หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก 432-2 ล่องูออกจากถ้ำ (2)

Now you are reading หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก Chapter 432-2 ล่องูออกจากถ้ำ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 432-2 ล่องูออกจากถ้ำ (2)

ครั้งนี้เฉียวเวยจะไม่ให้นางหนีไปอีก นางวิ่งหนึ่งช่วงถนน เฉียวเวยนั่งหนึ่งช่วงถนน หากว่าเรื่องพละกำลังแล้ว นางสู้เฉียวเวยไม่ได้ เฉียวเวยพลิกตัวลงจากหลังม้า ก้าวเร็วๆ ไปตรงหน้านางแล้วขวางทางนางไว้ จากนั้นก็หันกลับมามองนางด้วยสีหน้าดุดัน “หนีต่อสิ”

ฟู่เสวี่ยเยียนหยุดเดิน

เฉียวเวยมองอีกฝ่ายด้วยความผิดหวัง “ฟู่เสวี่ยเยียน ตระกูลจีดีต่อเจ้าไม่น้อย เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้ ตอนข้ากับหมิงซิวพูดคุยกันเรื่องวังใต้ดิน จู่ๆ ก้ได้รู้ว่าเจ้ามาอยู่ข้างนอก ต่อให้ในชั่วเวลานั้น ข้าก็ไม่เคยคิดสงสัยเจ้า ข้าคิดมาตลอดว่าต่อให้เจ้าไม่ได้ลงเอยกับหมิงเยี่ย แต่อย่างไรพวกเราสองคนก็จะเป็นเพื่อนกันได้”

นัยน์ตาฟู่เสวี่ยเยียนมีแววซับซ้อนวาบผ่าน

เฉียวเวยเดินบีบเข้าไปหานาง “เหตุใดเจ้าถึงต้องยิงข้า ข้ากับเจ้ามีความแค้นอันใดต่อกัน”

“เจ้าอย่าเข้ามา” ฟู่เสวี่ยเยียนบอก

เฉียวเวยเอ่ยเสียงเย็นว่า “ถ้าข้าจะเดินเข้ามาให้ได้ เจ้าจะทำอะไรข้า เจ้าคิดว่าข้ายังจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งที่สองหรือ ให้เจ้าได้ยิงฆ่าปางตายอีกครั้งงั้นหรือ เจ้าอย่าฝันไปเลย!”

พูดจบเฉียวเวยก็มาถึงตรงหน้านาง แล้วจับธนูในมือนางไว้

ฟู่เสวี่ยเยียนยกมือขวาขึ้นจะฟาดใส่หัวไหล่เฉียวเวย

เฉียวเวยเบี่ยงตัวหลบ มือเรียวอ้อมผ่านธนูไปจับข้อมือนางไว้ แล้วจับบิดให้มือนางปล่อยออก ธนูจันทร์โลหิตก็เข้ามาแขวนอยู่ที่แขนของเฉียวเวย

ฟู่เสวี่ยเยียนจะแย่งกลับไป

มีหรือเฉียวเวยจะปล่อยให้นางได้สมหวัง นางยกมือขึ้นคว้าข้อมือที่ยื่นมาของอีกฝ่าย แต่แล้วจู่ๆ ฟู่เสวี่ยเยียนก็ยิงธนูดอกหนึ่งออกจากแขนเสื้อ สายตาเฉียวเวยพลันสั่นไหว เบี่ยงศีรษะเอียงหลบ

ในทันใดนั้น ฟู่เสวี่ยเยียนชักกระบี่อ่อนตรงเอวออกมาแล้วแทงเข้าใส่เฉียวเวย!

จังหวะที่ปลายกระบี่จะฟันเข้าที่คอของเฉียวเวยนั้น มือนางก็พลันชะงัก เปลี่ยนเป็นใช้ฝ่ามือแทน เฉียวเวยถูกฟาดใส่หัวไหล่จนถอยหลังไปสองก้าว ตัวชนเข้ากับกำแพง

ฟู่เสวี่ยเยียนแย่งธนูจันทร์โลหิตกลับมา

เฉียวเวยนับว่าถูกทำให้เดือดดาลขั้นสุดแล้ว นางชักกริชเฟิ่นเทียนออกมาแทงใส่ฟู่เสวี่ยเยียนอย่างดุดันทันที

ฟู่เสวี่ยเยียนรู้ว่าตนหลบไม่ทันแน่ๆ ด้วยอารามรีบร้อน นางหลับตาปี๋ตามสัญชาตญาณพร้อมกับมือที่ดึงสายธนูออก

พูดให้ถูกก็คือ ดึงสายธนูก็จริง แต่กลับดึงไม่ออก

ฟู่เสวี่ยเยียนดึงไม่ออกหรือนี่!

แขนของเฉียวเวยพลันแข็งค้าง

ในขณะนั้นเอง ศิษย์เอกของตำหนักราชครูรีบร้อนมาถึง เมื่อวานเขายังไม่ทันได้พูดให้จบ คืนนี้จึงรับคำสั่งของราชครูให้มาบอกความให้กระจ่าง เดิมทีคิดจะลอบเข้าบ้านตระกูลจีอย่างลับๆ ไหนเลยจะรู้ว่าจะได้มาเจอกันกลางทางเช่นนี้ เพียงแต่พอเขาเข้ามาใกล้ถึงได้เห็นว่าตรงมุมตึกนั้นยังมีสตรีอีกนางหนึ่งอยู่ด้วย

“เจ้าคือ…” ศิษย์เอกมองประเมินฟู่เสวี่ยเยียนขึ้นลงทีหนึ่ง ฟู่เสวี่ยเยียนใส่ผ้าปิดหน้าอยู่ เขาจึงจำนางไม่ได้ เพียงแต่เขาเห็นธนูคันนั้น “เอ๋? ธนูจันทร์โลหิต?”

เฉียวเวยหันไปมองฟู่เสวี่ยเยียนแล้วดึงเอาธนูคันนั้นกลับมา

ศิษย์เอกในตอนนั้นไม่มีเวลาสนใจสตรีปิดหน้านางนั้น เขาดึงตัวเฉียวเวยไปกระซิบบอกว่า “อาจารย์บอกว่าสถานการณ์ค่อนข้างคับขัน ให้ข้ารีบมาหาเจ้า”

“เรื่องที่เมื่อวานยังบอกไม่จบน่ะหรือ” เฉียวเวยถาม

ศิษย์เอกพยักหน้า

เฉียวเวยถามว่า “เรื่องอันใดกันแน่”

ศิษย์เอกบอกว่า “เรื่องที่เมื่อตอนนั้นอวิ๋นจูใช้เลือดล้างตำหนักราชครูนั่นแหละ เวลานั้นเรื่องที่อวิ๋นจูกับอาจารย์ของข้าประชันเวชากัน พวกเจ้าคงเคยได้ยินกระมัง”

เฉียวเวยบอกว่า “เคยได้ยิน อาจารย์ของเจ้าแพ้เสียหมดรูป ทำไมหรือ”

ศิษย์เอกถอนหายใจ “เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดอาจารย์ข้าถึงพ่ายแพ้”

“เพราะเหตุใดหรือ” เฉียวเวยถาม

ศิษย์เอกส่ายศีรษะบอกว่า “เพราะในมืออวิ่นจูก็มีธนูจันทร์โลหิตอยู่คันหนึ่ง ธนูคันนั้นยังร้ายกาจกว่าธนูของตำหนักราชครูอยู่หลายส่วนเสียด้วย ดังนั้นอวิ๋นจูถึงได้สังหารคนจำนวนมากเพียงนั้นได้ภายในชั่วเวลาสั้นๆ นางแทบจะเหมือนกับปีศาจ… คนที่รู้เรื่องนี้ไม่ตายไปก็เสียสติไป อาจารย์ของข้าเป็นผู้เห็นเหตุการณ์อันน่าสยองนั้น ถึงแม้จะทั้งไม่ตายและสติไม่ฟั่นเฟือน แต่กลับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรงเช่นกัน…”

เฉียวเวยเอ่ยแทรกเขา “เข้าประเด็นหน่อย ข้าไม่สนใจอาการของอาจารย์เจ้า!”

ศิษย์เอกบอกว่า “ประเด็นสำคัญก็คือ คนเยี่ยหลัวมองว่าธนูจันทร์โลหิตเป็นของศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักราชครูมาตลอด ตำหนักราชครูไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่าข้างนอกยังมีธนูจันทร์โลหิตที่กล้าแกร่งกว่าอยู่อีก ดังนั้นจึงไม่ได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป กระทั่งราชาเยี่ยหลัวก็ยังไม่รู้เรื่องนี้”

เฉียวเวยขมวดคิ้ว “ความหมายของเจ้าคือ นอกจากอวิ๋นจูแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าในโลกหล้านี้ยังมีธนูจันทร์โลหิตคันที่สองอยู่?”

“ใช่แล้ว” ศิษย์เอกพยักหน้า

เฉียวเวยเอ่ยอย่างใช้ความคิด “หากไม่มีผู้ใดรู้ว่าในโลกหล้านี้มีธนูจันทร์โลหิตคันที่สองอยู่ คนผู้นี้…จะขโมยธนูคันที่สองมาได้อย่างไร”

ศิษย์เอกถอนหายใจบอกว่า “นี่ก็เป็นเหตุที่อาจารย์ข้าให้ข้ามาหาเจ้า อาจารย์ข้าคิดมาตลอดว่าสตรีนางนั้นขโมยธนูจันทร์โลหิตมาจากอวิ๋นจู แต่พอวันนั้นได้ยินพวกเจ้าบอกว่า แท้จริงแล้วธนูคันนั้นเคยเป็นขององค์หญิงมาก่อน อาจารย์ข้าถึงได้กระจ่างแจ้งแก่ใจ!”

เฉียวเวยก็กระจ่างแจ้งแก่ใจเช่นกัน

นางก็เคยไม่เข้าใจมาก่อน องค์หญิงเจาหมิงได้ธนูคันที่สองมาได้อย่างไร นางยังคิดว่าเป็นของตระกูลกู่ ผู้ใดจะคิดว่าเป็นอวิ๋นจูที่ให้นางมา

หากธนูนี้อวิ๋นจูเป็นคนให้เจาหมิง เช่นนั้นอวิ๋นจูจะต้องเคยพบเจาหมิงแน่นอน ซ้ำยังรู้จักกับเจาหมิงด้วย!

บางทีอาจจะเพื่อชดเชยสิ่งที่นางติดค้างกับบุตรสาวมาตลอดหลายปี อวิ๋นจูถึงได้เอาธนูคันที่สองมอบให้เจาหมิง

แต่เรื่องนี้ แม่ลูกทั้งสองคนไม่ได้บอกแก่ใครทั้งสิ้น กระทั่งตระกูลกู่ก็ยังไม่รับรู้ ดังนั้น คนที่รู้ว่าเจาหมิงมีธนู…ก็มีเพียงคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น

ใครกันจะอยู่ตอนที่สองแม่ลูกได้พบหน้ากันได้

ดูเหมือนคำตอบจะมีให้เห็นแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด