หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก 266-3 ผู้กล้าตัวน้อยทั้งสาม ตำหนักธิดาเทพถูกเปิดโปง
ตอนที่ 266-3 ผู้กล้าตัวน้อยทั้งสาม ตำหนักธิดาเทพถูกเปิดโปง
จีหมิงซิวส่ายศีรษะอย่างเยือกเย็น “ท่านโหราจารย์ไม่ได้ทำนายทายทักเรื่องเหล่านี้ไว้ เพียงแต่ว่าเขาบันทึกของสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนไม่อาจออกไปจากเกาะแห่งนี้ได้”
หัวใจของผู้อาวุโสใหญ่เหมือนถูกจับแขวนกลางอากาศ “ของสิ่งใด”
จีหมิงซิวเปิดตำราไม้ไผ่แล้วชี้ตัวอักษรบรรทัดหนึ่ง “กู่ขับขานราตรี”
ผู้อาวุโสมองตัวอักษรที่เขาชี้ ในใจก็จดจำ ตัวอักษรตัวนี้คือคำว่าราตรี ตัวอักษรตัวนี้คือคำว่าขับขาน ตัวอักษรตัวนี้คือคำว่ากู่ ประเดี๋ยวนะ เขาฉงนงงงวยอีกหน “เดี๋ยวก่อน บนเกาะไม่มีผู้ใดกู่ร้องเสียหน่อย”
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา “กู่จากคำว่าแมลงกู่ ! ไม่ใช่กู่จากคำว่ากู่ร้อง”
ผู้อาวุโสใหญ่กระแอมเบาๆ “ที่แท้ก็หมายถึงแมลงกู่”
จีหมิงซิวเอ่ยต่อว่า “แมลงกู่ชนิดนี้เป็นสิ่งที่ท่านโหราจารย์ค้นพบหลังจากมาถึงเกาะ แรกเริ่มเขาเลี้ยงกู่ชนิดนี้ไว้เพราะเขาสงสัยว่ามันจะมีสรรพคุณในการรักษาโรคข้ออักเสบเรื้อรังได้ดี แต่ต่อมาเขาก็พบว่าแมลงกู่ชนิดนี้ความจริงแล้วรักษาโรคข้ออักเสบเรื้อรังไม่ได้ แต่มันป้องกันการตั้งครรภ์ได้ อายุขัยของแมลงกู่ชนิดนี้ยืนยาวยิ่งนัก ขอเพียงมีน้ำเลี้ยงจากต้นชิงเถิงก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ แต่มันก็มีจุดอ่อนที่ร้ายแรงอยู่ข้อหนึ่งนั่นก็คือมันมิอาจขาดน้ำเลี้ยงของต้นชิงเถิง”
สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่กระอักกระอ่วนเล็กน้อย เหตุไฉนพูดไปพูดมาจึงไปถึงเรื่องการป้องกันการตั้งครรภ์ได้เล่า
เฉียวเวยจึงเอ่ยบ้าง “ใช่แล้ว ผู้อาวุโสใหญ่ ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าผู้คนบนเกาะของพวกท่านตั้งครรภ์ยากยิ่งนัก”
ผู้อาวุโสใหญ่ขบคิด เด็กบนเกาะเกิดมายากอย่างยิ่งจริงๆ เหอจั๋วมีบุตรสาวเพียงคนเดียว ปี้หลัวฟู่เสเพลโดยสันดานก็ยังมีฮาจั่วกับปี้หลัวเอินเป็นลูกเพียงสองคน แล้วยังมีคนอีกไม่น้อยขบคิดสารพัดวิธี แต่ก็ยังมีลูกไม่ได้แม้แต่คนเดียว
ผู้อาวุโสใหญ่ตั้งสติ “ท่านโหราจารย์หมายความว่า…”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “สามีของข้าหมายความว่า สาเหตุที่พวกท่านออกจากเกาะไม่ได้แล้วยังมีลูกยากก็เพราะถูกแมลงกู่ชนิดนี้ทำร้าย! พวกท่านทุกคนถูกใส่แมลงกู่ไว้ในร่าง ผู้อาวุโสใหญ่ ท่านเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น รวมถึงท่านตาของข้าด้วย! หลังจากนั้นพวกท่านทุกคนจึงจำเป็นต้องกินน้ำเลี้ยงของต้นชิงเถิงในระยะเวลาที่กำหนดเพื่อบรรเทาอาการไม่สบายต่างๆ นานาที่เกิดจากแมลงกู่ หากผู้ใดออกจากเกาะนานเกินไปและไม่มีน้ำเลี้ยงของต้นชิงเถิง แมลงกู่ก็จะแผลงฤทธิ์!”
ผู้อาวุโสใหญ่สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด
เฉียวเวยเอ่ยปลอบ “ท่านอย่ากลัว มันไม่ได้จะคร่าชีวิตท่าน”
ไม่ได้จะคร่าชีวิตเขา แต่เอาชีวิตลูกๆ ของเขาไปเท่าใดแล้ว พอคิดดูแล้วก็รู้สึกขวัญผวา
ผู้อาวุโสใหญ่กดความรู้สึกไม่ดีในหัวใจลงไปแล้วถามว่า “ในเมื่อถูกใส่แมลงกู่ เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดรู้ตัว”
จีหมิงซิวปิดตำราไม้ไผ่แล้วบอกว่า “แมลงกู่ชนิดนี้แม้แต่ท่านพ่อตาของข้ายังตรวจไม่พบ หมอผู้อื่นย่อมยากจะตรวจพบยิ่งกว่า”
ผู้อาวุโสใหญ่หวาดผวา “แต่ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดชาวเผ่าทั้งหมดบนเกาะจึงถูกใส่แมลงกู่ในร่างได้”
เฉียวเวยลูบคาง “ก็ไม่ใช่ว่าทั้งเกาะหรอก คนในเมืองน้อยแห่งนี้ไม่ถูกใส่แมลงกู่ในร่าง”
“เพราะเหตุใด” ผู้อาวุโสใหญ่ถามอย่างไม่เข้าใจ
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “เพราะคนในเมืองน้อยแห่งนี้เป็นลูกหลานของทาสทต้องโทษที่แม้แต่องค์เทพก็ไม่อยากจะคุ้มครองพวกเขา พวกเขาจึงไม่มีสิทธิไปทำพิธีรับขวัญ ทำให้โชคดีหลบพ้นภัยมาได้” ข้อมูลนี้แม้แต่ไห่สือซานก็สืบหามาไม่ได้ แต่เฉียวเวยได้ยินมาตอนที่ไปส่งยาให้กับเฟิงซื่อเหนียง นางเพิ่งทราบว่าพวกเขาเป็นลูกหลานที่ถูกองค์เทพทอดทิ้ง หากหนนี้ไม่ใช่เพราะต้องการคว่ำเฮ่อหลันชิง เกรงว่าคนของตำหนักธิดาเทพก็คงไม่ยอมย่างเท้ามาที่แห่งนี้
หากคิดเช่นนี้พวกเขาก็นับว่าได้ลาภจากเคราะห์
เพียงแต่ว่า ถึงแม้จะไม่ทราบความจริง แต่พวกเขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามออกจากเกาะ ต่อให้ต้องออกไปก็จะซื้อหา ‘ยา’ ที่จำเป็นต้องใช้จากตลาดมืดมาล่วงหน้าจำนวนหนึ่ง อย่างไรเสียเรื่องเล่าก็น่ากลัวเหลือเกิน มีคนไม่กี่คนที่กล้าเอาชีวิตไปเดิมพัน
ผู้อาวุโสใหญ่ย่อยข้อมูลอันน่าตกตะลึงเรื่องนี้ หลังจากนั้นเขาก็นึกทบทวนคำพูดของเฉียวเวย ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักถึงความผิดปกติ “เมื่อครู่ท่านบอกว่า…พิธีรับขวัญหรือ”
เฉียวเวยพยักหน้า “ใช่แล้ว พิธีรับขวัญนั่นแหละ”
ผู้อาวุโสใหญ่ทำหน้าไม่เชื่อ “ท่านจะบอกว่า…แมลงกู่ในตัวพวกเรา ตำหนักธิดาเทพเป็นคนทำหรือ”
เฉียวเวยมองเขา แววตาไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย “ถูกต้องแล้ว”
“เป็นไปได้อย่างไร” ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะ
เฉียวเวยย้อนถามอย่างเคร่งขรึม “เหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้เล่า”
ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะ “ข้าไม่เคยดื่มน้ำเลี้ยงของต้นชิงเถิงอะไรนั่นสักหน่อย”
เฉียวเวยจึงสวนว่า “น้ำศักดิ์สิทธิ์ก็คือน้ำเลี้ยงของต้นชิงเถิง! ต้นชิงเถิงชนิดนี้ไม่ใช่ต้นชิงเถิงที่พบเห็นได้ทั่วไปข้างนอก แต่เป็นต้นชิงเถิงที่ขึ้นอยู่บนต้นสองภพ ทั่วทั้งเกาะนอกจากตำหนักธิดาเทพก็ไม่มีสถานที่แห่งที่สองที่ปลูกพวกมันรอดอีกแล้ว!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้อาวุโสใหญ่แข็งค้าง เขาหันไปมองจีหมิงซิว แววตาของจีหมิงซิวนิ่งสนิทไม่มีระลอกคลื่นสั่นไหวแม้แต่น้อย พายุโหมอสนีบาตฟาดมิสะเทือน ฝูงปีศาจกลุ้มรุมล้อมมิหวาดหวั่น ประโยคนี้เกรงว่าจะหมายถึงเขาเป็นแน่แท้ เขาไม่เอ่ยวาจามากมาย ทว่าทุกประโยคที่เอ่ยล้วนทำให้คนเชื่อสนิทใจ ผู้อาวุโสใหญ่ถามขึ้นว่า “เป็นเช่นนี้จริงหรือ ท่านโหราจารย์”
จีหมิงซิวตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน “จะเป็นเรื่องจริงหรือโกหก ผู้อาวุโสใหญ่พาคนไปค้นตำหนักธิดาเทพสักหนก็ทราบแล้ว”
หากเป็นก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสใหญ่ไม่มีทางคลางแคลงในตำหนักธิแทพอย่างเด็ดขาด ทว่าหนนี้เกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของคนทั้งเกาะ เขารู้สึกว่าบางทีตนอาจจำเป็นจะต้องเดินทางไปสักหนจริงๆ
เช้าตรู่วันต่อมา ผู้อาวุโสใหญ่จึงออกเดินทางไปยังเมืองถ่าน่าด้วยกันกับเฉียวเวย
เฉียวเวยแวะกลับปราสาทเฮ่อหลันก่อน ผู้อาวุโสใหญ่ไม่เห็นนางพกสิ่งใดออกมาจึงคิดว่านางเพียงแต่ไปดูลูกเท่านั้น
ตอนที่ทั้งสองคนเดินทามาถึงตำหนักธิดาเทพ สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็เพิ่งทำวัตรเช้าเสร็จพอดี พวกนางกำลังเตรียมตัวรับสำรับ เมื่อได้ยินว่าผู้อาวุโสใหญ่กับจั๋วหม่าน้อยมาเยือนก็หมดความอยากอาหารในทันที
โบราณกล่าวไว้ดีนัก ไร้เรื่องร้อนใจมิเยือนอาราม ก็ไม่รู้ว่าดาวข่มตัวน้อยคนนั้นรีบเร่งเดินทางมาจากทางใต้ของเกาะแต่เช้าตรู่เพราะอยากจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่
ใบหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งบวมน้อยลงแล้ว นางจึงออกไปต้อนรับทั้งสองคนที่ตำหนักหน้า
หญิงรับใช้ยกชาที่เพิ่งชงใหม่มา
เฉียวเวยยกถ้วยชาขึ้นแกว่งอย่างขบขัน แล้วถามว่า “ในน้ำนี้คงไม่มียาพิษกระมัง”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งถามอย่างหยิ่งยโส “จั๋วหม่าน้อยหมายความเช่นไร”
เฉียวเวยยิ้มละไม “หมายความตามตัวอักษร”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งบีบนิ้วมือแล้วกดเพลิงโทสะลงไป นางจะไม่ปะทะคามรมกับเฉียวเวย นางหันไปมองผู้อาวุโสใหญ่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เมื่อวานในตำหนักมีเรื่องด่วน ข้าจึงพาทุกคนกลับมาก่อน วันนี้ข้าให้ศิษย์น้องทั้งหลายเตรียมข้าวของไว้ส่วนหนึ่งแล้ว กำลังจะนำไปมอบให้เมืองน้อยแห่งนั้นอยู่ประเดี๋ยวนี้”
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวขึ้นว่า “เรื่องข้าวของยังมิต้องรีบร้อน วันนี้ข้ามาเยือนเพราะต้องการพิสูจน์เรื่องหนึ่งกับตำหนักธิดาเทพ”
“เรื่องอันใด” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งปากยิ้มแต่ตาไม่ยิ้ม
ผู้อาวุโสใหญ่เว้นวรรคครู่หนึ่ง “ข้าได้ยินว่าตำหนักธิดาเทพมีคนเลี้ยงแมลงกู่”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งผู้กำลังดื่มชาชะงักไปหนึ่งจังหวะ แววตาของนางวูบไหว มือวางถ้วยชาลงจากนั้นเอ่ยตอบโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “ศิษย์น้องสี่เลี้ยงอยู่ เลี้ยงอยู่สิบกว่าตัวไว้ดูเล่น ผู้อาวุโสใหญ่ทำไมจู่ๆ ถามเรื่องนี้หรือ”
ผู้อาวุโสใหญ่ถามว่า “เลี้ยงไว้เพียงสิบกว่าตัวหรือ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งคลี่ยิ้ม “แน่นอน ตำหนักธิดาเทพจะเลี้ยงแมลงกู่มากมายปานนั้นไปทำอะไร นางก็แค่ว่างไม่มีอะไรทำจึงเลี้ยงไว้สองสามตัวฆ่าเวลาเล่นก็เท่านั้น!”
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวต่อว่า “แต่ข้าได้ยินมาว่าตำหนักธิดาเทพเลี้ยงไว้นับร้อยนับพันตัว เพียงพอจะมอบให้ผู้ที่อาศัยอยู่บนเกาะคนละตัว”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งมือสั่นวูบหนึ่ง “ผู้อาวุโสใหญ่ไปฟังจากที่ใดมา ตำหนักเทพของพวกเรามิใช่ตำหนักไสยศาสตร์ จะทำเรื่องพรรค์นั้นได้อย่างไร”
ผู้อาวุโสใหญ่ขบคิด แล้วเอ่ยว่า “หากสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งไม่ถือสา ให้พวกเราค้นดูได้หรือไม่”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งหน้าบึ้งทันควัน “ผู้อาวุโสใหญ่รู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังพูดอะไรออกมา ตำหนักธิดาเทพสูงส่งเป็นถึงตำหนักเทพ แม้แต่เหอจั๋วก็ไม่มีสิทธิออกคำสั่งค้น ผู้อาวุโสใหญ่ท่านกล้าไม่เคารพตำหนักธิดาเทพได้อย่างไร”
เฉียวเวยจิ๊ปากแล้วส่ายหน้า “ดูสิดู พวกท่านปล่อยปละจนคนกลุ่มนี้ไม่รู้จักกลัวเกรง พวกท่านจะปล่อยให้พวกนางทำร้ายคนทั้งเกาะจนหมดเผ่าพงศ์สิ้นวงศ์ตระกูลให้ได้เลยใช้หรือไม่!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งถลึงตาใส่เฉียวเวยอย่างเย็นชา “จั๋วหม่าน้อย เจ้าพูดเหลวไหลอันใด!”
เฉียวเวยถลึงตาตอบ “ผู้อาวุโสใหญ่ อย่าเปลืองน้ำลายกับนางเลย รีบค้นเถอะ!”
“ผู้ใดกล้าค้นตำหนักธิดาเทพ” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน
ผู้อาวุโสใหญ่ก็ลุกขึ้นยืนบ้าง เขาโต้เถียงอย่างมิยอมถอยแม้แต่น้อย “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง ล่วงเกินแล้ว หากวันนี้ค้นไม่พบสิ่งใด ข้าย่อมน้อมรับความผิดต่อหน้าธารกำนัลแน่นอน”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเสียงดัง “เจ้าน้อมรับความผิดแล้วจะชดเชยความเสียหายที่ตำหนักธิดาเทพถูกทำให้แปดเปื้อนได้หรือ”
เฉียวเวยว่าอย่างขบขัน “เจ้าจะมีสิ่งใดเสียหายกัน ประการแรกไม่ได้ทำลายข้าวของของเจ้า ประการที่สองไม่ได้สังหารศิษย์ของเจ้า ค้นอย่างไรก็คืนให้เจ้าอย่างนั้น วันนี้คนที่พามามีแต่คนสนิทของผู้อาวุโสใหญ่ พวกเขาไม่มีทางพูดจาเหลวไหลอย่างแน่นอน ดังนั้นหากเจ้าคิดจะบอกว่าเรื่องวันนี้เล่าลือออกไปจะทำให้ผู้คนสงสัยในบารมีของตำหนักธิดาเทพ ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องห่วง! นอกเสียจากว่า…พวกเราจะค้นเจออะไรเข้าจริงๆ! แต่ข้าว่าน่าจะไม่กระมัง ในใจข้าเชื่อถือตำหนักธิดาเทพของพวกเจ้าอย่างยิ่งมาตลอด”
เชื่อถือ? เชื่อถือแล้วพาคนมาค้น สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งมองเฉียวเวยด้วยดวงตาวาวโรจน์ “จั๋วหม่าน้อย เจ้าอย่ามาทำเล่นลิ้น”
ผู้อาวุโสใหญ่เดินมาหน้าเฉียวเวย บังสายตาของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับจั๋วหม่าน้อย ข้าต้องการค้นเอง”
ปลายหางตาของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเหลือบมองโถงทางเดินด้านข้าง ในโถงทางเดิน สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกส่งสัญญาณมือให้นาง มุมปากของนางยกโค้ง ไม่นานก็กดลงไปอีกหน ราวกับว่าภาพนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
นางหมุนตัวไปมองเฉียวเวยที่อยู่ด้านหลังผู้อาวุโสใหญ่ “ได้ ค้นก็ค้นสิ ตำหนักธิดาเทพสง่าผ่าเผย ไม่มีสิ่งใดให้พวกเจ้าค้นไม่ได้ แต่พวกเจ้าท้าทายอำนาจของตำหนักธิดาเทพก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนกันบ้าง มิเช่นนั้นวันหน้าผู้ใดฟังคำใส่ร้ายป้ายสีมาอีก วันนี้คนนี้มาค้น วันพรุ่งนี้คนนั้นมาค้น ตำหนักธิดาเทพของข้าจะได้ทำกิจธุระอีกหรือ”
“เจ้าจะเอาอย่างไร” เฉียวเวยถาม
สตรีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยอย่างลำพอง “หากค้นไม่เจอสิ่งใด เจ้าต้องคุกเข่าอยู่ข้างนอกโขกศีรษะสามหนคำนับข้าเป็นอาจารย์ มาเป็นศิษย์คนสุดท้ายของข้า”
ภรรยาของโหราจารย์กราบสตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นอาจารย์ นี่เป็นการตบหน้าตำหนักโหราจารย์อย่างแท้จริง!
นางปีศาจเฒ่า ความตายจะมาเยือนศีรษะอยู่แล้วยังไม่ลืมข่มตำหนักโหราจารย์ ดี นางก็อยากดูซิว่าสุดท้ายแล้วผู้ใดจะข่มผู้ใดกันแน่!
“ข้ารับปากเจ้า!”
ผู้อาวุโสใหญ่สั่งองครักษ์ให้ปิดตำหนักธิดาเทพทันที แมลงวันสักตัวก็ห้ามปล่อยออกไป หลังจากนั้นจึงปูพรมค้นตำหนักธิดาเทพ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งจิบชาอย่างสบายใจ แมลงกู่ถูกลูกศิษย์ของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกย้ายออกไปแล้ว ตอนนี้เพิ่งจะปิดตำหนักธิดาเทพ ฮ่าๆ สายไปแล้ว
ภูเขาด้านหลังตำหนักธิดาเทพเป็นผืนดินดีที่มีทิวทัศน์งดงาม ที่แห่งนี้ไม่เพียงมีพืชพรรณงอกงามสกุณาโผบิน แต่ยังมีบุปผาเบ่งบานจนเหมือนผืนอาภรณ์ จากด้านหลังเขาไปทางตะวันออกมีหุบเขาแห่งหนึ่ง ภายในหุบเขาปลูกดอกไม้ประหลาดเอาไว้ ดอกไม้เหล่านี้ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดพิเศษ แต่พวกมันกลับมีพิษร้ายแรง หากคนที่ไม่เข้าใจค่ายกลพลัดหลงเข้าไปในหุบเขาก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะหลงอยู่ในค่ายกล
ศิษย์หญิงสามนางหามหีบใบใหญ่ลอดผ่านหุบเขา นี่เป็นหีบสามใบสุดท้าย ส่วนที่เหลือถูกเผาทำลายจนหมดแล้ว หากทำลายหีบสามใบนี้เสร็จก็จะไม่มีผู้ใดจับจุดอ่อนของตำหนักธิดาเทพได้อีกต่อไป
ทั้งสามคนแลกสายตาอันมุ่งมั่นแล้วเร่งฝีเท้าเดินผ่านหุบเขา
ทั้งสามคนวางหีบลงบนพื้น จากนั้นราดขี้ผึ้งเหลว จุดไต้ไฟโยนลงบนหีบ!
ฟิ้ว!
แสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งวาบผ่านไป! มันโฉบคาบไต้ไฟ! จากนั้นสะบัดหัวเหวี่ยงไต้ไฟเข้าไปในหุบเขา
ศิษย์หญิงทั้งสามนางตกตะลึง
ลูกเพียงพอนจากที่ใด กล้ามาทำลายเรื่องดีงามของพวกนาง!
ศิษย์หญิงชักกระบี่ข้างกายออกมาฟันเจ้าก้อนน้อยสีขาวก้อนนั้น
เจ้าก้อนน้อยสีขาวเผ่นแผล็ว หลบซ้ายหลบขวา พวกนางฟันจนเหงื่อโชกศีรษะ ทว่าแม้กระทั่งขนเพียงพอนสักเส้นก็ฟันไม่โดน
เจ้าก้อนน้อยสีขาวมองพวกนางทั้งสามคน แล้วเบ่งกล้ามแขน
กินผลสองภพสิบกว่าผลเข้าไปไม่เสียเปล่าจริงๆ ตอนนี้ข้าเรี่ยวแรงมหาศาล!
ศิษย์หญิงที่เป็นหัวหน้าใช้วิชาตัวเบา ฟันหนึ่งกระบี่ใส่เสี่ยวไป๋!
เสี่ยวไป๋กระโจนตัวลอย กรงเล็บหนึ่งข้างตบนางทีเดียวปลิวออกไป!
ศิษย์หญิงชนกับต้นไม้ใหญ่ด้านหลังร่าง กระแทกจนหน้าอกเจ็บแปลบ ขณะที่นางโจมตีเข้าใส่เสี่ยวไป๋อีกหน ศิษย์หญิงอีกสองนางก็ตะโกนเสียงแหลม “ศิษย์พี่แย่แล้ว! หีบวิ่งไปแล้ว!”
ศิษย์หญิงเพ่งสายตามองก็เห็นหีบใหญ่สองใบลอยเหนือพื้นจากไปอย่างรวดเร็วจริงๆ
จูเอ๋อร์ยกหีบใหญ่ใบหนึ่ง ต้าไป๋ยกหีบใหญ่อีกใบหนึ่ง แต่ร่างกายของเดรัจฉานน้อยทั้งสองตัวเล็กเกินไปแล้วจริงๆ จึงถูกหีบบังไว้จนมิด เมื่อมองดูจึงเห็นแต่หีบมิเห็นพวกมัน จะไม่เหมือนหีบกำลังวิ่งได้หรือ
ตอนนี้ศิษย์หญิงไม่มีกะจิตกะใจจะต่อสู้ติดพันกับเสี่ยวไป๋แล้ว นางกำกระบี่ไล่ตามหีบที่ลอยหนีทั้งสองใบนั้นไป
‘หีบ’ เจ้าเล่ห์เหลือเกิน นางจับไม่ได้เสียที!
นางอยากดูเหลือเกินว่าข้างใต้เป็นตัวอะไรกันแน่!
ศิษย์หญิงหมอบลงกับพื้น มองเข้าไปใต้หีบ ไหนเลยจะคิดว่าตอนนี้เองหีบใบหนึ่งก็หยุดนิ่ง นางเพ่งสายตามองจึงเห็นว่าหีบใบนั้นถูกเทินไว้บนหินก้อนหนึ่ง ในใจนางเกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นมาทันควัน ขณะที่กำลังจะลุกขึ้น หันกลับมาก็ถูกกระทะเหล็กใบน้อยฟาดจนฟุบ!
จูเอ๋อร์เก็บกระทะเหล็กใบน้อยเสร็จก็ชูเล็บที่เพิ่งทาสีแดงสดขึ้นมาเป่าเบาๆ แล้วเดินเชิดจากไปอย่างสง่างามเหมือนเฮ่อหลันชิงอย่างยิ่ง
ศิษย์น้องทั้งสองคนเห็นศิษย์พี่ถูกลอบเล่นงานก็รีบเข้าไปช่วย คนหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ตรงนี้ยังมีเจ้าตัวเล็กอีกตัว!”
ศิษย์หญิงอีกคนดวงตาฉายแววเหี้ยม “กินฝ่ามือข้าเถอะ!”
ไหนเลยจะรู้ว่านางเพิ่งเงื้อมือขึ้นยังไม่ทันฟาดลงไป เสี่ยวไป๋ก็ตาเหลือกล้มลงไปสลบบนพื้นแล้ว!
ศิษย์หญิงทั้งสองงุนงง
ศิษย์พี่ตวาดเกรี้ยวกราด “พวกเจ้ายังงงอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบโจมตีเข้าไปอีก!”
ทั้งสองคนจึงปรี่เข้าไป สามคนร่วมแรงกันจนในที่สุดก็แย่งหีบกลับมาได้ ทว่าตอนที่พวกนางขนหีบกลับมาถึงจุดเดิมก็รู้สึกเหมือนล้มทั้งยืนเมื่อพบว่าหีบใบที่สามหายไปแล้ว!
…
เสี่ยวไป๋ยกหีบวิ่งลอดพุ่มไม้ กระโจนข้ามพุ่มหนาม มิหวั่นเกรงหนทางไกลพันลี้ วิ่งกลับมายังตำหนักธิดาเทพโดยไม่แวะพัก จากนั้นจับหีบโยนโครมลงตรงหน้าสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งต่อหน้าสายตาของทุกคนที่กำลังตาโตอ้าปากค้าง
Comments