องครักษ์เสื้อแพร 855 ปะทะหลั่งโลหิตหน้าประตู
พระผู่หยวนผู้นี้ตอนนั้นได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมชั่วร้ายมาก ชายฉกรรจ์ชาวบ้านในพื้นที่ออกสู้กับเขาหลายครั้ง แต่ก็ถูกคนผู้นี้นำคนสังหารถอยกลับมาหมด แม้แต่ทางการเองก็ใช่ว่าจะเอาชนะได้
ทะเลสาบไท่หูกว้างใหญ่ เป็นพื้นที่หลายอำเภอ แบ่งแยกไม่ชัด คิดจะจับเขานั้น ก็ต้องได้หนังสือจากหนานจิงมาก่อน ยังต้องผ่านกระบวนการมากมาย ความยุ่งยากนี้ทำให้คนทางการไม่อยากทำ และหากทำไปก็ไม่ได้ประโยชน์อันใดกับตนเอง ยังต้องมาบาดเจ็บล้มตาย ต้องมาจ่ายค่ายารักษาไม่ก็ค่าเผาศพอีก เรื่องเช่นนี้จึงไม่มีผู้ใดอยากจัดการ
ผู่หยวนตอนนั้นลงมือโหดเหี้ยมทั้งทางบกและทางน้ำ แต่ไรมาไม่เคยไว้ชีวิตผู้ใด จะมีคนมาฟ้องทางการได้อย่างไร บางทีอาจมีหลุดรอดไปบ้าง แต่ทางการก็จะผลักไส ไม่กล้าไปยุ่งเกี่ยว
มีชื่อเสียงมา ทั้งฝ่ายดำฝ่ายชาวก็ต้องให้เกียรติเขา แม้เป็นผู้มีอิทธิพลบนท้องทะเลส่งสินค้ามาแดนใต้ก็ต้องมาแจ้งให้ผู่หยวนรู้ ถึงกับแบ่งสินค้าให้เขาก็มี
ตระกูลสวีมีที่นาปลูกข้าวและที่ปลูกฝ้าย เมืองซงเจียงเป็นเมืองทอผ้าอันดับต้นๆ ในใต้หล้า ทุกปีมีผ้าขนานใหญ่ส่งออกขาย ยังมีสินค้ามีค่าจากท้องทะเลมาอีก ตระกูลสวีทำการค้าพวกนี้ไม่น้อย
ด้วยสถานะตระกูลสวี สวีเจี้ยสามารถเป็นมหาอำมาตย์ได้ ลูกศิษย์ก็ย่อมมีทั่วไปแม้ในราชสำนัก พวกเขาไม่จำเป็นต้องหาแนวร่วมจากพวกนักเลงในวงการ
แต่สินค้าบนเรือสูงค่ากลับถูกผู่หยวนจับจ้อง ตระกูลสวีมีสินค้าบางอย่างไม่สะดวกแขวนป้ายว่าเป็นสินค้าตระกูลสวี ผู่หยวนลงมือกลางน้ำ
คนปกติสินค้าถูกปล้นชิง คนงานถูกสังหาร ก็ต้องไปแจ้งทางการ ทางการก็บอกว่าจะจัดการคดีให้ แต่ก็ผัดผ่อนเรื่อยมาก สุดท้ายเจ้ารอจนตายก็ไม่ได้ความอันใด แต่เรือการค้าตระกูลสวีถูกปล้น นั่นไม่ใช่เรื่องเล็ก
คนตระกูลสวีไม่ได้แจ้งความกับทางการ ตอนนั้นน้องชายแท้ๆ ของสวีเจี้ยดูแลจวนตระกูลสวีในเมืองซงเจียง เป็นพวกไม่ได้มีตำแหน่งอันใด เขาจึงได้เขียนจดหมายไปยังหนานจิง สามวันจากนั้น เจ้าหน้าที่มือปราบจากเมืองอิ้งเทียน เมืองเจิ้นเจียง เมืองฉางโจว เมืองซูโจวและเมืองซงเจียงก็ประสานกำลังกันออกไล่ล่าทางน้ำและทางบก ยังมีทหารในพื้นที่ออกหน้าอีกแรง ที่ยิ่งทำให้ผู่หยวนตกใจก็คือ พวกมีอิทธิพลบนท้องทะเลไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดินพวกนั้น พวกค้าเกลือเถื่อนที่วางอำนาจเหิมเกริมก็ยื่นมือเข้ามาด้วย
ไม่มีโจรที่ทางการไม่อาจจับได้ มีแต่จับหรือไม่เท่านั้น กำลังประสานกันมากมายเพียงนี้ ว่ากันว่าขันทีใหญ่เมืองหนานจิงกับทหารติดตามเว่ยกั๋วกงก็เข้าร่วมด้วย จะจับไม่ได้ได้อย่างไร คนของพระผู่หยวนถูกล้อมไว้ ได้แต่ยอมมอบตัว
เดิมคิดว่าจะลงโทษเปิดเผย แต่ผู่หยวนผู้นี้ไม่ธรรมดา ถึงกับฝากคนไปพูดกับพ่อบ้านตระกูลสวี บอกว่าตระกูลสวีเป็นตระกูลใหญ่ เรื่องเปิดเผยต้องการคนจัดการให้ เรื่องลับนั้นก็ต้องการคนทำเช่นกัน เขาเองมีความสามารถ หากใช้เขา เขาย่อมรับใช้อย่างภักดี
เล่ากันว่าตระกูลสวีกับสวีเจี้ยในเมืองหลวงตอนนั้นก็มีสายสัมพันธ์กัน จากนั้นผู่หยวนก็ถูกปล่อยตัว ลูกน้องก็ตายไปแค่ตัวเล็กๆ คนที่เหลือกลับออกบวชที่เมืองฉางโจว พริบตากลับตัวก็กลายเป็นพระผู้ใหญ่มีชื่อ ผู่หยวนกลายเป็นพระผู่หยวน หรือไต้ซื่อผู่หยวน
ใต้หล้านี้มีเรื่องหนึ่ง ตระกูลใหญ่มักจะมีวัดของตนเอง คนในบ้านหากมีคนไม่อาจเปิดเผยก็มักส่งไปไว้วัดนี้ นักบวชย่อมไม่ถูกทางการจัดการ มีความสะดวกเช่นนี้ แน่นอน พระผู่หยวนพอออกบวชแล้วก็ไม่เห็นจะกินเจสร้างความดีแต่อย่างใด
ชาวบ้านในพื้นที่ไม่รู้ข่าวความนัยซ่อนเร้น แต่หลูต้าอยู่ในวงการมาโชกโชนย่อมรู้ไม่น้อย พระผู่หยวนยังคงมือเปื้อนเลือดไม่ต่างจากตอนที่เป็นมหาโจร หากเทียบกับตอนนั้น ตอนนี้มีตระกูลสวีหนุนหลัง อาวุธดี ยังเรียกสมัครพวกเดนตายได้อีก อิทธิพลก็เริ่มยิ่งใหญ่กว่าเดิม
แน่นอนสังหารคนแทนตระกูลสวีย่อมไม่ได้ทำเปล่า เมืองฉางโจวและเมืองซูโจว ยังมีหูโจวกับเจียซิงที่เจ้อเจียงกับ มีการค้าใดที่ไม่อาจเปิดเผย ผู่หยวนก็จะมีส่วนแบ่งหลายส่วน ไม่เช่นนั้นการค้านี้ก็ไม่ทำ
เรื่องนี้หากผ่านฝีปากนักเล่านิทานก็คงสนุกไม่น้อย แต่พอเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ก็ย่อมต้องถามขุนนางท้องที่ว่าละอายต่อหน้าที่ไหม ใช่ว่าปล่อยเสือเข้าป่าหรอกหรือ หรือว่าสมคบคิดกับพวกโจรเสียเอง หรือว่าให้การคุ้มครองคนร้ายเสียเอง
หลูต้ากล่าวจบ หวังทงกวักมือเรียกอู๋เอ้อร์กับสื่อชีมาถามว่า
“วัดผู่หยวนสะอาดไหม? จับผิดอันใดไม่ได้?”
ได้ยินหวังทงถามเช่นนี้ มุมปากสื่อชีกระตุก อู๋เอ้อร์อดไม่ได้แสยะยิ้มรีบกล่าวว่า
“ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว ท่านโหวอย่าได้ตำหนิ คนในวงการนักเลงใช้วัดเป็นแหล่งกบดานก็ไม่น้อย วันนี้ทางการไม่ตรวจสอบ มีอะไรซ่อนไว้ก็วางใจได้ พวกเขาเป็นพระปลอม ไม่ใช่พระจริง ให้พวกเขาลำบากจะทนไหวได้อย่างไร ข้าน้อยกล้าพนันเลยว่า ในวัดผู่หยวน ด้านหลังต้องมีหญิงสาว ย่อมมีของโจร”
สื่อชียังกล่าวว่า
“ท่านโหววางใจได้ วัดเช่นนี้เป็นที่ซ่อนของอย่างดี มีแต่ข้างนอกเอาของมา ย่อมไม่มีเหตุผลที่วัดจะส่งออกไป ย่อมต้องตรวจสอบเจอ”
หวังทงยิ้มพยักหน้า เจ้าหน้าที่นำทางด้านหน้าเมื่อครู่ได้ยินหวังทงกับหลูต้าคุยกันก็ตกใจขวัญกระเจิง ไม่กล้าเข้าใกล้อีก ด้านหลังเช่นนี้พวกเขาย่อมไม่ได้ยินอันใด
**********
คนนอกมักกล่าวถึงวัดผู่หยวนแห่งเขาฮุ่ยซาน แต่เมืองฉางโจวไหนเลยจะมีเขาสูง จะว่าไป วัดต้องอาศัยชาวบ้านทำบุญ ล้วนต้องอำนวยความสะดวกให้ชาวบ้านทำบุญ หากสร้างบนเขาจริง คนรวยที่ไหนจะเสียเวลาขึ้นเขาให้เปลืองแรง
ดังนั้นแท้จริงแล้ววัดผู่หยวนจึงอยู่นอกเมืองออกไปแค่สามลี้ มองแล้วก็เหมือนเป็นจวนใหญ่มีพื้นที่มาก เดือนแปดอากาศร้อน แต่คนก็ยังมาจุดธูปไหว้พระกันไม่น้อย
พวกหวังทงในชุดเกราะเต็มยศควบมากันตามทาง ด้านหน้ามีคนทางการนำมา เป็นที่สะดุดตามาก ระหว่างทางมีคนเห็นคนเร่งรีบวิ่งไปยังวัดผู่หยวน เห็นชัดว่าไปแจ้งข่าว
เส้นทางไปวัดผู่หยวนเป็นทางกว้าง ทัพม้าที่ตามมาบนฝั่งไม่เห็นแล้ว ไม่รู้ว่าไปไหนกันหมด
ชุดเกราะจำเป็นต้องซับชุดฝ้ายไว้ด้านใน เดือนแปดเมืองฉางโจวอากาศร้อนมาก หวังทงเหงื่อออกมาจนไม่สบายตัว ดีที่เบื้องหน้าเป็นวัดผู่หยวนแล้ว
หวังทงได้ไปมาหลายแห่ง เห็นสิ่งก่อสร้างใหญ่โตมาไม่น้อย วัดผู่หยวนนี่ไม่เบา กำแพงสูงหลังคากระเบื้องดำ มีต้นไม้ใหญ่สองข้างประตูทางเข้า ให้ความร่มรื่นมาก เห็นเจดีย์และอารามในวัด กอปรกับควันธูปลอยจากกระถาง ให้ความรู้สึเหมือนเป็นวัดแดนสะอาดเสียจริง
ผู้ว่านำผู้แทนพระองค์มาถึง ผู้แทนพระองค์กับทหารติดตามมาในชุดเกราะ ข่าวนี้ชาววัดผู่หยวนล้วนรู้กันแล้ว พระผู่หยวนนำคณะพระออกมาต้อนรับ
หวังทงหยุดม้าตรงหน้าวัด ผู้ว่าหลัวรู้ว่าไม่ได้การแล้ว แต่ไม่กล้ากล่าวหรือทำการใด ได้แต่หลบทางให้เจ้าหน้าที่ล้อมทุกคนไว้
“เจ้าอาวาสวัดนี้มาตรงหน้าข้านี่!”
หวังทงกล่าวเสียงดัง พระผู่หยวนกล่าวอมิตาภพุทธ จากนั้นค่อยๆ ก้าวออกมา ตามที่หลูต้าบรรยายมา ผู่หยวนน่าจะอายุราว 50 ทว่ากินดี สิบกว่าปีนี้ดูแลตัวเองได้ดี ก็เลยดูเหมือน 40 กว่าเท่านั้น รูปร่างอ้วน ใบหน้าอูมอวบ ในชุดจีวระและประคำ เดินออกมาดูเป็นพระผู้ใหญ่จริง
ต่อหน้าหวังทง ก็อมิตาภพุทธก่อนจะประสานมือพนมคำนับ กล่าวว่า
“ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ อาตมาขอเจริญพร”
“ผู่หยวน เมื่อครู่ตอนข้าอยู่ริมน้ำ มีหัวโล้นหลายคนทำการชั่วร้ายกลางวันแสกๆ จะสังหารผู้บริสุทธิ์ต่อหน้าข้า เจ้าโล้นพวกนั้นเป็นคนวัดผู่หยวนเจ้า เจ้าอธิบายอย่างไร?”
สีหน้าผู่หยวนดูไม่ออกว่าคิดอย่างไร มีแต่คำนับอย่างเป็นทางการกล่าวว่า
“วัดเราเป็นสถานที่สะอาดศักดิ์สิทธิ์ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์อย่าได้กล่าววาจาเหิมเกริม……”
“อืมแสร้างเป็นผู้มีจิตเมตตาได้เหมือนนะ!”
หวังทงบนหลังม้าแค่นเสียงฮึ ชักดาบออกจากฝัก กำลังคุยกันดีๆ ผู้ใดจะไปคิดว่าจะชักดาบออกมา รอบช่างมีคนส่งเสียงร้องตกใจ ผู่หยวนรีบยกมือแตะดาบที่เอวทันที ทว่าก็ได้สติอย่างเร็ว หากการเคลื่อนไหวนี้กลับตกอยู่ในสายตาของหวังทงทั้งหมด
“โจรโล้น ถึงกับคิดลอบสังหารข้า!!”
ไม่พูดมากความต่อ หวังทงสองขากระแทกสีข้างม้า ม้าก็กระโจนไปด้านหน้า ดาบในหวังทงฟันลง ผู่หยวนยังไม่ทันตั้งตัว หัวก็ถูกฟันร่วง กลิ้งลงไปที่พื้น ก่อนเลือดสดจะสาดกระเซ็นพุ่งออกมา
รอบด้านเงียบกริบไปก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องดังอย่างตกใจ ผู้ว่าหลัวที่ตามมาด้วยสองมือสั่น ไม่ว่าควรทำเช่นไร ผู้แทนพระองค์ก็ไม่ควรสังหารคนกลางวันแสกๆ เช่นนี้ และยังเป็นถึงพระผู้ใหญ่มีชื่อในเมืองฉางโจวเสียด้วย
พระวัดผู่หยวนที่ออกมาต้อนรับหวังทงแตกฮือ ทหารติดตามหวังทงกรูกันมาด้านหน้า แบ่งเป็นสองทาง พระจำนวนไม่ได้น้อยไปกว่าทหารติดตามอารักขาหวังทง แต่ทหารติดตามอารักขาหวังทงมาพร้อมอาวุธครบมือ ทำเอาพระทั้งหลายไม่กล้าเคลื่อนไหวพลการ
แต่บรรดาราษฎรที่มุงดูกลับแตกตื่นแทน หวังทงบนหลังม้าหันไปใช้ดาบเปิดจีวรพระผู่หยวน ที่เอวพระผู่หยวนมีดาบสั้นยาวสามเชียะอยู่จริงๆ
ผู่หยวนเดิมเป็นโจร ย่อมต้องมีอาวุธติดกายไม่น้อย แต่หากเป็นพระพบผู้แทนพระองค์นำดาบติดตัวมาด้วย เรื่องนี้ก็พูดยาก นับประสาอันใดกับใต้เท้าผู้แทนพระองค์ตะโกนออกมาว่า ‘ลอบสังหาร’ คนระยะใกล้ล้วนได้เห็นศพผู่หยวนว่ามีดาบ
เรื่องนี้ค่อยๆ แพร่ออกไปรอบๆ คนที่ตกใจก็เริ่มพากันเงียบ เปลี่ยนเป็นวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ ผู้ว่าหลัวเดินมาดู ก็ตัวสั่นงันงกไปหมด ผู้แทนพระองค์สังหารพระว่ายุ่งยากแล้ว แต่พระคิดลอบสังหารผู้แทนพระองค์ กลับยุ่งยากยิ่งกว่า
“ผู้ว่าหลัว โจรโล้นนี่คิดลอบสังหารข้า ดีที่ที่ว่าการเมืองฉางโจวกล้าหาญ จึงได้ปราบลงได้ รีบนำคนของเจ้ามาจับสิ!”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ผู้ว่าหลัวจึงได้วางใจ นี่เรียกว่าสร้างความชอบ รีบหันไปสั่งคนมาจัดการ พระบางรูปเห็นท่าไม่ดีก็คิดหนีกลับเข้าวัด ทว่าก็มีพลธนูรอยิงบนกำแพงแล้ว คนทั้งหมดถูกบีบให้ออกไปอยู่ด้านนอก
เห็นสถานการณ์ในความควบคุมเช่นนี้ คนที่มุงอยู่ข้างทางก็มีคนหนึ่งคุกเข่าร้องไห้ตะโกนขึ้นว่า
“ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ ช่วยลูกข้าน้อยด้วย!!”
Comments