจองจำนี้ติดตัวนางมาหกปีแล้ว เด็กทั้งสองถูกด่าว่าว่าเป็นลูกนอกสมรส ในที่สุดความจริงก็จะได้ปรากฏเสียที
มือที่จับตะเกียบของเฉียวเวยสั่นเล็กน้อย
เฉียวเจิงจับมือนางไว้ “ทำให้เจ้าไม่ได้รับความยุติธรรมแล้ว ต่อไปพ่อจะไม่ให้ใครรังแกเจ้าอีก”
เฉียวเวยพยักหน้า
เด็กทั้งสามลงจากเนินไปหาเพื่อนเล่นในหมู่บ้าน เฉียวเวยเก็บของที่จะเอาไปบ้านตระกูลเฉียว ล้วนเป็นพวกเห็ดที่เด็ดมาจากบนเขา รวมถึงไข่เยี่ยวม้านกกะทาที่ตนทำด้วย นางเตรียมเอาไปให้อาสี่กับอาสะใภ้สี่ลองชิม ระหว่างที่เก็บไปได้ครึ่งทางนั้น ผู้ดูแลฉิวก็มา
เฉียวเวยเดินออกจากเรือน ยิ้มพลางเอ่ยทักทายผู้ดูแลฉิวที่ยืนอยู่ตรงทางลม “ลมอะไรหอมผู้ดูแลฉิวมาได้นี่ ไม่ใช่ว่าไม้ระแนงของข้ามีปัญหาอะไรจึงต้องมาซ่อมแซมอีกกระมัง”
ผู้ดูแลฉิวเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยความเกรงใจว่า “มิได้ ครานี้เป็นเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย”
“เรื่องส่วนตัว?” เฉียวเวยเลิกคิ้ว
ผู้ดูแลฉิวกวาดมองไปรอบๆ โรงงานกำลังอยู่ในช่วงทำงานพอดี ทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวายกันอยู่ข้างใน บางครั้งมีคนเอาเปลือกที่ล้างสะอาดแล้วยกออกมา สายตาผู้ดูแลฉิวก็ดูระแวดระวังมากขึ้น
เฉียวเวยมองตามสายตานางไปแล้วพยักหน้าว่าเข้าใจ “เชิญด้านใน”
“อื้อ” ผู้ดูแลฉิวเดินตามเฉียวเวยเข้าไปในห้อง
เฉียวเวยยกกาน้ำชาขึ้นมา รินชาที่เพิ่งชงเสร็จใหม่แต่ยังไม่ทันได้กินให้อีกฝ่ายถ้วยหนึ่ง “ชาหลงจิ่งดื่มหมดแล้ว ชาแดงทั่วไปคงไม่รังเกียจกระมัง”
“ฮูหยินเฉียวเกรงใจแล้ว” ผู้ดูแลฉิวรับถ้วยชาไปจิบคำหนึ่ง แล้วกลับเข้าเรื่องอีกครั้ง “วันนี้ที่ข้ามาก็ด้วยเรื่องของชีเหนียง”
เฉียวเวยงุนงงเล็กน้อย “ชีเหนียงเป็นอะไรหรือ คงไม่ใช่ว่าเจ้ายังไม่ตัดใจจากนางกระมัง ผู้ดูแลฉิว ถึงแม้เจ้าจะเป็นเพื่อนข้า แต่เรื่องนี้ข้าไม่เห็นด้วยนะ ชีเหนียงนางอยู่กับอากุ้ยดีๆ บุตรอะไรก็มีด้วยกันแล้ว เจ้าจะยื่นขาเข้าไปขัด ไม่ค่อยถูกหลักคุณธรรมกระมัง”
ผู้ดูแลฉิวเอ่ยอย่างใสซื่อว่า “เฉียวฮูหยินใส่ความข้าแล้ว ข้าไม่ได้มาเพื่อหาคู่ แต่ของของชีเหนียงไปตกอยู่ที่ข้าอันหนึ่ง ข้าเลยเอากลับมาคืนให้นาง”
ผู้ดูแลฉิวพูดพลางเอาปิ่นทองแดงอันหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
“ตัวปิ่นทองแดงไม่ได้มากค่าราคาแพงอะไร หายไปก็แค่หาย คิดดูแล้วด้วยความสามารถของชีเหนียงในเวลานี้ คงไม่ขาดปิ่นปักผมสักเล่มหนึ่ง แต่ตอนอยู่ที่บ้านข้า ข้าเห็นนางมักลูบปิ่นเล่มนี้เสมอ คิดแล้วว่ามันคงไม่ใช่ปิ่นทองแดงธรรมดาทั่วไป ดังนั้นข้าถึงได้เอากลับมาคืนให้ รบกวนเฉียวฮูหยินช่วยคืนให้นางแทนข้าที”
“ขอบคุณผู้ดูแลฉิวมาก ข้าขอรับไว้แทนชีเหนียง” เฉียวเวยยื่นมือไปรับ
ผู้ดูแลฉิวกลับถามต่อว่า “ปิ่นเล่มนี้…”
เฉียวเวยร้องอ้อคำหนึ่งแล้วตอบยิ้มๆ ว่า “อากุ้ยเป็นคนให้น่ะ”
ผู้ดูแลฉิวคล้ายว่าเดาคำตอบนี้ไว้ได้อยู่แล้ว สีหน้าจึงไม่ได้ดูแปลกใจอะไรนัก แค่เพียงเศร้าใจเล็กน้อย เขาลูบคลำปิ่นที่อยู่ในมือ “นางเป็นแม่หญิงที่ดี หวังว่าอากุ้ยจะดีกับนาง”
เฉียวเวยเห็นเขาไม่ยอมส่งปิ่นมาให้เสียที จึงเริ่มคิดอยากจะไปชิงมาจากมืออีกฝ่าย “อากุ้ยผู้นี้แม้จะเฉยชาไปสักหน่อย แต่เขาดีต่อชีเหนียงมาก ผู้ดูแลฉิวโปรดวางใจ”
“เฉียวฮูหยินพูดเพียงนี้แล้ว เช่นนั้นข้า…ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก” ผู้ดูแลฉิวยื่นปิ่นทองแดงออกมาอย่างอาลัยอาวรณ์ เพิ่งส่งถึงมือเฉียวเวย เฉียวเวยยังไม่ทันได้จับไว้ เขาก็ดึงกลับไปอีกครั้ง “เดือนหน้า ข้าอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
ความสนใจของเฉียวเวยอยู่ที่ปิ่นปักผมเล่มนั้น กลีบดอกไม้อันหนึ่งของปิ่นปักผมบิด นางอยากจะดัดกลับไปเหลือเกิน!
“จะไปไหนล่ะ” เฉียวเวยจับจ้องไปที่ปิ่น ถามอย่างไม่มีสมาธิ
“นี่ไม่ใช่ว่าใกล้จะปีใหม่แล้วหรอกหรือ พอทำการค้าของเดือนหน้าเสร็จ ข้าก็ต้องกลับขึ้นเหนือตามนายท่านหกไปแล้ว”
“อ้อ” เฉียวเวยจะดึงเอาปิ่นเล่มนั้นไป
ผู้ดูแลฉิวดึงหลบโดยไม่ได้ตั้งใจ เฉียวเวยมองอีกฝ่ายอย่างพูดไม่ออก เขารู้สึกได้ว่าตนทำไม่ถูก จึงยิ้มแหยๆ “ขอโทษด้วย ให้เจ้า”
เฉียวเวยรับปิ่นเล่มนั้นไปแล้วรีบดัดกลีบดอกไม้ที่ถูกบีบจนเปลี่ยนรูปกลับมาให้เข้าที่ ในใจถึงค่อยรู้สึกโล่งขึ้นหน่อย นางถอนหายใจยาวเหยียด “เอาล่ะ ปิ่นนี้ข้าจะคืนชีเหนียงให้แทนเจ้าเอง”
“ปิ่นของชีเหนียงเหตุใดถึงไปอยู่กับเจ้า”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกของอากุ้ยจู่ๆ ก็ดังขึ้นที่หน้าประตู เฉียวเวยสะดุ้งตกใจ จากนั้นก็รีบเอาปิ่นปักผมซ่อนไว้ในแขนเสื้อ “เจ้ามาได้อย่างไร ไม่ต้องทำงานในโรงงานหรือ”
“ใบชาในโรงงานใช้หมดแล้ว เลยจะมาถามว่าที่นี่ยังมีอยู่หรือไม่” พอตอบคำถามของเฉียวเวยจบ อากุ้ยก็เดินหน้าดุดันเข้าไปหาผู้ดูแลฉิว เขากดสายตาลงมองผู้ดูแลฉิวแล้วถามว่า “ปิ่นของชีเหนียง เหตุใดจึงไปอยู่กับเจ้า”
เฉียวเวยรีบตอบว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว อากุ้ย ปิ่นของชีเหนียงข้าเป็นคนเก็บได้เอง!”
อากุ้ยกัดฟันเอ่ย “ข้าได้ยินหมดแล้ว!”
ให้ตายเถอะ!
นางมัวแต่สนใจกลีบดอกไม้ที่ผิดรูป ไม่ทันได้สังเกตว่าเขาแอบฟังอยู่ตรงมุมกำแพง!
เฉียวเวยไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรขึ้นมาชั่วขณะ อะไรที่เรียกว่าจับได้คาหนังคาเขา ก็คือแบบนี้นี่เอง
สายตาของผู้ดูแลฉิวก็มีแววร้อนรนวาบผ่าน ต่อให้เขากับชีเหนียงไม่ได้มีอะไรในก่อไผ่ แต่เมื่อถูกอากุ้ย “จับได้” อย่างไรก็ยังรู้สึกประดักประเดิดอยู่ดี ยังดีที่เขาตั้งสติได้ทันควัน จึงเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “เจ้าอย่าเข้าใจชีเหนียงผิด ฟังข้าอธิบายก่อน…”
อากุ้ยเอ่ยขัดเขาอย่างไม่มีเกรงใจสักนิด “ชีเหนียงใช่ชื่อที่เจ้าจะเรียกได้หรือ เจ้าเป็นอะไรกับนาง เจ้ากล้าขอร้องแทนนาง? นางจำเป็นต้องให้เจ้ามาขอร้องแทนหรือ พวกเจ้าสองคนสนิทกันมากหรือ”
ผู้ดูแลฉิวรีบยกมือ “เจ้าใจเย็นก่อน”
อากุ้ยปัดมือเขาออกทันที “จะให้ข้าใจเย็นอย่างไร”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยท่าทีดุดัน “อากุ้ย!”
อากุ้ยดึงปิ่นจากมือนางไป แล้วเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปทันที
Comments