องครักษ์เสื้อแพร 877 ที่เดิมกลับมาอีกครั้งไม่เหมือนเดิม
หวังทงขี่ม้าไปตามถนนใหญ่ มองสองข้างทางมีชาวบ้านหมอบคุกเข่า มีเงยหน้าขึ้นมองบ้าง ขบวนทหารที่ตามมาเริ่มมากขึ้นเรื่อย
วันที่ 30 เดือนสิบสอง ประตูเมืองที่เคยคึกคักอย่างมาก แต่ตอนนี้กลับเงียบผิดปกติ ข่าวที่แพร่มากับการนึกถึงเสียงปืนใหญ่ถล่มในตอนนั้นยิ่งทำให้เงียบกริบ
ม้าหวังทงค่อยๆ ย่างไป เริ่มแรกหวังทงยังมองซ้ายมองขวา แต่ต่อมาก็ได้แต่เคลื่อนม้าไปช้าๆ ในใจย่อมไม่ได้เงียบเหมือนภายนอกที่แสดงออก นี่คือรสชาติของอำนาจหรือนี่ นี่คือความรู้สึกรสชาติแห่งบารมีหรือนี่?
ที่เทียนจิน ที่กองกำลังหู่เวย มาจนถึงการนำกำลังมาบุกมืองกุยฮว่าเฉิง จากนั้นก็เป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร หวังทงก็เป็นใต้เท้าที่ทรงอิทธิพลสั่งการได้หมดแล้ว แต่ความยิ่งใหญ่และน่าเคารพยกย่องสูงส่งนั้น ไม่อาจเทียบกับวินาทีในวันนี้ ณ เมืองกุยฮว่าเฉิงนี้ได้
เริ่มแรกทหารติดตามหวังทงกับพวกที่ตามมาสมทบยังรู้สึกแปลกใจอยู่ มองราษฎรที่นอบน้อมเคารพด้วยความตกใจ เพราะบนแผ่นดินหมิงไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ค่อยๆ รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่สมควรเป็น พวกเขาเริ่มยืดอกเชิดหน้าอย่างภูมิใจโดยไม่รู้ตัว เริ่มเรียงแถวให้เป็นระเบียบยิ่งขึ้น ติดตามอยู่ด้านหลังหวังทง
ผู้หญิงในขบวนหวังทงเลิกม่านขึ้นดู มองลอดช่องออกมาดูแผ่นหลังหวังทงด้านหน้า ด้วยสายตาหลงใหลและเคารพยกย่อง…
…..
ถานเจียงนับว่าเป็นผู้นำชาวบ้าน แม้ว่ามีสถานะขุนนาง แต่ไม่ได้มีหน้าที่ปฏิบัติงานแท้จริง เขาเดิมเป็นบ่าวรับใช้หวังทง ออกมาต้อนรับนอกเมืองก็เป็นสิ่งสมควร แต่ขันทีและขุนนางในเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่อาจมาต้อนรับได้ ตามธรรมเนียมวงการขุนนาง ต้องรอรับที่หน้าประตูเมือง
ขันทีที่ถูกส่งมาดูแลเมืองกุยฮว่าเฉิงก็เป็นคนคุ้นเคยของหวังทง เป็นเมิ่งตั๋วคนสนิทโจวอี้แห่งสำนักรักษาความสงบตอนนี้มาดูแลเมืองกุยฮว่าเฉิง ก็เท่ากับได้เลื่อนสองขั้น ครั้งหน้ากลับไปก็คงได้เป็นขันทีคุมกำลังนอกเมืองระดับหนึ่งแล้ว
วันที่ 30 เดือนสิบสอง แถบเมืองกุยฮว่าเฉิงหนาวมาก เมิ่งตั๋วนำขบวนติดตามมารอรับหน้าประตูเมือง รู้สึกหนาวมาก แม้จะใส่เสื้อหนังคลุมมาแล้วก็ตาม แต่ก็หนาวจนต้องกระทืบเท้าไปมา
เมิ่งตั๋วอายุไม่มาก แม้ว่าพยายามจะทำตัวให้ดูนิ่ง แต่ก็ยังคงถูมือกุมหูให้อุ่นไม่หยุด ผู้ติดตามด้านหลังก็สีหน้าร้อนใจ มีคนเข้าไปใกล้กล่าวเบาๆ ว่า
“เมิ่งกงกง เจ้าหวังทงนี่ใช้ไม่ได้ เขาคิดว่าเป็นใครกัน ถึงกับกล้าให้กงกงมารอที่นี่ เขาเป็นตัว…”
วาจายังไม่ทันจบ ก็ถูกเมิ่งตั๋วหันกลับไปตบบ้องหู ตวาดอย่างโมโหว่า
“ใครน่ะหรือ ก็บรรพชนเจ้าไง เจ้าคิดว่าใครมากัน แค่ชี้นิ้วก็ทำให้นายเจ้าแหลกเป็นผุยผงได้แล้ว ข้าจะรออยู่ที่นี่ เจ้าทนไม่ไหว ก็ไสหัวกลับไป!!”
คนพวกนี้ติดตามเมิ่งตั๋วมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เมิ่งตั๋วมีสถานะสูงส่งในเมืองกุยฮว่าเฉิงที่สุด ลูกน้องย่อมรู้สึกว่าเป็นเจ้าของเมืองกุยฮว่าเฉิง ไม่ใช่แค่ชาวฮั่น แม้แต่ต่างเผ่ายังต้องเคารพ พวกเขาจึงค่อยๆ วางอำนาจบาตรใหญ่ คิดไม่ถึงว่าวันนี้เมิ่งตั๋วจะโมโหหนักเช่นนี้ได้
ทุกคนพากันเงียบกริบ เหตุการณ์เล็กๆ ที่เกิดขึ้นเพิ่งผ่านไป ขบวนหวังทงตอนนี้อยู่บนเส้นทางแล้ว คนเดินถนนพากันคุกเข่า ทั้งถนนเงียบกริบ
คนของเมิ่งตั๋วตั้งแต่มาถึงเมืองกุยฮว่าเฉิงก็ใหญ่โตมาก ไม่เคยเห็นสภาพเช่นนี้ พวกเขารู้สึกอึดอัดกดดัน ถึงกับหายใจลำบาก คนเมื่อครู่ผู้นั้นตอนนี้ตัวลีบมาก ไม่กล้าส่งเสียง
แม้เดินมาช้าๆ แต่ไม่นานก็มาถึงหน้าเมิ่งตั๋ว เมิ่งตั๋วรีบปรี่เข้าไปยิ้มคำนับกล่าวว่า
“ท่านโหว ข้าน้อยคำนับท่านโหว!”
“เมิ่งกงกงตอนนี้ดูเหมือนจะแข็งแรงกว่าตอนอยู่เมืองหลวง จูงม้ามา เมิ่งกงกงขึ้นม้ามาคุยกัน!”
หวังทงยิ้มพยักหน้าทักทาย ทหารข้างกายรีบจูงม้ามาให้ เมิ่งตั๋วโดดขึ้นม้า ท่าทางคล่องแคล่วว่องไว หวังทงทักทายนุ่มนวล นับว่าให้หน้าเมิ่งตั๋วมาก เมิ่งตั๋วยิ่งนอบน้อมหลายเท่า
การคุกเข่าและคำนับนอกเมืองมาถึงตอนนี้ก็หมดแถวแล้ว พอเมิ่งตั๋วคำนับ คนด้านหลังที่ติดตามมาก็คุกเข่าโขกศีรษะ เห็นขุนนางผู้ใหญ่ ขุนนางกรมอากรที่มารอด้วยก็รีบคำนับ
ม้าเมิ่งตั๋วตามมาด้านหลังม้าหวังทงครึ่งช่วงตัว เมิ่งตัวท่าทางนอบน้อมบนหลังม้ากล่าวว่า
“ท่านโหวกลับมาเมืองกุยฮว่าเฉิง คืนนี้ข้าน้อยได้เตรียมงานเลี้ยงไว้แล้ว เชิญขุนนางกับคนใหญ่คนโตในเมืองมาร่วมด้วย ขอท่านโหวให้เกียรติ”
นี่เป็นเรื่องจำเป็น หวังทงย่อมอนุญาต เมิ่งตั๋วกล่าวอีกว่า
“พี่พักท่านโหวอยู่ที่วังข่านเดิม แม้ว่าตำหนักหลักถูกทำลายไปแล้ว แต่ที่อื่นๆ รอบๆ ยังดีอยู่ ท่านโหวพักที่นั่น ทุกอย่างย่อมสะดวก”
ตอนนั้นวังเซิงเก๋อตูกู่เหลิงถูกทำลายสิ้นสภาพ หวังทงย่อมรู้อยู่ พอได้ยินข้อเสนอเช่นนี้ ก็หันกลับไปมองเมิ่งตั๋วยิ้มเหมือนไม่ยิ้มกล่าวว่า
“ความปรารถนาดีของเมิ่งกงกงข้ารับไว้แล้ว ทว่าที่พักนั่นดูเป็นทางการมากไป ขอที่เมื่อก่อนเป็นที่พักพวกชนชั้นสูงพวกนอกด่านก็พอ ข้าอยู่ที่นั่นก็เหมือนกัน”
หากหวังทงเข้าอยู่ทึ่เคยเป็นวัง ย่อมมีคนปากมาก หวังทงย่อมไม่อยากผิดพลาดให้คนพูดมาก เมิ่งตั๋วบนหลังม้ากลับอึ้งไป ตามมาด้วยสีหน้าได้สติ คำนับจริงจังบนหลังม้า ขออภัยกล่าวว่า
“เป็นข้าน้อยคิดไม่รอบคอบ ขอท่านโหวอภัย”
หวังทงยิ้ม เรื่องนี้ผ่านไป เดินไปถึงประตูเมือง หวังทงมองดู บังเอิญว่าปีก่อนเขานำกำลังมาโจมตีก็เข้าทางประตูด้านนี้
ตอนนี้ยังมองเห็นรูกว้างที่ถูกปืนใหญ่ยิงทลาย ยังไม่ได้ซ่อมแซมคืนสภาพเดิม แต่กลับสร้างต่อเติมเป็นป้อมปืนใหญ่แทน ด้านบนตั้งปืนใหญ่ไว้หลายกระบอก
จากด้านล่างมองขึ้นไป ก็จะเห็นปืนใหญ่สีดำมันปลาบบนกำแพงเมือง ชาวบ้านนอกเมืองกับกำแพงเมืองนี้มีระยะพื้นที่ห่างอยู่ สามารถเห็นว่าเพิ่งจากขุดคูเมืองเป็นคูน้ำใหม่ น่าจะเป็นเพราะว่าฤดูหนาวจึงยังทำไม่ทันเสร็จ ต้องหยุดไว้ก่อน
สิ่งก่อสร้างสำหรับป้องกันแบบใช้อาวุธปืนไฟเป็นหลัก ทหารและชาวบ้านก็ขยันฝึก อาศัยกำลังทหารทุ่งหญ้านอกด่านก็ย่อมยากที่จะบุกโจมตี
พอเข้ามาในเมือง สภาพแตกต่างจากนอกเมือง แม้ว่ามีระเบียบกว่านอกเมือง แต่ทำให้หวังทงรู้สึกเหมือนว่าคนน้อยกว่านอกเมืองมาก เส้นทางที่เขาเดินไป น่าจะเป็นเส้นทางหลักในเมือง แต่สองข้างทางล้วนเป็นหน้าร้านร้านค้า แน่นอน ยามนี้อยู่ในช่วงปิดร้านพักปีใหม่
พอเดินมาถึงแถบนี้ ก็มองเห็นพื้นที่สองแห่งที่ว่างเปล่า หนึ่งในนั้นมีรถใหญ่จอดกับสินค้าวางไว้ อีกทางหนึ่งเป็นชาวบ้านกำลังฝึกกำลัง
จากบนหลังม้ามองได้ไกล ก็สามารถมองเห็นโกดังใหญ่ในเมือง อีกทางหนึ่งของเมือง มีกลุ่มควันโขมง ควันดำกำลังพุ่งออกมา อันนี้หวังทงไม่แปลกใจ ก็คือที่ตั้งของโรงเหล็กและโรงช่าง
“นอกจากขุนนางกับทหารในเมือง ไม่มีราษฎรพักอาศัยหรือ?”
หวังทงถาม เพราะนอกจากร้านค้า โกดังและโรงช่างที่เห็นแล้ว ไม่เห็นอื่นใด ขุนนางกับทหารบางส่วนย่อมอยู่ในเมือง แต่ไม่มีชาวบ้านพักอาศัย เมิ่งตั๋วอึ้งไปรีบอธิบายกล่าวว่า
“เรียนท่านโหว ราษฎรนั้นมี เป็นเถ้าแก่และคนงาน รวมถึงครอบครัวของพวกที่ทำการค้าในเมือง ครอบครัวขบวนผู้คุ้มกันการค้า นายช่างโรงช่างและครอบครัว ยังมีพ่อค้าที่ลงทะเบียนไว้และครอบครัว พวกเขาล้วนพักในเมือง ท่านโหวเข้าไม่ถูกทาง ตอนเหนือและตะวันตกของเมืองจึงเป็นที่พัก”
เขากล่าวเช่นนี้ ถานเจียงข้างๆ ก็เสริมกล่าวว่า
“ยังมีครอบครัวของคนดูแลโรงนา หากพวกเขาคิดอยู่ในเมืองก็ย่อมได้”
หวังทงพยักหน้า เมิ่งตั๋วสบตากับถานเจียง รู้สึกตื่นเต้นถามขึ้น
“ท่านโหว ในเมืองที่ทางจำกัด นอกเมืองราษฎรมาก เรื่องนี้ก็…”
วิธีการจัดการเมื่อครู่เหมือนไม่ค่อยมีน้ำใจเท่าไร อย่างไรก็เป็นพื้นที่อันตรายทุ่งหญ้านอกด่าน เกิดพวกทหารม้านอกด่านบุกมา คนในเมืองย่อมปลอดภัย แต่ราษฎรที่ล้อมนอกเมืองกลับลำบาก กำแพงโรงบ้านสูงๆ พวกนั้นน่าจะเป็นวิธีรับมือเร่งด่วน แต่ก็คงต้านไม่ได้นาน
หวังทงโบกมือตัดบทเมิ่งตั๋ว กล่าวว่า
“เจ้าทำได้ดีมาก วิธีนี้ถูกต้องที่สุด วันหน้าก็ทำแบบนี้ ย่อมดีขึ้นเรื่อยๆ!”
คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะให้คำชมเช่นนี้ เมิ่งตั๋วกับถานเจียงเห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึง
ทหารในเมืองกุยฮว่าเฉิงตอนนี้ไม่มาก กำลังป้องกันหลักมักเป็นผู้คุ้มกันขบวนการค้า ซึ่งก็คือทหารสูงวัยที่ปลดประจำการพวกนั้น พวกเขาเป็นกำลังหลัก พวกเขารับรองความปลอดภัยให้เมืองกุยฮว่าเฉิง โรงช่างผลิตอาวุธให้เมืองกุยฮว่าเฉิง เกี่ยวพันกับความปลอดภัยของเมืองกุยฮว่าเฉิง การค้าก็ต้องรับรองความปลอดภัยด้านทรัพย์สิน รับรองการมีกินมีใช้ของในเมืองนี้ เป็นพื้นฐานสำคัญของเมือง ส่วนทางการนั้น ก็ต้องปฏิบัติงานเพื่อรักษาการดำเนินการของเมืองนี้ ติดต่อกับเมืองหลวง ส่วนผู้ดูแลที่นาก็ต้องรับรองเสบียงให้พอกับเมืองกุยฮว่าเฉิง มีหน้าที่ผลิตและจัดการ
คนเหล่านี้จึงประกอบกันเป็นแกนหลักเมืองกุยฮว่าเฉิง มีพวกเขาอยู่ เมืองกุยฮว่าเฉิงก็จะสามารถรับรองความมั่นคงได้ และทำให้เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางพื้นที่ทุ่งหญ้านอกด่านทั้งด้านอาหารและการทหาร รวมทั้งการค้า มีข้อดีมากมายเช่นนี้ ไม่ได้มีหน้าที่ต้องมาคอยดูแลราษฎร แม้ว่าดูไร้น้ำใจ แต่ก็เป็นการรักษาประสิทธิภาพการดำเนินงานให้สูงสุดต่อไปได้
“พวกเดิมที่เป็นชาวนา ก็พวกราษฎรนอกเมืองพวกนั้น รวมถึงพวกจากเมืองต้าถงมากุยฮว่าเฉิง หมู่บ้านตลอดเส้นทางนี้มีพวกหนุ่มๆ อยากจะก้าวหน้าก็อยากมาเรียนยุทธ์ อยากจะมีวิชาติดตัว อยากเรียนรู้การทำนาเลี้ยงสัตว์ ยังมีพวกเก่งการค้า ก็ให้พวกเขาเข้ามาอยู่ในเมือง นับว่าเป็นการให้รางวัล”
“ท่านโหววิธีนี้ดี คนที่อยู่ในเมืองได้คนเก่งมา ย่อมเป็นเร่งให้พวกเขาพัฒนา ท่านโหว เราต้องรับพวกบัณฑิตหรือไม่”
เมิ่งตั๋วถาม หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า
“เมืองกุยฮว่าเฉิงต้องการบัณฑิตมาเรียนหนังสือทำไม ตำราปราชญ์พวกนั้นสังหารศัตรูได้หรือว่าทำกำไรเพาะปลูกสั่งสมเสบียงได้หรือ ต้องการเป็นบัณฑิตก็ให้ส่งไปเมืองต้าถง มณฑลซานซี!!”
Comments