หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก 82-1 อยู่ลำพังท่ามกลางราตรี

Now you are reading หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก Chapter 82-1 อยู่ลำพังท่ามกลางราตรี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 82-1 อยู่ลำพังท่ามกลางราตรี
วัสดุมากมายที่นายท่านหกหามาล้วนขายให้เฉียวเวยเท่าทุน ในเมื่อราคาถูก เฉียวเวยก็ไม่ต้องเคร่งกับการคำนวณปริมาณแล้ว นางปูห้องทั้งหมดด้วยแผ่นหินเขียว ลานบ้านก็เตรียมจะปูส่วนหนึ่งด้วย สาเหตุหลักก็เพื่อป้องกันยามฝนตกดินกลายเป็นโคลนเลนจนเดินเหินไม่สะดวก

นายช่างทั้งหลายล้วนเป็นผู้ชำนาญงานด้านนี้ เฉียวเวยเพียงบอกคร่าวๆ ว่าตนเองต้องการบ้านแบบใด ทุกคนก็ล้วนเข้าใจ หัวหน้าช่างรับเหมาคือนายช่างแซ่เจิ้งผู้มาจากหมู่บ้านข้างๆ ระหว่างที่เฉียวเวยกำลังพูดอยู่ เขาก็วาดแปลนคร่าวๆ ขึ้นมาด้านข้างได้แล้ว ไม่ต้องใช้ไม่บรรทัดสักอัน เส้นก็ตรงจนชวนให้คนอึ้งทึ่ง

เฉียวเวยเห็นแล้วอยากจะอุทานเสียงดังๆ ว่า ‘นี่มันยอดฝีมือในหมู่ชาวบ้าน!’

ห้องหลักห้าห้อง ห้องท้ายเรือนสามห้อง ลานหน้าบ้าน ลานกลางบ้านและสวนดอกไม้ด้านหลัง เป็นไปตามความต้องการของเฉียวเวยทุกประการ

ตอนเฉียวเวยซื้อที่ดิน นางซื้อมาราวหนึ่งในสามหมู่ เมื่อได้มาไว้ในมือจึงพบว่าหัวหน้าหมู่บ้านแบ่งที่ดินเพิ่มมาให้นางอีกนิดหน่อยราวหลายสิบตารางเมตร หลายสิบตารางเมตรนี้ฟังดูแล้วไม่นับเป็นอะไร แต่เมื่อตัดต้นไม้ด้านข้างออกสักหน่อยก็เป็นพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ผืนหนึ่งทีเดียว

“ข้าแนะนำให้เจ้าปลูกไผ่ไว้ส่วนหนึ่งที่ลานด้านหน้าหรือสวนด้านหลัง” นายช่างเจิ้งเสนอ

เฉียวเวยพยักหน้า ยอมไม่มีเนื้อกินดีกว่าปลูกเรือนไม่มีต้นไผ่สินะ![1]

“ได้ยินว่าเจ้าทำการค้าอยู่” นางช่างเจิ้งถามขึ้นมา

เฉียวเวยขยับยิ้ม “แค่ค้าขายเล็กน้อย”

เห็นชัดว่านายช่างเจิ้งชื่นชมนิสัยถ่อมตนของนางยิ่งนัก ไม่เหมือนหญิงชาวบ้านบางพวก ทำอะไรสำเร็จนิดๆ หน่อยๆ ก็พยายามยกยอตนเอง เหมือนกลัวผู้อื่นไม่รู้ว่านางเก่งเพียงไร ร้ายกาจเพียงใด “ที่ดินผืนนี้ เจ้าคิดจะทำสิ่งใด”

ก่อนนี้เฉียวเวยไม่คิดว่าจะมีที่เพิ่มมามากเช่นนี้ ชั่วขณะจึงคิดไม่ออกว่าจะใช้มันทำอันใด แต่จะปล่อยว่างไว้เช่นนี้หรือ ใจก็ไม่ยินยอม

“นายช่างเจิ้งมีคำแนะนำดีๆ บ้างหรือไม่” นางขอคำชี้แนะอย่างไม่ทะนงตน สามร้อยหกสิบห้าสายงาน แต่ละสายงานล้วนมีปราชญ์ของสายงานนั้น ในด้านก่อสร้าง ตนเองเป็นเพียงไก่อ่อนคนหนึ่งอย่างแท้จริง

ไม่มีผู้ใดมิชอบถูกยกยอ นับประสาอะไรกับหญิงสาวมากความสามารถเช่นนี้เป็นผู้เอ่ยชม นายช่างเจิ้งสีหน้าเบิกบานขึ้นหลายส่วน “ข้าคิดว่าเจ้าสร้างโกดังขนาดใหญ่สักหลังหนึ่งได้ อนาคตยามการค้าของเจ้าใหญ่โต ต้องการกักตุนสินค้าก็จะไม่ต้องกังวลว่าไม่มีสถานที่”

กล่าวคำเดียวคนบรรลุ ยิ่งกิจการนางใหญ่โตขึ้น ต่อให้ขายได้ไว แต่นางก็ทำได้ไวเช่นเดียวกัน จึงต้องการโกดังขนาดใหญ่หน่อยสักหลังหนึ่งจริงๆ

“ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามที่นายช่างเจิ้งว่า!” บุรุษผู้นี้สายตาดีจริงๆ เก็บตัวเป็นเพียงนายช่างในหมู่บ้านเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายความสามารถของเขา เฉียวเวยคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยความสงสัยในใจออกมา “นายช่างเจิ้งมีความสามารถเช่นนี้ มิคิดไปหาความก้าวหน้าในเมืองบ้างหรือ”

นายช่างเจิ้งคล้ายหวนนึกถึงบางสิ่ง ใบหน้าเผยรอยยิ้มเหนื่อยล้าออกมา “อายุมากแล้ว เหน็ดเหนื่อยไม่ไหว สิ่งใดเล่าจะดีไปกว่าได้ซุกกายบนเตียงเตากับภรรยาเฒ่าและลูกๆ”

เฉียวเวยคิดถึงเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองของตนแล้วเข้าอกเข้าใจยิ่งนัก ชาติก่อนนางวิ่งไปได้ทุกเมืองเพื่อหาเงิน แต่ยามนี้ทำไม่ได้แล้ว นางมีลูกน้อยที่ต้องการนางและนางก็ต้องการพวกเขาอยู่สองคน ไม่พบหน้ากันวันหนึ่งก็ทำให้นางคิดถึงแทบตายแล้ว นางไม่มีวันใจแข็งแยกจากพวกเขาไปต่างถิ่นเพื่อสมบัตินอกกาย

“สระน้ำนี่ของเจ้า…จะไว้ใช้ทำสิ่งใด” นายช่างเจิ้งเอ่ยถาม

เฉียวเวยเขินอายเล็กน้อยยามบอกว่าตัวนางอยากสร้างสระว่ายน้ำ ในยุคปัจจุบันการสวมชุดว่ายน้ำไปสระว่ายน้ำเป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก แต่ในยุคโบราณ น่ากลัวว่าผู้คนส่วนใหญ่คงไม่ยอมรับ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็คลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ฤดูร้อนมาถึงแล้ว ข้าอยากสอนลูกทั้งสองคนว่ายน้ำ”

นายช่างเจิ้งแย้งว่า “จะว่ายน้ำ ตรงตีนเขาก็มี แล้วก็มีไม่น้อยด้วย เพียงหมู่บ้านของพวกเจ้าข้าก็เห็นบ่อน้ำสองแห่ง แม่น้ำอีกหนึ่งสายแล้ว”

ต้องลงไปถึงตีนเขาที่ไหนเล่า บนเขาก็มีแล้ว เฉียวเวยยิ้มตอบ “ลงเขาลำบากเกินไป”

นายช่างเจิ้งขมวดคิ้ว “เจ้าขุดที่นี่ไม่ลำบากหรือไร เจ้าจะแบกน้ำมาจากไหน เจ้าอย่าบอกข้านะว่าเจ้าจะแบกมาทีละถังๆ”

เฉียวเวยหัวเราะพรืด “ไม่ใช่แน่นอน นายช่างเจิ้ง บนเขามีตาน้ำพุอยู่ห่างจากบ้านข้าไม่ไกล ชักมาก็พอแล้ว”

“เจ้าจะขุดคลองหรือ”

“กล่าวเช่นนั้นก็ได้กระมัง”

นายช่างเจิ้งมิอาจเข้าใจความสุขของการผลาญเงินเช่นนี้จึงส่ายหน้า คนอายุน้อยสมัยนี้นี่หนา ช่างหาเรื่องลำบากเก่งจริง

นายช่างเจิ้งแบ่งงานให้ทุกคน สองวันก่อนงานหลักคือการรื้อบ้านหลังเดิม เตรียมดินเป็นฐานบ้าน และสร้างที่พักชั่วคราวสองสามหลังกับเพิงหุงหาอาหารด้านข้าง มาถึงวันที่สามจึงเริ่มสร้างบ้านอย่างเป็นทางการ

เฉียวเวยรั้งนายท่านหกไว้ทานข้าวด้วยกัน แต่นายท่านหกโบกมือ “ไม่ต้องหรอก ข้ายังมีธุระที่เมืองหลวงอีก”

“หรือว่าจะเป็น…เรื่องของยิ่นอ๋องหรือ” เฉียวเวยหยั่งเชิงถาม

นายท่านหกพยักหน้า “เจรจากับเขามานานปานนี้ ถึงเวลาให้คำตอบกับเขาแล้ว”

ความสัมพันธ์ระหว่างนายท่านหกกับยิ่นอ๋อง เฉียวเวยล่วงรู้อยู่แล้วไม่มากก็น้อย จึงไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดปิดบังอีก

แม้เฉียวเวยมิทราบว่าทั้งสองคนตกลงเรื่องอันใดเป็นการส่วนตัวกันแน่ แต่เมื่อคิดดูแล้วคงเป็นการค้าครั้งใหญ่ มิเช่นนั้นยิ่นอ๋องคงไม่ยอมก้มหัวลดฐานะครั้งแล้วครั้งเล่า ฝั่งนายท่านหกก็คงไม่ขบคิดนานเช่นนี้

“นายท่านหก เห็นแก่ที่ท่านมอบหมอนมังกรหยกให้ข้า ข้ามีประโยคหนึ่งจะเตือนนายท่านหกจากใจ”

“เจ้าว่ามา”

เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ยิ่นอ๋องผู้นี้ จิตใจซ่อนเร้นล้ำลึก เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ นายท่านหกโปรดพิจารณาให้ดีว่าจะร่วมมือกับคนชั่วเช่นนี้หรือไม่”

นายท่านหกเริ่มแรกอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่จากนั้นก็หัวเราะลั่น “เขาเป็นคนชั่ว ถ้าเช่นนั้นนายท่านหกไยมิใช่คนชั่วช้ายิ่งกว่า ตอนแรกข้ายังเกือบจะจับเจ้าไปเป็น ‘เมียเก็บ’ แล้วมิใช่หรือ!”

เฉียวเวยเอ่ยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “แล้วอย่างไร ท่านเลวก็เลวอย่างเปิดเผย แต่เขาเลวซุกอยู่ข้างใน แม้ท่านดูเป็นคนสารเลว แต่ท่านมีเมตตาต่อผู้ดูแลฉิว กับไท่ฮูหยินก็กตัญญูยิ่งนัก ไหนเลยจะเหมือนเขามือถือสากปากถือศีล ทำเป็นวิญญูชนผู้ถ่อมตัวแต่ลับหลังมิรู้อำมหิตปานใด ท่านรู้หรือไม่ครั้งแรกที่ข้าพบเขา เขากำลังทำสิ่งใด เขายกขบวนคนเป็นร้อยมาเดินโอ้อวดกลางตลาด องครักษ์ของเขาเหมือนสุนัขล่าเนื้อเที่ยวกัดคนไม่เลือกหน้าบนถนนใหญ่ เด็กน้อยคนหนึ่งเกือบถูกม้าขององครักษ์ผู้นั้นเหยียบตาย เขาเป็นนายแต่ไม่เพียงไม่ลงโทษองครักษ์ของตน กลับโยนทองมาก้อนหนึ่งแล้วไล่เด็กคนนั้นราวกับไล่ขอทาน…คนที่แม้แต่เด็กน้อยคนหนึ่งยังไม่เห็นใจสักนิด นายท่านหกยังหวังให้เขามีจิตสำนึกดีงามอีกหรือ เรื่องที่สำนักศึกษาหนานซานครั้งนั้น นายท่านหกก็คงทราบแล้ว ข้าจะไม่พูดมากอีก สรุปก็คือนายท่านหกโปรดตรองให้ดี”

ยิ่นอ๋องหนอยิ่นอ๋อง ผู้ใดให้ท่านล่วงเกินข้า อย่าถือโทษข้าที่ใส่ไฟท่านกับนายท่านหกเลยนะ!

จวนยิ่นอ๋อง

ยิ่นอ๋องให้โรงครัวเตรียมอาหารกับสุราชั้นเยี่ยมที่สุดเอาไว้ แม้แต่เต้าหู้เหม็นที่นายท่านหกชอบกินที่สุดก็ซื้อมาจากหรงจี้ ซื้อแบบที่ยังไม่ผ่านน้ำมัน แยกน้ำราดออกมาต่างหาก รอเพียงนายท่านหกเข้ามาในจวน เขาก็จะให้พ่อครัวโยนเต้าหู้เหม็นลงกระทะน้ำมัน

เขามองนาฬิกาทรายบนผนัง ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเค่อก่อนถึงเวลานัด

เขาอารมณ์ดีอย่างประหลาด หากการค้าครั้งนี้สำเร็จ เขาก็จะได้เครื่องบรรณาการมาเพิ่มอีกหลายแสนตำลึง

เขาฐานะสูงศักดิ์เป็นถึงราชวงศ์ แม้ไม่ต้องกังวลเรื่องของกินของใช้ แต่ผู้ใดรังเกียจเงินมากกันบ้างเล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการติดสินบนในราชสำนักต้องใช้เงินไม่น้อย

“ท่านอ๋อง!” ขันทีหลิวถือแส้ปัดฝุ่นเดินเข้ามา

“นายท่านหกมาถึงแล้วหรือ” ยิ่นอ๋องถามขึ้นด้วยน้ำเสียงยินดี

ขันทีหลิวเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ท่านอ๋อง นายท่านหกส่งคนมาแจ้งว่าทางฝูเจี้ยนเกิดเรื่องด่วน เขาออกจากเมืองหลวงไปแล้ว บอกว่าขออภัยท่านอ๋อง การค้านี้น่าจะต้องรอเขากลับมาค่อยคุยกัน แต่จะกลับมายามใดแน่ ตัวเขาเองก็บอกไม่ได้”

คนโง่ยังฟังออกว่านายท่านหกปฏิเสธยิ่นอ๋อง

แต่ครั้งก่อนคุยกันดีๆ อยู่แท้ๆ หลายวันนี้เขาเองก็ส่งของขวัญไปจวนสกุลลู่ราวกับไม่ต้องการเงินทอง นายท่านหกล้วนรับไว้ด้วยความยินดี นี่ไม่ได้หมายความว่าจะร่วมงานกันแล้วคืออันใด

“เหตุใดอยู่ดีๆ เขาจึงเปลี่ยนใจกะทันหัน” ยิ่นอ๋องกำหมัดแน่น ถูกคนปฏิเสธไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวก็คือถูกคนปล่อยให้รอเก้อ

ขันทีหลัวสีหน้าเหมือนจะร่ำไห้ “บ่าวเองก็กลุ้มใจเช่นกัน ท่านอุตส่าห์ลดตัวไปประจบเขาเช่นนั้น เขาก็เหมือนจะพอใจท่านยิ่งนัก เหตุไฉนบอกจะไปก็ไป”

ยิ่นอ๋องลูบแหวนหยกที่มือซ้าย “หลายวันนี้เขาไปสถานที่ใดเป็นพิเศษบ้าง”

ขันทีหลิวคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยตอบ “สถานที่พิเศษหรือ ก็มีโรงอิฐ จวนสกุลลู่…อ้อ! เขาไปหมู่บ้านซีหนิวอยู่สองครั้ง ครั้งหนึ่งไปขอบคุณหญิงชาวบ้านตัวน้อยคนนั้นที่ช่วยมารดาของเขาไว้ อีกครั้งหนึ่งเหมือนเขาจะไปร่วมสังสรรค์ตอนหญิงชาวบ้านคนนั้นจะสร้างบ้าน”

เรื่องที่เฉียวเวย ‘ทำคลอด’ ให้ไท่ฮูหยิน ยิ่นอ๋องทราบแล้ว แต่เขาไม่รู้รายละเอียดในเรื่องนั้นชัดเจน เพียงคิดว่าเฉียวเวยสั่งยาอันใดให้ไท่ฮูหยินจนรักษาโรค ‘ตั้งครรภ์นานหลายปีไม่คลอด’ ของไท่ฮูหยินจนหายดีเท่านั้น

คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวไม่รู้วิชาแพทย์ ยิ่นอ๋องยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายมิใช่เฉียวเวยแห่งจวนเอินปั๋ว

“ท่านอ๋อง! คงมิใช่ว่าหญิงชาวบ้านผู้นั้นพูดเหลวไหลอันใดกระมัง โธ่เอ๋ย เงินหลายแสนตำลึงหายไปเช่นนี้! แม่นางน้อยใจดำคนนั้น ตอนแรกข้าสมควรตบนางสักฝ่ามือ!” ขันทีหลิวปวดใจจนน้ำตาไหล

แววตาของยิ่นอ๋องเย็นยะเยือกทันใด สตรีนางนั้นเหมือนโผล่มาข่มเขาอย่างไรอย่างนั้น เขากับนายท่านหกนัดกันสามครั้ง ทั้งสามครั้งต้องถูกนางก่อกวนจนพัง ครั้งแรกที่เหลาสุรา ครั้งต่อมาที่โรงอิฐ แล้วอีกครั้งก็ตอนนี้!

ที่แท้นางตั้งใจหรือไม่!

เฉียวเวยผู้ไม่รู้เลยว่าตนเองก่อกวนให้คนอื่นเสียเงินไปหลายแสนตำลึงกำลังนอนนับเงินอยู่บนเตียง หมอนมังกรหยกสีเขียวนอนนิ่งอยู่ข้างกายนาง แสงเทียนไขสลัวทำให้มันราวกับเปล่งแสงได้ ทั่วทั้งก้อนมีสีเขียวเรืองๆ ลอยล้อมรอบอยู่

“หนึ่งตำลึง สองตำลึง สามตำลึง…”

เฉียวเวยนับทีละก้อน

ป้าหลัวเลิกม่านเดินเข้ามา “ยังไม่นอนอีกหรือ”

บ้านบนภูเขาถูกรื้อไปแล้ว เฉียวเวยจึงพาเด็กๆ ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของป้าหลัว อาศัยอยู่ในห้องของหลัวหย่งเหนียน ทุกคืนหลัวหย่งจื้อจะนอนที่เพิงบนภูเขา คอยเฝ้าของกองพะเนินนั่นไว้

เฉียวเวยลุกขึ้นนั่งแล้วเอ่ยอย่างอารมณ์ดียิ่งนัก “แม่บุญธรรม ข้ายังเหลือเงินอีกมากมายเชียว!”

“อะไรกันยังเหลืออีกหรือ” ป้าหลัวนั่งลงพลางขยับผ้าห่มของเด็กทั้งสองคน ตอนนี้อากาศร้อนแล้ว เด็กๆ ร่างกายมีธาตุร้อนมาก ห่มผ้าแน่นไปจะเหงื่อออก

เฉียวเวยชี้เงินบนเตียง “ท่านดูสิ ยังเหลืออีกตั้งสิบกว่าตำลึง!”

“ไม่ใช่เคยบอกว่าเงินขาดมือ ใช้ไม่พอหรอกหรือ” ป้าหลัวงุนงง

เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “หากซื้อตามราคาก่อนหน้านี้ต้องไม่พอใช้แน่ แต่นายท่านหกให้ราคาส่งกับข้า แล้วยังมอบหินวัสดุมากมายให้เปล่าๆ อีก คราวนี้ข้าจึงประหยัดได้มากเช่นนี้!”

ป้าหลัวมิทราบเรื่องราวอัน ‘เจ็บปวดจนต้องหลั่งน้ำตา’ ระหว่างเฉียวเวยกับนายท่านหก จึงคิดเพียงว่านายท่านหกเป็นคนดียิ่งนัก ส่วนเฉียวเวยก็รักษามารดาของคนแสนดีผู้นี้จนหายดี “นายท่านหกช่างเป็นคนดีจริงๆ”

โชคดีที่ยามนี้เฉียวเวยมิได้ดื่มชาอยู่ มิเช่นนั้นคงพ่นออกมาจนหมดเป็นแน่ เจ้าอ้วนคนนั้นกับคำว่าคนดีไม่มีส่วนไหนข้องเกี่ยวกันเลยต่างหาก เรือนหลังของเขามีสตรีจากครอบครัวดีๆ ที่ถูกบังคับปล้นชิงมาจากข้างนอกมากมาย หากมิใช่ว่าตนจับพลัดจับผลูช่วยมารดาของเขาไว้ น่ากลัวว่าเขาก็คงไม่ ‘ดี’ กับตนเช่นนี้หรอก

“ล้วนเป็นเพราะเจ้าเก่งกาจ เหตุใดเจ้าจึงรักษาโรคเก่งนักนะ” ป้าหลัวเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

ในใจเฉียวเวยรู้สึกลำพองเล็กน้อย ใช่สิ เหตุใดนางจึงรักษาโรคเก่งนักนะ เหตุใดนางจึงเก่งกาจเช่นนี้นะ โฮะๆ…

เดิมทีคิดว่าจะสร้างบ้านไปพลางหาเงินไปพลาง รอบ้านสร้างได้พอประมาณ ก็คงเก็บเงินซื้อเครื่องเรือนได้พอแล้ว แต่ตอนนี้ในเมื่อ ‘ประหยัด’ จนเหลือเงินมาสิบกว่าตำลึง ย่อมสั่งทำเครื่องเรือนล่วงหน้าได้

ห้องของเด็กๆ ก็จำเป็นต้องใช้เครื่องเรือน ชอบแบบใด เฉียวเวยหวังว่าพวกเขาจะได้เลือกด้วยตนเองก่อน

เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว เฉียวเวยจึงพาเด็กๆ ไปยังบ้านของซิ่วไฉเฒ่า “ท่านอาจารย์ วันนี้พวกท่านหยุดหรือไม่”

“ไม่หยุดเสียหน่อย!” ซิ่วไฉเฒ่าตอบ

“เช่นนั้นหรือ” เฉียวเวยชะงัก แล้วยิ้มละไม “ถ้าเช่นนั้นข้าลาหยุดให้พวกเขาได้หรือไม่ ข้าอยากพาพวกเขาเข้าเมืองไปซื้อของเล็กน้อย” โดดเรียนเพื่อไปซื้อของ เฉียวเวยรู้สึกว่าตนเองทำตัวไม่ดีเอาเสียเลย แต่ความจริงเรื่องนี้จะโทษนางมิได้ ชั้นเรียนของสำนักศึกษาดูเหมือนจะสอนทั้งปีไม่มีวันหยุด ไม่ขอลาก็ออกไปข้างนอกไม่ได้

“ได้ๆ ไปเถิด เที่ยวให้สนุก” ซิ่วไฉเฒ่ากลับรับปากอย่างฉับไวยิ่งนัก

เฉียวเวยพาเด็กๆ ออกมา

เอ้อร์โก่วจื่อกับน้องชายถือม้วนตำราไม้ไผ่กระโดดเข้ามา “อรุณสวัสดิ์ท่านอาจารย์!”

ซิ่วไฉเฒ่าทำหน้าเคร่งขรึม “วันนี้หยุด กลับบ้านไปให้หมด!”

เอ้อร์โก่วจื่อ “…”

เมื่อครู่ได้ยินท่านบอกมารดาของจิ่งอวิ๋นอยู่ชัดๆ ว่าไม่หยุด…

แสงอรุณเพิ่งฉายส่อง เมฆบนผืนนภาทอแสงเรืองรองย้อมท้องนภาสีฟ้าครามให้งดงามขึ้นอีกหลายส่วน

นับตั้งแต่กลายมาเป็นเถ้าแก่น้อยแห่งหรงจี้ เฉียวเวยก็ไม่ได้ทำขนมที่บ้านเองอีก แต่สั่งสอนวิธีทำให้แก่คนครัวของหรงจี้ แล้วให้พวกเขามอบขนมส่วนหนึ่งเป็นของแถมเมื่อลูกค้าสั่งขนมถึงปริมาณที่กำหนด เพราะต้นทุนของขนมลดลง การมอบของแถมจึงมิใช่จะทำไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเพราะวิธีขายเช่นนี้ ลูกค้าที่กลับมากินที่ร้านซ้ำจึงเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย

แม้นางจะมีรายได้แต่ละวันน้อยลง แต่มีส่วนแบ่งกำไรท้ายปีเพิ่มขึ้น ความจริงนับว่าได้กำไรสม่ำเสมอไม่ขาดทุน

“วันนี้ไม่ส่งของหรือ!” ตาเฒ่าซวนจื่อเห็นเฉียวเวยก็ยิ้มแย้มทักทาย

เฉียวเวยยิ้มตอบ “สองวันนี้ไม่ส่ง”

ตาเฒ่าซวนจื่อจึงบอกว่า “ไม่อย่างนั้นนั่งเกวียนเทียมวัวดีหรือไม่ วันนี้คนในหมู่บ้านหลายคนก็นั่งเกวียนเทียมวัว”

“ได้” ถึงอย่างไรก็ไม่รีบ นั่งรถอ้อยอิ่งไปจนถึงเมือง ชมทิวทัศน์ระหว่างทางก็ไม่เลว

จิ่งอวิ๋นปีนขึ้นเกวียนด้วยตนเอง วั่งซูก็อยากปีน แต่ขาป้อมน้อยๆ ของนางก้าวแล้วก้าวอีกก็ปีนไม่ขึ้น ท่าทางน่าขันจนคนบนเกวียนหัวเราะด้วยความขบขัน

ท่านน้าบ้านตระกูลจางยื่นมือมาช่วยดึง วั่งซูจึงปีนขึ้นเกวียนได้สำเร็จ นางพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเอ่ยกับท่านน้าตระกูลจาง “ขอบคุณย่าจาง!”

ท่านน้าตระกูลจางยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ปากหวานจริงเชียว!”

หลังจากนั้น เฉียวเวยก็ขึ้นเกวียนตาม

[1]ยอมไม่มีเนื้อกินดีกว่าปลูกเรือนไม่มีต้นไผ่ หมายความว่ายอมหิวดีกว่ายอมให้ผู้อื่นมาดูถูกว่าไร้รสนิยม

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *