หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก 215-2 หึง คนตระกูลสวินมาเยือน
ตอนที่ 215-2 หึง คนตระกูลสวินมาเยือน
ตอนที่ 215-2 หึง คนตระกูลสวินมาเยือน
จีเหล่าฮูหยินตอบด้วยน้ำเสียงเช่นปกติ “หลันเอ๋อร์เขียนจดหมายถึงพวกเจ้าหรือ”
เจินซื่อแย้มยิ้ม “ใช่แล้ว นางเขียนจดหมายมาหาพวกเรา บอกว่านางหาคู่ครองให้เหยาเจี่ยเอ๋อร์ไว้คนหนึ่ง แล้วยังหางานตำแหน่งหนึ่งไว้ให้สิงจือ ให้ข้ารีบพาสองพี่น้องมา ควรมาตั้งนานแล้วแต่บ้านมารดาของข้าเกิดเรื่องเล็กน้อยจึงชักช้า”
จีเหล่าฮูหยินกับทุกคนส่งสายตาให้กัน ทุกคนหมดคำจะพูดยิ่งนัก ลำบากแทบแย่กว่าจะไล่สวินหลันออกไปได้ แต่กลับมีคนบ้านมารดาของนางมาอีก นี่หมายความว่าอย่างไรกัน
หรือว่าก่อนสวินหลันเกิดเรื่อง เคยเขียนจดหมายไปขอความช่วยเหลือที่บ้านฝั่งมารดา
เจินซื่อล้วงจดหมายลายมือของสวินหลันออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้จีเหล่าฮูหยิน
จีเหล่าฮูหยินอ่านจบก็ทิ้งความคิดที่ว่าสวินหลันเขียนจดหมายไปขอความช่วยเหลือจากบ้านฝั่งมารดา จดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นเมื่อสามเดือนก่อน ตอนนั้นเฉียวเวยยังไม่แต่งเข้าบ้าน ในจวนยังไม่มีผู้ใดจับพิรุธของสวินหลันได้ ในจดหมายสวินหลันแสดงออกว่าจะหาลู่ทางให้ลูกพี่ลูกน้องชายหญิงจริงๆ แต่สิ่งที่นางเขียนคือหากตระกูลสวินไม่รังเกียจก็ส่งลูกพี่ลูกน้องมาก่อน ไม่เหมือนที่เจินซื่อบอกว่าหาคู่ครองกับตำแหน่งให้กับทั้งสองคนไว้แล้ว
“ไม่เห็นหลันเจี่ยเอ๋อร์เลย นางไปไหนแล้วหรือ” เจินซื่อมองรอบด้านแล้วถามขึ้นมา
จีเหล่าฮูหยินพูดไม่ออก ไม่รู้จริงๆว่าสมควรตอบคำถามนี้เช่นไร
เฉียวเวยจึงตอบว่า “ฮูหยินไปเฝ้าสุสานของเหล่าไท่เหยียแล้ว”
“อ๋า…” เจินซื่อตกใจ “อยู่ดีๆ …เหตุใดจึงไปเฝ้าสุสานเสียเล่า”
เฉียวเวยตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “นางไมได้บอกพวกท่านหรือ ข้าคิดว่าพวกท่านรู้แล้วเสียอีก นางหาคู่ครองกับตำแหน่งให้พวกท่านย่อมเห็นชัดว่านางสนิทสนมกับตระกูลฝั่งมารดามากนัก เรื่องใหญ่อย่างการไปเฝ้าสุสานท่านปู่ของข้า ไม่สมควรปิดบังพวกท่านสิถึงจะถูก”
หากเจินซื่อถามต่อไป ย่อมแสดงให้เห็นว่านางกับสวินซื่อมีความสัมพันธ์ห่างเหินกัน แม้เรื่องนั้นจะเป็นความจริง แต่ไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาให้คนตระกูลจีเห็น
“นางคงจะเขียนจดหมายมาบอกแล้ว แต่คนส่งสารอาจจะยังมาไม่ถึงกระมัง” เจินซื่อยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
จีซวงแค่นเสียงหัวเราะ
หลี่ซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดมุมปาก
เจินซื่อไม่รู้สาเหตุ สีหน้าจึงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
จีเหล่าฮูหยินเรียกหรงมามา “ไปถามความเห็นของซั่งชิงดูซิ”
“เจ้าค่ะ” หรงมามาพยักหน้าแล้วจากไป
บรรยากาศภายในห้องอึดอัดอยู่เล็กน้อย คนตระกูลจีไม่ยอมพูด เจินซื่ออยากตีสนิทก็พบว่าเหมือนจะไม่มีผู้ใดยินดีสนใจนาง นางไม่รู้ว่าตนเองทำผิดที่ใด บางทีในอดีตอาจจะดีกับหลันเจี่ยเอ๋อร์ไม่มากพอ
ฟ้าดินเป็นพยาน พวกเขาไม่เคยทำผิดต่อหลันเจี่ยเอ๋อร์แม้แต่น้อย หลันเจี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เติบใหญ่ที่บ้านตระกูลสวิน พวกเขาไม่ใช่คนเลี้ยงดูนางมา ตระกูลจีต่างหากที่รับคนไปอยู่ด้วย
ปีนั้นที่หลันเจี่ยเอ๋อร์อายุสิบสาม พวกเขาก็มารับนางกลับไปแล้วไม่ใช่หรือ ให้นางกินดีอยู่ดี เตรียมตบแต่ง พวกเขาผิดต่อหลันเจี่ยเอ๋อร์ที่ใด คนตระกูลจีจึงชักสีหน้าใส่พวกเขาเช่นนี้
เฉียวเวยมองสามแม่ลูกฝั่งตรงข้าม ไม่รู้เหตุใดจึงนึกถึงเรือนรองของตระกูลเฉียวขึ้นมา จะว่าไปแล้ว ชาติกำเนิดของนางกับสวินหลันก็คล้ายกันอยู่บางส่วน พวกนางล้วนเป็นลูกสาวของเรือนใหญ่ สูญเสียบุพการีไปทั้งคู่ มารดาของสวินหลันแต่งงานใหม่ ในยุคโบราณเรื่องนี้ไม่แตกต่างอันใดกับการไม่มีมารดาแล้ว ตัวนางถูกเรือนรองเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เลี้ยงจนเกือบตาย ส่วนสวินหลันถูกตระกูลจีเลี้ยงมาจนโต ความจริงด้วยเล่ห์กลของสวินหลัน ต่อให้นางถูกเลี้ยงที่ตระกูลสวิน ก็มีแต่นางจัดการคนอื่นถึงตาย ไม่มีช่องว่างให้ผู้อื่นรังแกนาง
นายท่านผู้เฒ่าตระกูลสวินพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือฝากเด็กกำพร้าคนหนึ่ง พูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็คือหน้าไม่อาย ในบ้านมีน้องชายสายเลือดเดียวกันอยู่แท้ๆ แต่กลับโยนภาระมาให้ตระกูลจี ตระกูลจีเพียงมีไมตรีระหว่างศิษยอาจารย์กับเขาเล็กน้อยเท่านั้น กลับต้องมาเลี้ยงลูกให้เขาคนหนึ่ง
อะไรคือกลัวพี่น้องไม่ดูแลลูกสาวเขาให้ดี ไร้สาระ เขาอยากปีนป่ายขึ้นมาเกาะ อยากให้ลูกสาวมีฐานะสูงขึ้นอีกมากกว่า
พูดอีกอย่างก็คือต่อให้คนในตระกูลสวินล้วนไม่มีตัวดีสักคน นั่นก็เป็นชะตาของสวินหลัน นางเกิดมาในครอบครัวเช่นนี้เอง นั่นก็เป็นสิ่งที่นางสมควรเผชิญ ไม่ใช่เหตุผลให้นางกลายมาเป็นภาระของตระกูลจี
เฉียวเวยหลุบตาลง ใช้ฝาถ้วยเขี่ยใบชาในถ้วย
เฮ้อ เจ้าสำนักเฉียว เจ้าเลือดเย็นอีกแล้ว
…
หรงมามากลับมาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก นางกระซิบเสียงเบาข้างหูจีเหล่าฮูหยินสองสามประโยค จีเหล่าฮูหยินพยักหน้า หรงมามาถอยไปด้านข้าง จีเหล่าฮูหยินหันไปมองเจินซื่อแล้วบอกว่า “ซั่งชิงร่างกายไม่แข็งแรงจึงมาพบพวกเจ้าไม่ได้ เขาให้พวกเจ้าอาศัยอยู่ในจวนไปก่อน เรื่องของแม่หนูเหยากับสิงจือ เขาจะดูให้เอง”
เจินซื่อดีในจนหน้าบาน “ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนพวกท่านแล้ว!”
“ไม่ต้องเกรงใจ” จีเหล่าฮูหยินพยักหน้ายิ้มจางๆ หันไปมองหลี่ซื่อกับจีซวงที่อยู่ด้านข้าง “ในจวนยังมีเรือนไหนว่างอยู่หรือไม่”
จีซวงคร้านจะสนใจคน
หลี่ซื่อตอบว่า “เรือนกุ้ยเซียงยังว่างอยู่ หลายวันก่อนหลังคารั่วเพิ่งซ่อมเสร็จ ไม่มีคนอยู่พอดีเจ้าค่ะ”
“เรือนที่อยู่ใกล้จวนขององค์หญิงหลังนั้นน่ะหรือ” จีเหล่าฮูหยินถาม
หลี่ซื่อตอบว่า “เจ้าค่ะ ตอนนี้มีเรือนหลังนี้ให้คนอาศัยได้อยู่เรือนเดียว”
จีเหล่าฮูหยินชะงักไปครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปเรือนกุ้ยเซียงเถิด อยู่ในเขตบ้านของเจ้ารอง เจ้ากับเสี่ยวเวยไปจัดการก็แล้วกัน”
หลี่ซื่อกับเฉียวเวยขานรับ
เฉียวเวยนั่งอยู่เฉยๆ หลี่ซื่อเป็นคนจัดแจงทุกสิ่ง หลี่ซื่อนิสัยหยิ่งทะนง แต่นางก็มีคุณสมบัติให้หยิ่งทะนง นางทำงานไม่สับสนแม้แต่น้อย ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามก็จัดการเรือนกุ้ยเซียงจนสะอาด ข้าวของเครื่องใช้ อาหารการกิน กำยานหอม เตาถ่านที่ควรตระเตรียม…ทุกสิ่งล้วนเตรียมพร้อมหมดสิ้น
เรือนกุ้ยเซียงมีขนาดครึ่งหนึ่งของบ้านชิงเหลียนเท่านั้น แต่พอให้สามแม่ลูกกับคนรับใช้ไม่กี่คนที่ติดตามมาอาศัยอยู่ได้เหลือเฟือ
พวกเจินซื่อมาเยือนตระกูลจีหนแรกก็ตกตกะลึงกับความหรูหราฟู่ฟ่าของตระกูลจียิ่งนัก สวินหลันเติบโตมาในตระกูลที่มั่งคั่งเช่นนี้ ไม่แปลกที่กิริยาท่าทางของนางจะไม่แพ้คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลาย
หลี่ซื่อเหลือบมองเจินซื่อ ในดวงตาฉายแววดูแคลนวูบหนึ่ง แต่อย่างไรนางก็จำคำสั่งของเหล่าฮูหยินได้ จึงอดทนบอกกับเจินซื่อว่า “ข้าพักอยู่ที่จวนตะวันออก เจ้าออกจากเรือนเดินตรงไปทางตะวันออกไม่กี่ก้าวก็ถึง หากไม่รังเกียจก็พาลูกสาวกับลูกชายมานั่งเล่นที่จวนตะวันออกได้”
นี่เป็นคำพูดตามมารยาท ความจริงหลี่ซื่อไม่ต้อนรับนางสักนิด!
เจินซื่อยิ้มแย้ม “ขอบคุณฮูหยินรองมาก ข้าจะไปเดินเล่นที่จวนตะวันออกแน่นอน!”
หลี่ซื่อบอกอีกว่า “หากเจ้าเดินไปทางเหนือก็จะเป็นที่พักของซวงเอ๋อร์ แต่ตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์อยู่ ต้องการความสงบ”
เจินซื่อตอบว่า “ข้าจำไว้แล้ว! ข้าจะไม่ไปรบกวนนาง!”
หลี่ซื่อหันไปมองเฉียวเวยที่อยู่ด้านข้างต่อ “เสี่ยวเวยอยู่ที่บ้านชิงเหลียน ห่างจากที่นี่ไม่กี่ก้าว มีเวลาว่างก็ไปนั่งเล่นที่บ้านของเสี่ยวเวยได้”
นี่ก็ยังคงเป็นคำพูดตามมารยาท
เจินซื่อกลับยังคงถือเป็นจริงเป็นจัง ยิ้มจนตาปิด “แน่นอน!”
เฉียวเวยยิ้ม
“ด้านนั้น” หลี่ซื่อชี้ทางจวนองค์หญิง “ที่ใดในจวนล้วนไปได้ แต่จวนขององค์หญิงห้ามเข้าไปเด็ดขาด มิเช่นนั้นหากรบกวนวิญญาณบนสวรรค์ขององค์หญิง ฝ่าบาทถือโทษขึ้นมาคงต้องถูกตัดหัวประหาร”
เจินซื่อกลัวจนคิ้วเลิกสูง รีบร้อนตอบรับ “เข้าใจแล้วๆ ข้าจำได้แล้ว!”
หลี่ซื่อหันไปมองสาวใช้ที่ประตู แล้วบอกว่า “ข้าจะทิ้งสาวใช้สองสามคนไว้ให้พวกเจ้าเรียกใช้ มีสิ่งใดต้องการ ให้พวกนางมาบอกข้าก็พอ”
เจินซื่อใบหน้าแดงระเรื่อ “ฮูหยินรองรอบคอบยิ่งนัก! ข้าเกรงใจแทบแย่แล้ว! แต่เดิมข้านำของขวัญมาให้พวกท่าน แต่ไม่รู้ว่าเก็บอยู่ในหีบใบไหน กลับไปข้าจัดการข้าวของเรียบร้อยแล้วจะให้ลูกสาวนำไปมอบให้พวกท่าน”
หลี่ซื่อยิ้มเรียบๆ “สวินฮูหยินเกรงใจแล้ว เย็นแล้ว ข้ากับเสี่ยวเวยยังมีธุระ ขอตัวก่อน”
เจินซื่อตะโกนเข้าไปในห้อง “เจี่ยเอ๋อร์ มาส่งฮูหยินรองกับฮูหยินน้อย!”
“เจ้าค่ะ!” สวินชิงเหยาเดินเยื้องย่างออกมา นางอมยิ้มส่งทั้งสองคนออกจากเรือนกุ้ยเซียง
ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นแม่นางจากตระกูลบัณฑิต ทั้งเนื้อทั้งตัวแผ่กลิ่นอายของคนมีความรู้ แตกต่างจากท่าทีประหนึ่งเทพเซียนผู้มิข้องเกี่ยวกับโลกมนุษย์อย่างสวินหลัน แม่นางสวินผู้นี้ดูเป็นมนุษย์มากกว่าหน่อย
หลี่ซื่อจูงมือเฉียวเวย บอกกับนางว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องส่งแล้ว พวกเจ้าเดินทางมาลำบากคงเหน็ดเหนื่อยแล้ว กลับไปพักเถิด”
สวินชิงเหยาค้อมกาย “ฮูหยินรองกลับดีๆ ฮูหยินน้อยกลับดีๆ เจ้าค่ะ”
เมื่อเดินออกมาไกลแล้ว หลี่ซื่อจึงส่งเสียงชิชะ “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ตั้งแต่เฉียวเวยรักษาร่างกายของหลี่ซื่อจนหายดี หลี่ซื่อก็สนิทกับเฉียวเวยขึ้นมาก สิ่งใดมิกล้าพูดกับจีซวง กลับกล้าบอกกับเฉียวเวย
เฉียวเวยตอบอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ท่านพ่อใจอ่อน”
หลี่ซื่อบ่น “ข้าไม่ได้ต่อว่าพ่อของเจ้าหรอกนะ แต่ใจของเขาน่ะอ่อนเกินไปแล้ว! ลืมแล้วหรือว่าผู้หญิงคนนั้นทำเรื่องดีงามอะไรไว้กับเขา คนบ้านมารดาของนางมาก็สมควรไล่ออกไปถึงจะถูก ยังจะให้พวกเขาพักอยู่อีก!”
เฉียวเวยก็รู้สึกเหมือนกันว่าจีซั่งชิงเป็นคนที่ภายนอกเย็นชา แต่ภายในอ่อนโยน เขาดูเหมือนไม่รับไมตรี แต่ความจริงแล้วใจอ่อนยิ่งกว่าผู้ใด “ลูกของสวินซื่อไม่อยู่แล้ว ท่านพ่ออาจปวดใจเรื่องเด็กคนนั้นก็เป็นได้กระมัง”
หลี่ซื่อพูดขึ้นว่า “โชคดีที่วันนั้นเขาสลบอยู่ หากเขาตื่น จะไล่สวินซื่อจากไปได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่”
ในใจเฉียวเวยคิดว่า ต้องบอกว่าหมิงซิวรู้จักบิดาของเขาดี ใช้ยาถ้วยหนึ่งทำให้คนสลบ จัดการก่อนแล้วค่อยรายงาน จีซั่งชิงใจอ่อนอีกเท่าใดก็ไม่สะดวกขัดความตั้งใจของมารดาแท้ๆ แล้ว
…
ณ เรือนกุ้ยเซียง เจินซื่อลูบข้าวของราคาแพงทั้งหลายแล้วจิ๊ปากชื่นชม “โถ ดูแจกันดอกไม้นี่สิ ตรงฐานฝังทองไว้เสียด้วย!”
ตระกูลสวินเป็นตระกูลบัณฑิต แม้มากบารมี ชื่อเสียงโด่งดัง แต่หากพูดถึงเงินทอง เรื่องนั้นไม่ได้มีมากสักเท่าใด
เจินซื่อเคยเห็นของล้ำค่าเช่นนี้เสียเมื่อไร ข้าวของทุกชิ้นประณีตจนไม่อยากจะเชื่อ แม้จะเต็มไปด้วยทองคำและหยก แต่กลับไม่มีกลิ่นอายของเศรษฐีใหม่แม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับมีความมั่งคั่งและความยิ่งใหญ่อันมากล้น ราวกับเป็น ราวกับเป็นราชวงศ์
เจินซื่อลูบแจกันดอกไม้ใบนั้นอย่างมิยอมวางมือ
สวินชิงเหยามองเครื่องเงินเครื่องทองและเครื่องหยกในห้อง แล้วก็ทอดถอนใจเช่นเดียวกัน “พี่สาวนาง…อยู่ดีจริงนะ”
เจินซื่อจึงบอกว่า “แน่อยู่แล้ว อาศัยอยู่ในตระกูลเช่นนี้ ต่อให้ข้าเสียอายุขัยไปสิบปี ข้าก็ยินดี! มิน่าตอนนั้นลุงใหญ่ของเจ้าจึงฝากลูกพี่ลูกน้องของเจ้าไว้กับตระกูลจี ดูบ้านของผู้อื่น แล้วนึกถึงบ้านของพวกเราสิ…เฮ้อ!”
เจินซื่อไม่อาจใช้ถ้อยคำมาพรรณนาความรู้สึกในยามนี้ได้ “ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าขี้เหนียวเกินไปแล้วจริงๆ! ตนเองได้อยู่ในบ้านดีๆ เช่นนี้ ก็ไม่รู้จักรับเจ้ามาเสพสุขด้วยกันตั้งแต่ก่อนหน้านี้! หนนี้หากไม่ใช่เพราะข้าบีบบังคับนางให้หาลู่ทางในอนาคตดีๆ ให้แก่พวกเจ้า ก็ไม่รู้ว่านางจะแสร้งโง่อีกนานเท่าใด!”
…
เฉียวเวยบอกลาหลี่ซื่อแล้วกลับมายังบ้านชิงเหลียน
ม่านราตรีทอดตัวลงมา แต่หิมะสะท้อนเป็นประกายจึงยังพอมองเห็นทางอยู่
เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ประจันหน้ากับเงาที่กำลังเดินมาร่างหนึ่ง
เฉียวเวยไปทางซ้าย อีกฝ่ายก็ไปทางซ้าย
เฉียวเวยไปทางขวา อีกฝ่ายก็ไปทางขวา
เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง เฉียวเวยถอนหายใจอย่างหมดคำจะพูดแล้วหยุดก้าวเท้า หันไปมองผู้ที่เดินมา
คนผู้นั้นร้อนรนยิ่งนัก เมื่อเห็นเฉียวเวยหยุด ตนเองก็รีบหยุดเท้าด้วย “ขออภัย ขออภัย…”
พูดได้ครึ่งหนึ่งพอเห็นใบหน้าของเฉียวเวยชัดก็ตกตะลึงทันที “ฮูหยินน้อย”
เฉียวเวยเรียกด้วยเสียงเรียบเฉย “คุณชายสวิน”
สวินสิงจือขยับไปด้านข้าง ทำท่ามือเชิญพลางยิ้มขออภัย “ฮูหยินน้อยเชิญ”
เฉียวเวยเดินจากไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ลมหนาวพัดมา อากาศมีกลิ่นหอมชวนดมดอมสายหนึ่งลอยอ้อยอิ่ง
สวินสิงจือมองแผ่นหลังของเฉียวเวยนิ่งๆ ก่อนจะกลับไปยังเรือนกุ้ยเซียง
…
กล่าวถึงแม่ทัพน้อยมู่ หลังจากเขาหายตัวไป คณะทูตหนานฉู่ก็ร้อนใจแทบแย่ เริ่มแรกพวกเขาคิดว่าเขาเพียงมีจิตใจของเด็กน้อยจึงออกไปเที่ยวเล่นเท่านั้น แต่รอจนกระทั่งฟ้ามืดก็ยังไม่เห็นคน ทุกคนจึงสังหรณ์ใจว่าท่าจะไม่ดีแล้ว ทุกคนออกตามหาอยู่ทั้งคืน แต่ก็หาร่องรอยของแม่ทัพน้อยมู่ไม่พบ เกือบจะคิดว่าเขาพบอันตรายแล้ว แต่ในตอนนี้เอง จีหมิงซิวก็พาคนกลับมาส่งในวัง
ฮ่องเต้พรูลมหายใจยาวอย่างโล่งอก แม้พระองค์หวังอย่างยิ่งให้แม่ทัพน้อยมู่ตายไปเสีย เช่นนี้หนานฉู่จะได้ขาดปีกไปข้างหนึ่ง แต่หากเขามาตายที่ต้าเหลียงย่อมนำภัยมาสู่ต้าเหลียง
แม่ทัพน้อยมู่ได้รับบาดเจ็บหนัก นั่งอยู่บนรถเข็น หญิงรับใช้ประจำตัวเข็นเขาเข้ามาในห้องนอน
หมอหลวงที่ติดตามมากับคณะทูตหนานฉู่ กับหมอหลวงจากต้าเหลียงต่างเข้ามาเพื่อรักษาเขา
“เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่” ด้านนอกตำหนัก ฮ่องเต้ถามจีหมิงซิวด้วยสีหน้าเคร่งรึม
จีหมิงซิวตอบว่า “เขาถูกลอบโจมตีในป่าตอนกลางคืน จุดที่ลอบโจมตีก็คือหมู่บ้านของเสี่ยวเวย เสี่ยวเวยช่วยเขาไว้”
“เขาออกไปนอกเมืองได้เช่นไร” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
จีหมิงซิวตอบเรียบๆ “เรื่องนี้คงต้องถามตัวเขาเองแล้ว”
ฮ่องเต้ทำหน้าเหมือนขบคิด “ดูท่าคงมีคนคิดจะทำลายความปรองดองของทั้งสองแคว้น”
จีหมิงซิวเอ่ยว่า “อาจเป็นผู้ที่คิดจะเล่นงานตระกูลจีได้เหมือนกัน”
“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้” ฮ่องเต้ตรัสอย่างไม่เข้าใจ
จีหมิงซิวตอบว่า “เสี่ยวเวยกับคุณหนูของจวนเทพสงครามเคยมีเรื่องขัดแย้งกัน วันนั้นในสนามล่าสัตว์แม่ทัพน้อยมู่ก็เคยพยายามจะสังหารเสี่ยวเวย หากมีคนเจตนาไม่ดีทราบเรื่องความขัดแย้งระหว่างเสี่ยวเวยกับจวนเทพสงคราม ก็ไม่ยากหากจะนำเรื่องนี้มาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ นำภัยมาสู่เสี่ยวเวยกับข้า”
ฮ่องเต้ชะงัก “เจ้าคิดว่าอาจเป็นผู้ใด”
จีหมิงซิวหันไปมองยิ่นอ๋องกับเจาอ๋องที่อยู่ด้านข้าง
เจาอ๋อทำหน้ามึนงง “อะไรเล่า เจ้าสงสัยข้าหรือ ข้าไม่รู้เรื่องระหว่างแม่ทัพน้อยมู่กับพวกเจ้าสักหน่อย! วันนั้นข้าตั้งใจไปล่าเพียงพอนอย่างเดียว! ผู้ใดสนใจว่าพวกเจ้าทะเลาะกัน!”
ยิ่นอ๋องตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”
รัชทายาทอ้าปากหาว สีหน้าที่บอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าประดับอยู่บนใบหน้า
ผ่านไปครู่หนึ่งหมอหลวงจางก็เดินออกมาจากตำหนักบรรทม
ฮ่องเต้ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย “เป็นอย่างไรบ้าง”
หมอหลวงจางประสานมือตอบ “แผลของแม่ทัพน้อยมู่สาหัสนัก โชคดีบาดแผลถูกจัดการได้อย่างทันท่วงที ตอนนี้จึงไม่ต้องกังวลถึงชีวิต”
ก้อนหินก้อนโตในใจของฮ่องเต้ถูกยกออก ตรัสกับจีหมิงซิวว่า “หนนี้ต้องขอบคุณเสี่ยวเวยอีกแล้ว ฝากขอบคุณนางแทนข้าด้วย”
Comments