องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ 75 สองคนที่เหมาะสมกัน
บทที่ 75 สองคนที่เหมาะสมกัน
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้เอามาใส่ใจมากนัก นางไม่ล้มไปก็เป็นโชคอันดีมากแล้ว
สำหรับเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ในเวลานี้ ไม่ได้หยิบมีดเล่มหนึ่งออกมานางก็พึงพอใจแล้ว อย่างไรก็ตามนางเป็นผู้ที่ทำให้เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ได้เป็นพระชายารองของอ๋องเย่
“อ๋องเย่” เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ร้องห่มร้องไห้และกระวนกระวายใจ ฉากเมื่อครู่นี้ต้องถูกเห็นเข้าแล้วเป็นแน่ ประมาทมากจนเกินไป ต่อไปจะอยู่ร่วมกับอ๋องเย่ได้เช่นไร!
“อวิ๋นเอ๋อร์ วันนี้ข้ามีงานรัดตัว หากมีเรื่องอันใดไว้ค่อยคุยกันวันหลัง อาอวี๋ ส่งอวิ๋นเอ๋อร์กลับไปหน่อย”
หนานกงเย่กล่าวจบก็หันเดินไปยังด้านนอกประตู เฉินอวิ๋นเอ๋อร์จู่ๆงุนงงนิ่งอึ้งหยุดร้องไห้ไปเลย ฉีเฟยอวิ๋นก็หันหลังและเดินตามออกไป
ท่านอ๋องก็บอกแล้วว่าค่อยคุยกันวันหลัง นางผู้เป็นชายาก็ไม่ควรกล่าวสิ่งใดอีก
ขณะที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์จากไปด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย พอเดินถึงตรงประตูเดินไม่ดีเลยล้มลง อาอวี่ไม่ได้ก้าวไปพยุงข้างหน้าและไม่ได้ถามไถ่
ฉากที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ขัดขาพระชายาเขาเห็นด้วยตา หากมิใช่ว่าท่านอ๋องมาทันเวลา พระชายาคงจะล้มลงแล้ว
อาอวี่ไม่พอใจยิ่งนัก
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ค่อยๆลุกขึ้นจากพื้นโดยไม่สามารถสนใจว่าน่าอายเพียงใด แล้วรีบขึ้นยังรถม้า
คนขับรถม้ารีบขับรถม้าออกไป ส่วนอาอวี่ก็ขี่ม้าคุ้มกันอยู่ข้างหลัง
ฉีเฟยอวิ๋นเดินถึงที่ประตูแล้วมองดูรถม้าที่ห่างออกจากไป ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เรื่องอันน่าเศร้าที่สุดของผู้หญิงก็คือหลงคิดว่าจะเปลี่ยนใจของผู้ที่ไม่ชอบได้
แท้ที่จริงแล้วเจ้าของเดิมและเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่แตกต่างกันเลย เพียงแต่ว่าเจ้าของเดิมรุนแรงกว่า ขณะที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์สงวนตัวมากกว่า
แต่มีสำนวนว่า เท้าเปล่าไม่กลัวการใส่รองเท้า
เจ้าของเดิมกลายเป็นพระชายาเย่อย่างไม่ได้คาดฝัน เฉินอวิ๋นเอ๋อร์กลับรอมาได้เพียงสองมืออันว่างเปล่า
กระต่ายตื่นตัวยังกัดคนเลย นับประสาอะไรกับคน!
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ร้อนใจ!
เมื่อหันกลับมาฉีเฟยอวิ๋นกำลังเตรียมตัวกลับ หนานกงเย่ยืนมองนางอยู่ตรงลานจวน ฉีเฟยอวิ๋นลังเลครู่หนึ่งแล้วเดินไปหาเขา
“ท่านอ๋อง”
หนานกงเย่กลับไม่ได้กล่าวถึงผู้ใดเลย หันกลับจากไปแล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าหิวแล้ว ทานข้าวกันเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบตามไปอย่างรีบร้อน เดิมทีอยากจะถามว่าเมื่อครู่เห็นเหตุการณ์ขัดขาของเฉินอวิ๋นเอ๋อร์หรือไม่ คำพูดนี้ติดอยู่ที่ปากแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็กลืนมันลงไป หากถามไปแล้วจริงจะได้สิ่งใด เขาไม่ได้สนใจใยดีนางถึงถามไปก็รังแต่เป็นการถามมากเกินจำเป็น ส่วนเรื่องอันแท้จริงที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์เป็นคนของฝ่ายพระมารดาของฮองเฮานั้น แม้ว่านางจะขัดขาเขาก็ไม่สามารถตำหนิได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นนางก็เป็นแค่แพะรับบาป ยังจะมีสิ่งใดให้ถามอีก!
ถือซะว่านางโชคร้าย วันหลังก็ต้องระมัดระวังเอาไว้เพื่อไม่ให้ถูกคนเล่นงานแล้วยังไม่รู้ตัวอีก
เมื่อมาถึงห้องทานอาหารทั้งสองก็ทานอาหารร่วมกัน
มื้อเที่ยงทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบ มีกับข้าวสี่อย่างและน้ำซุปหนึ่งอย่างพร้อมด้วยคนคอยปรนนิบัติ
พ่อบ้านเก่าแก่ดูแลอยู่ข้างๆ ฉีเฟยอวิ๋นยกข้าวขึ้นทานโดยทานข้าวคำหนึ่งทานกับข้าวคำหนึ่ง ทานไปด้วยความสุข
ข้อดีที่ได้เปรียบที่สุดของการทานข้าวกับหนานกงเย่คือไม่มีใครแย่ง หนานกงเย่ทานน้อยอยู่แล้ว ถึงอาหารจะอร่อยแค่ไหน เขาก็ทานได้แค่ไม่กี่คำเท่านั้นเอง
ไม่เหมือนฉีเฟยอวิ๋นที่ทานมากหรือน้อย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความอยากของนาง
ฉีเฟยอวิ๋นทานอาหารเรียบร้อยแล้วก็เช็ดปาก: “ท่านอ๋องค่อยๆทาน ข้าน้อยทานอิ่มแล้ว”
หนานกงเย่ถือตะเกียบไว้โดยกินไปไม่กี่คำ ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นฉีเฟยอวิ๋นทาน แต่นี่เกรงว่าจะเป็นความจริงครั้งหนึ่งเลย เป็นเหมือนหญิงสาวครอบครัวธรรมดาๆที่ทานอาหารอย่างไม่เสแสร้ง
ที่ผ่านมาหนานกงเย่ดูฉีเฟยอวิ๋นทานอาหารอย่างเสแสร้งด้วยท่าทางสะดีดสะดิ้ง ผู้ที่มองดูอยู่นั้นรู้สึกอึดอัดไปทั้วร่าง
“เอาออกไปเถอะ ข้าก็ทานเสร็จแล้ว”
หนานกงเย่ลุกขึ้นไปยังห้องโถงด้านหน้า ฉีเฟยอวิ๋นตามพร้อมกันไปด้วยกับเขา
ระหว่างทางทั้งสองอ้อมโถงทางเดินยาวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ฝีเท้าก็ก้าวเดินประสานกันอย่างน่าอัศจรรย์
ทังเหอเดินมาจากฝั่งหนึ่ง เห็นทั้งสองเข้าก็อดที่จะตะลึงไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง หากไม่ใช่เพราะพระชายานั้นฉาวโฉ่ด้านนอก ทั้งสองคนก็ดูเหมาะสมกันจริงๆ
หนานกงเย่เห็นทังเหอหยุดลง: “มีธุระหรือ?”
“ท่านอ๋อง เรื่องที่ให้ผู้น้อยตรวจสอบเมื่อวาน ผู้น้อยตรวจสอบแล้ว”
“ได้เรื่องแล้วหรือ?”
หนานกงเย่ใบหน้าเย็นชา ทังเหอเดินเข้าใกล้แล้วคำนับฉีเฟยอวิ๋นก่อน: “พระชายา”
“สวัสดีคุณชายทัง”
“สวัสดี”
ทังเหออึดอัดใจ พระชายาต่างไปจริงๆ
สองครั้งก่อนช่วยเหลืออาอวี่และอาซิว ตอนนี้ก็มีมารยาทเช่นนี้ เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“คุณชายทังมีเรื่องปรึกษากับท่านอ๋อง หม่อมฉันขอตัวก่อน”
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ต้องการรู้เรื่องเหล่านั้นของหนานกงเย่ ตอนนี้นางเป็นห่วงเพียงสิ่งของที่ต้องเตรียมให้ฮองเฮา หากตระเตรียมไว้ไม่ดีก็จะถูกลงโทษ นางจะมีศีรษะกี่หัวที่จะทำให้ฮองเฮาไม่พอพระทัยได้?
ออกจากฉีเฟยอวิ๋นไปยังโรงเก็บยาสมุนไพรทางโน้น เตรียมพร้อมไปดูไว้ซะก่อน
หนานกงเย่เหลือบมองไปทางคนธรรมดาๆตรงนั้น กลับดูน่าสนใจยิ่งนัก!
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปไกลแล้ว หนานกงเย่มองไปยังทังเหอ: “พูดเถอะ”
“กราบทูลท่านอ๋อง ผู้น้อยได้สอบถามจากทั่วทุกทางจากนั้นจึงได้รู้ว่าทั่วปฐพีมีผู้คนไม่มากที่รู้เรื่องของพระชายา สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีผู้ใดรู้ ส่วนคนเก็บดอกไม้ ยายเฒ่าเก็บดอกไม้ ตาเฒ่าเก็บดอกไม้รู้ได้อย่างไรนั้น ผู้น้อยคิดว่าต้องมีคนเปิดเผยแค่ด้านเดียวให้พวกเขารู้ แต่ผู้ที่สามารถเปิดเผยไปถึงคนของพวกเขาที่นั่น คาดว่าคงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
ผู้น้อยคิดว่าเนื่องจากคนผู้นี้ไม่ได้เผยแพร่เรื่องราวไปทั่วปฐพี ต้องมีเหตุผลบางอย่างถึงจะถูก ส่วนเหตุผลนั้นคืออะไรผู้น้อยยังคงไม่เข้าใจในเวลานี้
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น คนผู้นี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องเย่ของเราอย่างแน่นอน
ตั้งแต่พระชายาอภิเษกสมรสเข้าจวนอ๋องจนถึงตอนนี้ ผู้น้อยได้สอบถามแล้วว่ายังไม่เคยใช้เลือดช่วยผู้คนเลย นอกซะจากว่าคนที่มาจากจวนท่านแม่ทัพ แต่ผู้น้อยก็ส่งคนไปสืบอย่างลับๆที่จวนของท่านแม่ทัพ แม้ว่าคนมากมายที่จวนแม่ทัพจะรู้ว่าเรื่องที่พระชายาได้เรียนรู้ทักษะทางการแพทย์เพื่อช่วยชีวิตผู้คน แต่ก็ไม่ได้เชื่อมากนัก ผู้น้อยคิดว่าเรื่องที่พระชายารู้ทักษะทางการแพทย์นั้น ที่จวนท่านแม่ทัพก็ไม่รู้
หากเป็นตามนี้ ตอนที่พระชายาอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพน่าจะไม่เคยใช้เลือดเลย
สาเหตุที่แท้จริงนั้นน่าจะอยู่ที่จวนอ๋องเย่เพียงเท่านั้น ”
“เคยใช้เพียงกับข้าผู้เดียว?” หนานกงเย่หันกลับมาแล้วเดินอย่างสงบ เดินไปพร้อมทั้งแปลกใจไปด้วย หรือว่านางก็ไม่รู้ว่าเลือดตนเองมีประโยชน์ จนกระทั่งเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยรู้โดยไม่ได้ตั้งใจ
“คนในจวนก็ต้องสอบสวนต่อไป เริ่มจากพ่อบ้านก่อน” หนานกงเย่จากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้ง ถังเหอและพ่อบ้านเอาไว้ พ่อบ้านใบหน้าประหลาดใจและกำลังยุ่งอยู่กับการมองหาหนานกงเย่ คิดไปคิดมาก็ละทิ้งไป
ท่านอ๋องกล่าวหนึ่งแล้วไม่มีสอง หาไปก็ไร้ประโยชน์ กลับทำให้เขาสงสัยมากยิ่งขึ้น
“คุณชายถัง ท่านตรวจสอบไปเถอะโดยเริ่มจากข้า” พ่อบ้านเต็มใจให้ความร่วมมือ
ถังเหอแปลกใจ: “เจ้าสังเกตหรือไม่ว่าท่านอ๋องจากไปอย่างรีบร้อน?”
พ่อบ้านร้องอ๊าขึ้นเสียงหนึ่งแล้วมองไปด้านที่หนานกงเย่จากไป เพียงครู่เดียว: “เรื่องที่ท่านอ๋องให้พระชายาค้างคืนที่ห้องของเขาเมื่อคืน คุณชายถังไม่รู้หรอกหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าช่วงนี้ท่านอ๋องให้พระชายาค้างคืนในห้องของเขาตลอดหรือ?” ถังเหอก็รู้สึกแปลกที่ทั้งสองคนสามารถค้างคืนด้วยกันได้ ช่างน่าทึ่งนัก!
“ท่านอ๋องตื่นแต่เช้ารับสั่งให้เพิ่มการอารักขาปกป้องพระชายา” พ่อบ้านมีใจชี้แจง
ถังเหอไร้เหตุผลที่จะไม่รู้ ที่ผ่านมาท่านอ๋องพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้พระชายาสิ้นพระชนม์ บัดนี้กลับเพิ่มกำลังอารักขา
ความไร้เดียงสาเปลี่ยนไปแล้ว!
ฉีเฟยอวิ๋นมาถึงโรงเก็บยาสมุนไพร เสียเวลาอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง จวนอ๋องเย่มีการดูแลที่เข้มงวด แม้ว่าจะเป็นเพียงโรงเก็บยาสมุนไพรหากไม่มีป้ายของหนานกงเย่ก็ไม่สามารถเข้าไปได้
หน้าประตูมีองครักษ์สองคนยืนเฝ้าประตูอยู่ แม้ว่าเมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นแล้วจะไม่ได้ดูหมิ่นนาง แต่ก็มีท่าทีเย็นชาต่อนางอย่างยิ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นต้องการเข้าไปแต่ทั้งสองคนไม่ปล่อยให้เข้า โดยขอดูป้ายผ่านประตูจากฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นมีป้ายที่ใดเล่า ขณะที่เสียเวลาว่าจะไปหาหนานกงเย่เพื่อขอป้ายสักอันหรือไม่ ทั้งสองคนก็ก้มศีรษะลงพร้อมเพรียงกัน: “ท่านอ๋อง”
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมามอง หนานกงเย่ก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว
“หม่อมฉันขอคำนับท่านอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นก้มกายลงคำนับอย่างช่วยไม่ได้ เพิ่งแยกจากกันพอพบหน้ากันก็ต้องทำความเคารพ ผู้หญิงสมัยโบราณน่าสงสารเวทนาซะจริง
เหตุใดสิ่งเหล่านี้ถึงได้ไร้ค่าเช่นนี้!
สามีภรรยาเดิมนั้นควรมีฐานะที่เท่าเทียมกัน ไร้ซึ่งการแบ่งแยกความสูงส่งต่ำต้อย แต่พอมาถึงในสมัยโบราณ ผู้หญิงนั้นต่ำกว่าสักช่วงหนึ่ง ไม่เพียงแต่ต้องทนให้ผู้ชายมีอนุ ยังต้องแสร้งทำเป็นมีความสุข แม้กระทั่งการเข้านอนยังต้องขอร้องจากผู้ชาย
หญิงสาวสมัยโบราณนั้นน่าโศกเศร้าเวทนามากกว่าอยู่บ้างจริงๆ!
นางประสบความโชคร้ายแปดชั่วคนเข้าซะแล้ว ทะลุมิติมายังสถานที่แห่งนี้ และอยู่ภายใต้บาปกรรมที่ถูกกำหนดไว้นี้!
“มีสิ่งใดหรือ?” หนานกงเย่กล่าวถามแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็อธิบายว่า: “เพิ่งจะมาถึงยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด ท่านอ๋องก็มาถึงแล้ว งั้นก็เข้าไปพร้อมกันพอดีเลย”
องครักษ์ตกใจที่ฉีเฟยอวิ๋นช่วยกล่าวแทนพวกเขา
**********************
Comments
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ 75 สองคนที่เหมาะสมกัน
บทที่ 75 สองคนที่เหมาะสมกัน
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้เอามาใส่ใจมากนัก นางไม่ล้มไปก็เป็นโชคอันดีมากแล้ว
สำหรับเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ในเวลานี้ ไม่ได้หยิบมีดเล่มหนึ่งออกมานางก็พึงพอใจแล้ว อย่างไรก็ตามนางเป็นผู้ที่ทำให้เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ได้เป็นพระชายารองของอ๋องเย่
“อ๋องเย่” เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ร้องห่มร้องไห้และกระวนกระวายใจ ฉากเมื่อครู่นี้ต้องถูกเห็นเข้าแล้วเป็นแน่ ประมาทมากจนเกินไป ต่อไปจะอยู่ร่วมกับอ๋องเย่ได้เช่นไร!
“อวิ๋นเอ๋อร์ วันนี้ข้ามีงานรัดตัว หากมีเรื่องอันใดไว้ค่อยคุยกันวันหลัง อาอวี๋ ส่งอวิ๋นเอ๋อร์กลับไปหน่อย”
หนานกงเย่กล่าวจบก็หันเดินไปยังด้านนอกประตู เฉินอวิ๋นเอ๋อร์จู่ๆงุนงงนิ่งอึ้งหยุดร้องไห้ไปเลย ฉีเฟยอวิ๋นก็หันหลังและเดินตามออกไป
ท่านอ๋องก็บอกแล้วว่าค่อยคุยกันวันหลัง นางผู้เป็นชายาก็ไม่ควรกล่าวสิ่งใดอีก
ขณะที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์จากไปด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย พอเดินถึงตรงประตูเดินไม่ดีเลยล้มลง อาอวี่ไม่ได้ก้าวไปพยุงข้างหน้าและไม่ได้ถามไถ่
ฉากที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ขัดขาพระชายาเขาเห็นด้วยตา หากมิใช่ว่าท่านอ๋องมาทันเวลา พระชายาคงจะล้มลงแล้ว
อาอวี่ไม่พอใจยิ่งนัก
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ค่อยๆลุกขึ้นจากพื้นโดยไม่สามารถสนใจว่าน่าอายเพียงใด แล้วรีบขึ้นยังรถม้า
คนขับรถม้ารีบขับรถม้าออกไป ส่วนอาอวี่ก็ขี่ม้าคุ้มกันอยู่ข้างหลัง
ฉีเฟยอวิ๋นเดินถึงที่ประตูแล้วมองดูรถม้าที่ห่างออกจากไป ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เรื่องอันน่าเศร้าที่สุดของผู้หญิงก็คือหลงคิดว่าจะเปลี่ยนใจของผู้ที่ไม่ชอบได้
แท้ที่จริงแล้วเจ้าของเดิมและเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่แตกต่างกันเลย เพียงแต่ว่าเจ้าของเดิมรุนแรงกว่า ขณะที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์สงวนตัวมากกว่า
แต่มีสำนวนว่า เท้าเปล่าไม่กลัวการใส่รองเท้า
เจ้าของเดิมกลายเป็นพระชายาเย่อย่างไม่ได้คาดฝัน เฉินอวิ๋นเอ๋อร์กลับรอมาได้เพียงสองมืออันว่างเปล่า
กระต่ายตื่นตัวยังกัดคนเลย นับประสาอะไรกับคน!
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ร้อนใจ!
เมื่อหันกลับมาฉีเฟยอวิ๋นกำลังเตรียมตัวกลับ หนานกงเย่ยืนมองนางอยู่ตรงลานจวน ฉีเฟยอวิ๋นลังเลครู่หนึ่งแล้วเดินไปหาเขา
“ท่านอ๋อง”
หนานกงเย่กลับไม่ได้กล่าวถึงผู้ใดเลย หันกลับจากไปแล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าหิวแล้ว ทานข้าวกันเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบตามไปอย่างรีบร้อน เดิมทีอยากจะถามว่าเมื่อครู่เห็นเหตุการณ์ขัดขาของเฉินอวิ๋นเอ๋อร์หรือไม่ คำพูดนี้ติดอยู่ที่ปากแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็กลืนมันลงไป หากถามไปแล้วจริงจะได้สิ่งใด เขาไม่ได้สนใจใยดีนางถึงถามไปก็รังแต่เป็นการถามมากเกินจำเป็น ส่วนเรื่องอันแท้จริงที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์เป็นคนของฝ่ายพระมารดาของฮองเฮานั้น แม้ว่านางจะขัดขาเขาก็ไม่สามารถตำหนิได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นนางก็เป็นแค่แพะรับบาป ยังจะมีสิ่งใดให้ถามอีก!
ถือซะว่านางโชคร้าย วันหลังก็ต้องระมัดระวังเอาไว้เพื่อไม่ให้ถูกคนเล่นงานแล้วยังไม่รู้ตัวอีก
เมื่อมาถึงห้องทานอาหารทั้งสองก็ทานอาหารร่วมกัน
มื้อเที่ยงทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบ มีกับข้าวสี่อย่างและน้ำซุปหนึ่งอย่างพร้อมด้วยคนคอยปรนนิบัติ
พ่อบ้านเก่าแก่ดูแลอยู่ข้างๆ ฉีเฟยอวิ๋นยกข้าวขึ้นทานโดยทานข้าวคำหนึ่งทานกับข้าวคำหนึ่ง ทานไปด้วยความสุข
ข้อดีที่ได้เปรียบที่สุดของการทานข้าวกับหนานกงเย่คือไม่มีใครแย่ง หนานกงเย่ทานน้อยอยู่แล้ว ถึงอาหารจะอร่อยแค่ไหน เขาก็ทานได้แค่ไม่กี่คำเท่านั้นเอง
ไม่เหมือนฉีเฟยอวิ๋นที่ทานมากหรือน้อย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความอยากของนาง
ฉีเฟยอวิ๋นทานอาหารเรียบร้อยแล้วก็เช็ดปาก: “ท่านอ๋องค่อยๆทาน ข้าน้อยทานอิ่มแล้ว”
หนานกงเย่ถือตะเกียบไว้โดยกินไปไม่กี่คำ ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นฉีเฟยอวิ๋นทาน แต่นี่เกรงว่าจะเป็นความจริงครั้งหนึ่งเลย เป็นเหมือนหญิงสาวครอบครัวธรรมดาๆที่ทานอาหารอย่างไม่เสแสร้ง
ที่ผ่านมาหนานกงเย่ดูฉีเฟยอวิ๋นทานอาหารอย่างเสแสร้งด้วยท่าทางสะดีดสะดิ้ง ผู้ที่มองดูอยู่นั้นรู้สึกอึดอัดไปทั้วร่าง
“เอาออกไปเถอะ ข้าก็ทานเสร็จแล้ว”
หนานกงเย่ลุกขึ้นไปยังห้องโถงด้านหน้า ฉีเฟยอวิ๋นตามพร้อมกันไปด้วยกับเขา
ระหว่างทางทั้งสองอ้อมโถงทางเดินยาวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ฝีเท้าก็ก้าวเดินประสานกันอย่างน่าอัศจรรย์
ทังเหอเดินมาจากฝั่งหนึ่ง เห็นทั้งสองเข้าก็อดที่จะตะลึงไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง หากไม่ใช่เพราะพระชายานั้นฉาวโฉ่ด้านนอก ทั้งสองคนก็ดูเหมาะสมกันจริงๆ
หนานกงเย่เห็นทังเหอหยุดลง: “มีธุระหรือ?”
“ท่านอ๋อง เรื่องที่ให้ผู้น้อยตรวจสอบเมื่อวาน ผู้น้อยตรวจสอบแล้ว”
“ได้เรื่องแล้วหรือ?”
หนานกงเย่ใบหน้าเย็นชา ทังเหอเดินเข้าใกล้แล้วคำนับฉีเฟยอวิ๋นก่อน: “พระชายา”
“สวัสดีคุณชายทัง”
“สวัสดี”
ทังเหออึดอัดใจ พระชายาต่างไปจริงๆ
สองครั้งก่อนช่วยเหลืออาอวี่และอาซิว ตอนนี้ก็มีมารยาทเช่นนี้ เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“คุณชายทังมีเรื่องปรึกษากับท่านอ๋อง หม่อมฉันขอตัวก่อน”
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ต้องการรู้เรื่องเหล่านั้นของหนานกงเย่ ตอนนี้นางเป็นห่วงเพียงสิ่งของที่ต้องเตรียมให้ฮองเฮา หากตระเตรียมไว้ไม่ดีก็จะถูกลงโทษ นางจะมีศีรษะกี่หัวที่จะทำให้ฮองเฮาไม่พอพระทัยได้?
ออกจากฉีเฟยอวิ๋นไปยังโรงเก็บยาสมุนไพรทางโน้น เตรียมพร้อมไปดูไว้ซะก่อน
หนานกงเย่เหลือบมองไปทางคนธรรมดาๆตรงนั้น กลับดูน่าสนใจยิ่งนัก!
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปไกลแล้ว หนานกงเย่มองไปยังทังเหอ: “พูดเถอะ”
“กราบทูลท่านอ๋อง ผู้น้อยได้สอบถามจากทั่วทุกทางจากนั้นจึงได้รู้ว่าทั่วปฐพีมีผู้คนไม่มากที่รู้เรื่องของพระชายา สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีผู้ใดรู้ ส่วนคนเก็บดอกไม้ ยายเฒ่าเก็บดอกไม้ ตาเฒ่าเก็บดอกไม้รู้ได้อย่างไรนั้น ผู้น้อยคิดว่าต้องมีคนเปิดเผยแค่ด้านเดียวให้พวกเขารู้ แต่ผู้ที่สามารถเปิดเผยไปถึงคนของพวกเขาที่นั่น คาดว่าคงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
ผู้น้อยคิดว่าเนื่องจากคนผู้นี้ไม่ได้เผยแพร่เรื่องราวไปทั่วปฐพี ต้องมีเหตุผลบางอย่างถึงจะถูก ส่วนเหตุผลนั้นคืออะไรผู้น้อยยังคงไม่เข้าใจในเวลานี้
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น คนผู้นี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องเย่ของเราอย่างแน่นอน
ตั้งแต่พระชายาอภิเษกสมรสเข้าจวนอ๋องจนถึงตอนนี้ ผู้น้อยได้สอบถามแล้วว่ายังไม่เคยใช้เลือดช่วยผู้คนเลย นอกซะจากว่าคนที่มาจากจวนท่านแม่ทัพ แต่ผู้น้อยก็ส่งคนไปสืบอย่างลับๆที่จวนของท่านแม่ทัพ แม้ว่าคนมากมายที่จวนแม่ทัพจะรู้ว่าเรื่องที่พระชายาได้เรียนรู้ทักษะทางการแพทย์เพื่อช่วยชีวิตผู้คน แต่ก็ไม่ได้เชื่อมากนัก ผู้น้อยคิดว่าเรื่องที่พระชายารู้ทักษะทางการแพทย์นั้น ที่จวนท่านแม่ทัพก็ไม่รู้
หากเป็นตามนี้ ตอนที่พระชายาอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพน่าจะไม่เคยใช้เลือดเลย
สาเหตุที่แท้จริงนั้นน่าจะอยู่ที่จวนอ๋องเย่เพียงเท่านั้น ”
“เคยใช้เพียงกับข้าผู้เดียว?” หนานกงเย่หันกลับมาแล้วเดินอย่างสงบ เดินไปพร้อมทั้งแปลกใจไปด้วย หรือว่านางก็ไม่รู้ว่าเลือดตนเองมีประโยชน์ จนกระทั่งเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยรู้โดยไม่ได้ตั้งใจ
“คนในจวนก็ต้องสอบสวนต่อไป เริ่มจากพ่อบ้านก่อน” หนานกงเย่จากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้ง ถังเหอและพ่อบ้านเอาไว้ พ่อบ้านใบหน้าประหลาดใจและกำลังยุ่งอยู่กับการมองหาหนานกงเย่ คิดไปคิดมาก็ละทิ้งไป
ท่านอ๋องกล่าวหนึ่งแล้วไม่มีสอง หาไปก็ไร้ประโยชน์ กลับทำให้เขาสงสัยมากยิ่งขึ้น
“คุณชายถัง ท่านตรวจสอบไปเถอะโดยเริ่มจากข้า” พ่อบ้านเต็มใจให้ความร่วมมือ
ถังเหอแปลกใจ: “เจ้าสังเกตหรือไม่ว่าท่านอ๋องจากไปอย่างรีบร้อน?”
พ่อบ้านร้องอ๊าขึ้นเสียงหนึ่งแล้วมองไปด้านที่หนานกงเย่จากไป เพียงครู่เดียว: “เรื่องที่ท่านอ๋องให้พระชายาค้างคืนที่ห้องของเขาเมื่อคืน คุณชายถังไม่รู้หรอกหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าช่วงนี้ท่านอ๋องให้พระชายาค้างคืนในห้องของเขาตลอดหรือ?” ถังเหอก็รู้สึกแปลกที่ทั้งสองคนสามารถค้างคืนด้วยกันได้ ช่างน่าทึ่งนัก!
“ท่านอ๋องตื่นแต่เช้ารับสั่งให้เพิ่มการอารักขาปกป้องพระชายา” พ่อบ้านมีใจชี้แจง
ถังเหอไร้เหตุผลที่จะไม่รู้ ที่ผ่านมาท่านอ๋องพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้พระชายาสิ้นพระชนม์ บัดนี้กลับเพิ่มกำลังอารักขา
ความไร้เดียงสาเปลี่ยนไปแล้ว!
ฉีเฟยอวิ๋นมาถึงโรงเก็บยาสมุนไพร เสียเวลาอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง จวนอ๋องเย่มีการดูแลที่เข้มงวด แม้ว่าจะเป็นเพียงโรงเก็บยาสมุนไพรหากไม่มีป้ายของหนานกงเย่ก็ไม่สามารถเข้าไปได้
หน้าประตูมีองครักษ์สองคนยืนเฝ้าประตูอยู่ แม้ว่าเมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นแล้วจะไม่ได้ดูหมิ่นนาง แต่ก็มีท่าทีเย็นชาต่อนางอย่างยิ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นต้องการเข้าไปแต่ทั้งสองคนไม่ปล่อยให้เข้า โดยขอดูป้ายผ่านประตูจากฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นมีป้ายที่ใดเล่า ขณะที่เสียเวลาว่าจะไปหาหนานกงเย่เพื่อขอป้ายสักอันหรือไม่ ทั้งสองคนก็ก้มศีรษะลงพร้อมเพรียงกัน: “ท่านอ๋อง”
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมามอง หนานกงเย่ก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว
“หม่อมฉันขอคำนับท่านอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นก้มกายลงคำนับอย่างช่วยไม่ได้ เพิ่งแยกจากกันพอพบหน้ากันก็ต้องทำความเคารพ ผู้หญิงสมัยโบราณน่าสงสารเวทนาซะจริง
เหตุใดสิ่งเหล่านี้ถึงได้ไร้ค่าเช่นนี้!
สามีภรรยาเดิมนั้นควรมีฐานะที่เท่าเทียมกัน ไร้ซึ่งการแบ่งแยกความสูงส่งต่ำต้อย แต่พอมาถึงในสมัยโบราณ ผู้หญิงนั้นต่ำกว่าสักช่วงหนึ่ง ไม่เพียงแต่ต้องทนให้ผู้ชายมีอนุ ยังต้องแสร้งทำเป็นมีความสุข แม้กระทั่งการเข้านอนยังต้องขอร้องจากผู้ชาย
หญิงสาวสมัยโบราณนั้นน่าโศกเศร้าเวทนามากกว่าอยู่บ้างจริงๆ!
นางประสบความโชคร้ายแปดชั่วคนเข้าซะแล้ว ทะลุมิติมายังสถานที่แห่งนี้ และอยู่ภายใต้บาปกรรมที่ถูกกำหนดไว้นี้!
“มีสิ่งใดหรือ?” หนานกงเย่กล่าวถามแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็อธิบายว่า: “เพิ่งจะมาถึงยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด ท่านอ๋องก็มาถึงแล้ว งั้นก็เข้าไปพร้อมกันพอดีเลย”
องครักษ์ตกใจที่ฉีเฟยอวิ๋นช่วยกล่าวแทนพวกเขา
**********************
Comments
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ 75 สองคนที่เหมาะสมกัน
บทที่ 75 สองคนที่เหมาะสมกัน
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้เอามาใส่ใจมากนัก นางไม่ล้มไปก็เป็นโชคอันดีมากแล้ว
สำหรับเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ในเวลานี้ ไม่ได้หยิบมีดเล่มหนึ่งออกมานางก็พึงพอใจแล้ว อย่างไรก็ตามนางเป็นผู้ที่ทำให้เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ได้เป็นพระชายารองของอ๋องเย่
“อ๋องเย่” เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ร้องห่มร้องไห้และกระวนกระวายใจ ฉากเมื่อครู่นี้ต้องถูกเห็นเข้าแล้วเป็นแน่ ประมาทมากจนเกินไป ต่อไปจะอยู่ร่วมกับอ๋องเย่ได้เช่นไร!
“อวิ๋นเอ๋อร์ วันนี้ข้ามีงานรัดตัว หากมีเรื่องอันใดไว้ค่อยคุยกันวันหลัง อาอวี๋ ส่งอวิ๋นเอ๋อร์กลับไปหน่อย”
หนานกงเย่กล่าวจบก็หันเดินไปยังด้านนอกประตู เฉินอวิ๋นเอ๋อร์จู่ๆงุนงงนิ่งอึ้งหยุดร้องไห้ไปเลย ฉีเฟยอวิ๋นก็หันหลังและเดินตามออกไป
ท่านอ๋องก็บอกแล้วว่าค่อยคุยกันวันหลัง นางผู้เป็นชายาก็ไม่ควรกล่าวสิ่งใดอีก
ขณะที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์จากไปด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย พอเดินถึงตรงประตูเดินไม่ดีเลยล้มลง อาอวี่ไม่ได้ก้าวไปพยุงข้างหน้าและไม่ได้ถามไถ่
ฉากที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ขัดขาพระชายาเขาเห็นด้วยตา หากมิใช่ว่าท่านอ๋องมาทันเวลา พระชายาคงจะล้มลงแล้ว
อาอวี่ไม่พอใจยิ่งนัก
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ค่อยๆลุกขึ้นจากพื้นโดยไม่สามารถสนใจว่าน่าอายเพียงใด แล้วรีบขึ้นยังรถม้า
คนขับรถม้ารีบขับรถม้าออกไป ส่วนอาอวี่ก็ขี่ม้าคุ้มกันอยู่ข้างหลัง
ฉีเฟยอวิ๋นเดินถึงที่ประตูแล้วมองดูรถม้าที่ห่างออกจากไป ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เรื่องอันน่าเศร้าที่สุดของผู้หญิงก็คือหลงคิดว่าจะเปลี่ยนใจของผู้ที่ไม่ชอบได้
แท้ที่จริงแล้วเจ้าของเดิมและเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่แตกต่างกันเลย เพียงแต่ว่าเจ้าของเดิมรุนแรงกว่า ขณะที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์สงวนตัวมากกว่า
แต่มีสำนวนว่า เท้าเปล่าไม่กลัวการใส่รองเท้า
เจ้าของเดิมกลายเป็นพระชายาเย่อย่างไม่ได้คาดฝัน เฉินอวิ๋นเอ๋อร์กลับรอมาได้เพียงสองมืออันว่างเปล่า
กระต่ายตื่นตัวยังกัดคนเลย นับประสาอะไรกับคน!
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ร้อนใจ!
เมื่อหันกลับมาฉีเฟยอวิ๋นกำลังเตรียมตัวกลับ หนานกงเย่ยืนมองนางอยู่ตรงลานจวน ฉีเฟยอวิ๋นลังเลครู่หนึ่งแล้วเดินไปหาเขา
“ท่านอ๋อง”
หนานกงเย่กลับไม่ได้กล่าวถึงผู้ใดเลย หันกลับจากไปแล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าหิวแล้ว ทานข้าวกันเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบตามไปอย่างรีบร้อน เดิมทีอยากจะถามว่าเมื่อครู่เห็นเหตุการณ์ขัดขาของเฉินอวิ๋นเอ๋อร์หรือไม่ คำพูดนี้ติดอยู่ที่ปากแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็กลืนมันลงไป หากถามไปแล้วจริงจะได้สิ่งใด เขาไม่ได้สนใจใยดีนางถึงถามไปก็รังแต่เป็นการถามมากเกินจำเป็น ส่วนเรื่องอันแท้จริงที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์เป็นคนของฝ่ายพระมารดาของฮองเฮานั้น แม้ว่านางจะขัดขาเขาก็ไม่สามารถตำหนิได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นนางก็เป็นแค่แพะรับบาป ยังจะมีสิ่งใดให้ถามอีก!
ถือซะว่านางโชคร้าย วันหลังก็ต้องระมัดระวังเอาไว้เพื่อไม่ให้ถูกคนเล่นงานแล้วยังไม่รู้ตัวอีก
เมื่อมาถึงห้องทานอาหารทั้งสองก็ทานอาหารร่วมกัน
มื้อเที่ยงทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบ มีกับข้าวสี่อย่างและน้ำซุปหนึ่งอย่างพร้อมด้วยคนคอยปรนนิบัติ
พ่อบ้านเก่าแก่ดูแลอยู่ข้างๆ ฉีเฟยอวิ๋นยกข้าวขึ้นทานโดยทานข้าวคำหนึ่งทานกับข้าวคำหนึ่ง ทานไปด้วยความสุข
ข้อดีที่ได้เปรียบที่สุดของการทานข้าวกับหนานกงเย่คือไม่มีใครแย่ง หนานกงเย่ทานน้อยอยู่แล้ว ถึงอาหารจะอร่อยแค่ไหน เขาก็ทานได้แค่ไม่กี่คำเท่านั้นเอง
ไม่เหมือนฉีเฟยอวิ๋นที่ทานมากหรือน้อย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความอยากของนาง
ฉีเฟยอวิ๋นทานอาหารเรียบร้อยแล้วก็เช็ดปาก: “ท่านอ๋องค่อยๆทาน ข้าน้อยทานอิ่มแล้ว”
หนานกงเย่ถือตะเกียบไว้โดยกินไปไม่กี่คำ ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นฉีเฟยอวิ๋นทาน แต่นี่เกรงว่าจะเป็นความจริงครั้งหนึ่งเลย เป็นเหมือนหญิงสาวครอบครัวธรรมดาๆที่ทานอาหารอย่างไม่เสแสร้ง
ที่ผ่านมาหนานกงเย่ดูฉีเฟยอวิ๋นทานอาหารอย่างเสแสร้งด้วยท่าทางสะดีดสะดิ้ง ผู้ที่มองดูอยู่นั้นรู้สึกอึดอัดไปทั้วร่าง
“เอาออกไปเถอะ ข้าก็ทานเสร็จแล้ว”
หนานกงเย่ลุกขึ้นไปยังห้องโถงด้านหน้า ฉีเฟยอวิ๋นตามพร้อมกันไปด้วยกับเขา
ระหว่างทางทั้งสองอ้อมโถงทางเดินยาวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ฝีเท้าก็ก้าวเดินประสานกันอย่างน่าอัศจรรย์
ทังเหอเดินมาจากฝั่งหนึ่ง เห็นทั้งสองเข้าก็อดที่จะตะลึงไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง หากไม่ใช่เพราะพระชายานั้นฉาวโฉ่ด้านนอก ทั้งสองคนก็ดูเหมาะสมกันจริงๆ
หนานกงเย่เห็นทังเหอหยุดลง: “มีธุระหรือ?”
“ท่านอ๋อง เรื่องที่ให้ผู้น้อยตรวจสอบเมื่อวาน ผู้น้อยตรวจสอบแล้ว”
“ได้เรื่องแล้วหรือ?”
หนานกงเย่ใบหน้าเย็นชา ทังเหอเดินเข้าใกล้แล้วคำนับฉีเฟยอวิ๋นก่อน: “พระชายา”
“สวัสดีคุณชายทัง”
“สวัสดี”
ทังเหออึดอัดใจ พระชายาต่างไปจริงๆ
สองครั้งก่อนช่วยเหลืออาอวี่และอาซิว ตอนนี้ก็มีมารยาทเช่นนี้ เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“คุณชายทังมีเรื่องปรึกษากับท่านอ๋อง หม่อมฉันขอตัวก่อน”
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ต้องการรู้เรื่องเหล่านั้นของหนานกงเย่ ตอนนี้นางเป็นห่วงเพียงสิ่งของที่ต้องเตรียมให้ฮองเฮา หากตระเตรียมไว้ไม่ดีก็จะถูกลงโทษ นางจะมีศีรษะกี่หัวที่จะทำให้ฮองเฮาไม่พอพระทัยได้?
ออกจากฉีเฟยอวิ๋นไปยังโรงเก็บยาสมุนไพรทางโน้น เตรียมพร้อมไปดูไว้ซะก่อน
หนานกงเย่เหลือบมองไปทางคนธรรมดาๆตรงนั้น กลับดูน่าสนใจยิ่งนัก!
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปไกลแล้ว หนานกงเย่มองไปยังทังเหอ: “พูดเถอะ”
“กราบทูลท่านอ๋อง ผู้น้อยได้สอบถามจากทั่วทุกทางจากนั้นจึงได้รู้ว่าทั่วปฐพีมีผู้คนไม่มากที่รู้เรื่องของพระชายา สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีผู้ใดรู้ ส่วนคนเก็บดอกไม้ ยายเฒ่าเก็บดอกไม้ ตาเฒ่าเก็บดอกไม้รู้ได้อย่างไรนั้น ผู้น้อยคิดว่าต้องมีคนเปิดเผยแค่ด้านเดียวให้พวกเขารู้ แต่ผู้ที่สามารถเปิดเผยไปถึงคนของพวกเขาที่นั่น คาดว่าคงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
ผู้น้อยคิดว่าเนื่องจากคนผู้นี้ไม่ได้เผยแพร่เรื่องราวไปทั่วปฐพี ต้องมีเหตุผลบางอย่างถึงจะถูก ส่วนเหตุผลนั้นคืออะไรผู้น้อยยังคงไม่เข้าใจในเวลานี้
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น คนผู้นี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องเย่ของเราอย่างแน่นอน
ตั้งแต่พระชายาอภิเษกสมรสเข้าจวนอ๋องจนถึงตอนนี้ ผู้น้อยได้สอบถามแล้วว่ายังไม่เคยใช้เลือดช่วยผู้คนเลย นอกซะจากว่าคนที่มาจากจวนท่านแม่ทัพ แต่ผู้น้อยก็ส่งคนไปสืบอย่างลับๆที่จวนของท่านแม่ทัพ แม้ว่าคนมากมายที่จวนแม่ทัพจะรู้ว่าเรื่องที่พระชายาได้เรียนรู้ทักษะทางการแพทย์เพื่อช่วยชีวิตผู้คน แต่ก็ไม่ได้เชื่อมากนัก ผู้น้อยคิดว่าเรื่องที่พระชายารู้ทักษะทางการแพทย์นั้น ที่จวนท่านแม่ทัพก็ไม่รู้
หากเป็นตามนี้ ตอนที่พระชายาอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพน่าจะไม่เคยใช้เลือดเลย
สาเหตุที่แท้จริงนั้นน่าจะอยู่ที่จวนอ๋องเย่เพียงเท่านั้น ”
“เคยใช้เพียงกับข้าผู้เดียว?” หนานกงเย่หันกลับมาแล้วเดินอย่างสงบ เดินไปพร้อมทั้งแปลกใจไปด้วย หรือว่านางก็ไม่รู้ว่าเลือดตนเองมีประโยชน์ จนกระทั่งเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยรู้โดยไม่ได้ตั้งใจ
“คนในจวนก็ต้องสอบสวนต่อไป เริ่มจากพ่อบ้านก่อน” หนานกงเย่จากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้ง ถังเหอและพ่อบ้านเอาไว้ พ่อบ้านใบหน้าประหลาดใจและกำลังยุ่งอยู่กับการมองหาหนานกงเย่ คิดไปคิดมาก็ละทิ้งไป
ท่านอ๋องกล่าวหนึ่งแล้วไม่มีสอง หาไปก็ไร้ประโยชน์ กลับทำให้เขาสงสัยมากยิ่งขึ้น
“คุณชายถัง ท่านตรวจสอบไปเถอะโดยเริ่มจากข้า” พ่อบ้านเต็มใจให้ความร่วมมือ
ถังเหอแปลกใจ: “เจ้าสังเกตหรือไม่ว่าท่านอ๋องจากไปอย่างรีบร้อน?”
พ่อบ้านร้องอ๊าขึ้นเสียงหนึ่งแล้วมองไปด้านที่หนานกงเย่จากไป เพียงครู่เดียว: “เรื่องที่ท่านอ๋องให้พระชายาค้างคืนที่ห้องของเขาเมื่อคืน คุณชายถังไม่รู้หรอกหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าช่วงนี้ท่านอ๋องให้พระชายาค้างคืนในห้องของเขาตลอดหรือ?” ถังเหอก็รู้สึกแปลกที่ทั้งสองคนสามารถค้างคืนด้วยกันได้ ช่างน่าทึ่งนัก!
“ท่านอ๋องตื่นแต่เช้ารับสั่งให้เพิ่มการอารักขาปกป้องพระชายา” พ่อบ้านมีใจชี้แจง
ถังเหอไร้เหตุผลที่จะไม่รู้ ที่ผ่านมาท่านอ๋องพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้พระชายาสิ้นพระชนม์ บัดนี้กลับเพิ่มกำลังอารักขา
ความไร้เดียงสาเปลี่ยนไปแล้ว!
ฉีเฟยอวิ๋นมาถึงโรงเก็บยาสมุนไพร เสียเวลาอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง จวนอ๋องเย่มีการดูแลที่เข้มงวด แม้ว่าจะเป็นเพียงโรงเก็บยาสมุนไพรหากไม่มีป้ายของหนานกงเย่ก็ไม่สามารถเข้าไปได้
หน้าประตูมีองครักษ์สองคนยืนเฝ้าประตูอยู่ แม้ว่าเมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นแล้วจะไม่ได้ดูหมิ่นนาง แต่ก็มีท่าทีเย็นชาต่อนางอย่างยิ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นต้องการเข้าไปแต่ทั้งสองคนไม่ปล่อยให้เข้า โดยขอดูป้ายผ่านประตูจากฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นมีป้ายที่ใดเล่า ขณะที่เสียเวลาว่าจะไปหาหนานกงเย่เพื่อขอป้ายสักอันหรือไม่ ทั้งสองคนก็ก้มศีรษะลงพร้อมเพรียงกัน: “ท่านอ๋อง”
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมามอง หนานกงเย่ก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว
“หม่อมฉันขอคำนับท่านอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นก้มกายลงคำนับอย่างช่วยไม่ได้ เพิ่งแยกจากกันพอพบหน้ากันก็ต้องทำความเคารพ ผู้หญิงสมัยโบราณน่าสงสารเวทนาซะจริง
เหตุใดสิ่งเหล่านี้ถึงได้ไร้ค่าเช่นนี้!
สามีภรรยาเดิมนั้นควรมีฐานะที่เท่าเทียมกัน ไร้ซึ่งการแบ่งแยกความสูงส่งต่ำต้อย แต่พอมาถึงในสมัยโบราณ ผู้หญิงนั้นต่ำกว่าสักช่วงหนึ่ง ไม่เพียงแต่ต้องทนให้ผู้ชายมีอนุ ยังต้องแสร้งทำเป็นมีความสุข แม้กระทั่งการเข้านอนยังต้องขอร้องจากผู้ชาย
หญิงสาวสมัยโบราณนั้นน่าโศกเศร้าเวทนามากกว่าอยู่บ้างจริงๆ!
นางประสบความโชคร้ายแปดชั่วคนเข้าซะแล้ว ทะลุมิติมายังสถานที่แห่งนี้ และอยู่ภายใต้บาปกรรมที่ถูกกำหนดไว้นี้!
“มีสิ่งใดหรือ?” หนานกงเย่กล่าวถามแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็อธิบายว่า: “เพิ่งจะมาถึงยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด ท่านอ๋องก็มาถึงแล้ว งั้นก็เข้าไปพร้อมกันพอดีเลย”
องครักษ์ตกใจที่ฉีเฟยอวิ๋นช่วยกล่าวแทนพวกเขา
**********************
Comments
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ 75 สองคนที่เหมาะสมกัน
บทที่ 75 สองคนที่เหมาะสมกัน
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้เอามาใส่ใจมากนัก นางไม่ล้มไปก็เป็นโชคอันดีมากแล้ว
สำหรับเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ในเวลานี้ ไม่ได้หยิบมีดเล่มหนึ่งออกมานางก็พึงพอใจแล้ว อย่างไรก็ตามนางเป็นผู้ที่ทำให้เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ได้เป็นพระชายารองของอ๋องเย่
“อ๋องเย่” เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ร้องห่มร้องไห้และกระวนกระวายใจ ฉากเมื่อครู่นี้ต้องถูกเห็นเข้าแล้วเป็นแน่ ประมาทมากจนเกินไป ต่อไปจะอยู่ร่วมกับอ๋องเย่ได้เช่นไร!
“อวิ๋นเอ๋อร์ วันนี้ข้ามีงานรัดตัว หากมีเรื่องอันใดไว้ค่อยคุยกันวันหลัง อาอวี๋ ส่งอวิ๋นเอ๋อร์กลับไปหน่อย”
หนานกงเย่กล่าวจบก็หันเดินไปยังด้านนอกประตู เฉินอวิ๋นเอ๋อร์จู่ๆงุนงงนิ่งอึ้งหยุดร้องไห้ไปเลย ฉีเฟยอวิ๋นก็หันหลังและเดินตามออกไป
ท่านอ๋องก็บอกแล้วว่าค่อยคุยกันวันหลัง นางผู้เป็นชายาก็ไม่ควรกล่าวสิ่งใดอีก
ขณะที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์จากไปด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย พอเดินถึงตรงประตูเดินไม่ดีเลยล้มลง อาอวี่ไม่ได้ก้าวไปพยุงข้างหน้าและไม่ได้ถามไถ่
ฉากที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ขัดขาพระชายาเขาเห็นด้วยตา หากมิใช่ว่าท่านอ๋องมาทันเวลา พระชายาคงจะล้มลงแล้ว
อาอวี่ไม่พอใจยิ่งนัก
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ค่อยๆลุกขึ้นจากพื้นโดยไม่สามารถสนใจว่าน่าอายเพียงใด แล้วรีบขึ้นยังรถม้า
คนขับรถม้ารีบขับรถม้าออกไป ส่วนอาอวี่ก็ขี่ม้าคุ้มกันอยู่ข้างหลัง
ฉีเฟยอวิ๋นเดินถึงที่ประตูแล้วมองดูรถม้าที่ห่างออกจากไป ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เรื่องอันน่าเศร้าที่สุดของผู้หญิงก็คือหลงคิดว่าจะเปลี่ยนใจของผู้ที่ไม่ชอบได้
แท้ที่จริงแล้วเจ้าของเดิมและเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่แตกต่างกันเลย เพียงแต่ว่าเจ้าของเดิมรุนแรงกว่า ขณะที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์สงวนตัวมากกว่า
แต่มีสำนวนว่า เท้าเปล่าไม่กลัวการใส่รองเท้า
เจ้าของเดิมกลายเป็นพระชายาเย่อย่างไม่ได้คาดฝัน เฉินอวิ๋นเอ๋อร์กลับรอมาได้เพียงสองมืออันว่างเปล่า
กระต่ายตื่นตัวยังกัดคนเลย นับประสาอะไรกับคน!
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ร้อนใจ!
เมื่อหันกลับมาฉีเฟยอวิ๋นกำลังเตรียมตัวกลับ หนานกงเย่ยืนมองนางอยู่ตรงลานจวน ฉีเฟยอวิ๋นลังเลครู่หนึ่งแล้วเดินไปหาเขา
“ท่านอ๋อง”
หนานกงเย่กลับไม่ได้กล่าวถึงผู้ใดเลย หันกลับจากไปแล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าหิวแล้ว ทานข้าวกันเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบตามไปอย่างรีบร้อน เดิมทีอยากจะถามว่าเมื่อครู่เห็นเหตุการณ์ขัดขาของเฉินอวิ๋นเอ๋อร์หรือไม่ คำพูดนี้ติดอยู่ที่ปากแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็กลืนมันลงไป หากถามไปแล้วจริงจะได้สิ่งใด เขาไม่ได้สนใจใยดีนางถึงถามไปก็รังแต่เป็นการถามมากเกินจำเป็น ส่วนเรื่องอันแท้จริงที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์เป็นคนของฝ่ายพระมารดาของฮองเฮานั้น แม้ว่านางจะขัดขาเขาก็ไม่สามารถตำหนิได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นนางก็เป็นแค่แพะรับบาป ยังจะมีสิ่งใดให้ถามอีก!
ถือซะว่านางโชคร้าย วันหลังก็ต้องระมัดระวังเอาไว้เพื่อไม่ให้ถูกคนเล่นงานแล้วยังไม่รู้ตัวอีก
เมื่อมาถึงห้องทานอาหารทั้งสองก็ทานอาหารร่วมกัน
มื้อเที่ยงทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบ มีกับข้าวสี่อย่างและน้ำซุปหนึ่งอย่างพร้อมด้วยคนคอยปรนนิบัติ
พ่อบ้านเก่าแก่ดูแลอยู่ข้างๆ ฉีเฟยอวิ๋นยกข้าวขึ้นทานโดยทานข้าวคำหนึ่งทานกับข้าวคำหนึ่ง ทานไปด้วยความสุข
ข้อดีที่ได้เปรียบที่สุดของการทานข้าวกับหนานกงเย่คือไม่มีใครแย่ง หนานกงเย่ทานน้อยอยู่แล้ว ถึงอาหารจะอร่อยแค่ไหน เขาก็ทานได้แค่ไม่กี่คำเท่านั้นเอง
ไม่เหมือนฉีเฟยอวิ๋นที่ทานมากหรือน้อย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความอยากของนาง
ฉีเฟยอวิ๋นทานอาหารเรียบร้อยแล้วก็เช็ดปาก: “ท่านอ๋องค่อยๆทาน ข้าน้อยทานอิ่มแล้ว”
หนานกงเย่ถือตะเกียบไว้โดยกินไปไม่กี่คำ ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นฉีเฟยอวิ๋นทาน แต่นี่เกรงว่าจะเป็นความจริงครั้งหนึ่งเลย เป็นเหมือนหญิงสาวครอบครัวธรรมดาๆที่ทานอาหารอย่างไม่เสแสร้ง
ที่ผ่านมาหนานกงเย่ดูฉีเฟยอวิ๋นทานอาหารอย่างเสแสร้งด้วยท่าทางสะดีดสะดิ้ง ผู้ที่มองดูอยู่นั้นรู้สึกอึดอัดไปทั้วร่าง
“เอาออกไปเถอะ ข้าก็ทานเสร็จแล้ว”
หนานกงเย่ลุกขึ้นไปยังห้องโถงด้านหน้า ฉีเฟยอวิ๋นตามพร้อมกันไปด้วยกับเขา
ระหว่างทางทั้งสองอ้อมโถงทางเดินยาวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ฝีเท้าก็ก้าวเดินประสานกันอย่างน่าอัศจรรย์
ทังเหอเดินมาจากฝั่งหนึ่ง เห็นทั้งสองเข้าก็อดที่จะตะลึงไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง หากไม่ใช่เพราะพระชายานั้นฉาวโฉ่ด้านนอก ทั้งสองคนก็ดูเหมาะสมกันจริงๆ
หนานกงเย่เห็นทังเหอหยุดลง: “มีธุระหรือ?”
“ท่านอ๋อง เรื่องที่ให้ผู้น้อยตรวจสอบเมื่อวาน ผู้น้อยตรวจสอบแล้ว”
“ได้เรื่องแล้วหรือ?”
หนานกงเย่ใบหน้าเย็นชา ทังเหอเดินเข้าใกล้แล้วคำนับฉีเฟยอวิ๋นก่อน: “พระชายา”
“สวัสดีคุณชายทัง”
“สวัสดี”
ทังเหออึดอัดใจ พระชายาต่างไปจริงๆ
สองครั้งก่อนช่วยเหลืออาอวี่และอาซิว ตอนนี้ก็มีมารยาทเช่นนี้ เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“คุณชายทังมีเรื่องปรึกษากับท่านอ๋อง หม่อมฉันขอตัวก่อน”
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ต้องการรู้เรื่องเหล่านั้นของหนานกงเย่ ตอนนี้นางเป็นห่วงเพียงสิ่งของที่ต้องเตรียมให้ฮองเฮา หากตระเตรียมไว้ไม่ดีก็จะถูกลงโทษ นางจะมีศีรษะกี่หัวที่จะทำให้ฮองเฮาไม่พอพระทัยได้?
ออกจากฉีเฟยอวิ๋นไปยังโรงเก็บยาสมุนไพรทางโน้น เตรียมพร้อมไปดูไว้ซะก่อน
หนานกงเย่เหลือบมองไปทางคนธรรมดาๆตรงนั้น กลับดูน่าสนใจยิ่งนัก!
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปไกลแล้ว หนานกงเย่มองไปยังทังเหอ: “พูดเถอะ”
“กราบทูลท่านอ๋อง ผู้น้อยได้สอบถามจากทั่วทุกทางจากนั้นจึงได้รู้ว่าทั่วปฐพีมีผู้คนไม่มากที่รู้เรื่องของพระชายา สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีผู้ใดรู้ ส่วนคนเก็บดอกไม้ ยายเฒ่าเก็บดอกไม้ ตาเฒ่าเก็บดอกไม้รู้ได้อย่างไรนั้น ผู้น้อยคิดว่าต้องมีคนเปิดเผยแค่ด้านเดียวให้พวกเขารู้ แต่ผู้ที่สามารถเปิดเผยไปถึงคนของพวกเขาที่นั่น คาดว่าคงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
ผู้น้อยคิดว่าเนื่องจากคนผู้นี้ไม่ได้เผยแพร่เรื่องราวไปทั่วปฐพี ต้องมีเหตุผลบางอย่างถึงจะถูก ส่วนเหตุผลนั้นคืออะไรผู้น้อยยังคงไม่เข้าใจในเวลานี้
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น คนผู้นี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องเย่ของเราอย่างแน่นอน
ตั้งแต่พระชายาอภิเษกสมรสเข้าจวนอ๋องจนถึงตอนนี้ ผู้น้อยได้สอบถามแล้วว่ายังไม่เคยใช้เลือดช่วยผู้คนเลย นอกซะจากว่าคนที่มาจากจวนท่านแม่ทัพ แต่ผู้น้อยก็ส่งคนไปสืบอย่างลับๆที่จวนของท่านแม่ทัพ แม้ว่าคนมากมายที่จวนแม่ทัพจะรู้ว่าเรื่องที่พระชายาได้เรียนรู้ทักษะทางการแพทย์เพื่อช่วยชีวิตผู้คน แต่ก็ไม่ได้เชื่อมากนัก ผู้น้อยคิดว่าเรื่องที่พระชายารู้ทักษะทางการแพทย์นั้น ที่จวนท่านแม่ทัพก็ไม่รู้
หากเป็นตามนี้ ตอนที่พระชายาอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพน่าจะไม่เคยใช้เลือดเลย
สาเหตุที่แท้จริงนั้นน่าจะอยู่ที่จวนอ๋องเย่เพียงเท่านั้น ”
“เคยใช้เพียงกับข้าผู้เดียว?” หนานกงเย่หันกลับมาแล้วเดินอย่างสงบ เดินไปพร้อมทั้งแปลกใจไปด้วย หรือว่านางก็ไม่รู้ว่าเลือดตนเองมีประโยชน์ จนกระทั่งเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยรู้โดยไม่ได้ตั้งใจ
“คนในจวนก็ต้องสอบสวนต่อไป เริ่มจากพ่อบ้านก่อน” หนานกงเย่จากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้ง ถังเหอและพ่อบ้านเอาไว้ พ่อบ้านใบหน้าประหลาดใจและกำลังยุ่งอยู่กับการมองหาหนานกงเย่ คิดไปคิดมาก็ละทิ้งไป
ท่านอ๋องกล่าวหนึ่งแล้วไม่มีสอง หาไปก็ไร้ประโยชน์ กลับทำให้เขาสงสัยมากยิ่งขึ้น
“คุณชายถัง ท่านตรวจสอบไปเถอะโดยเริ่มจากข้า” พ่อบ้านเต็มใจให้ความร่วมมือ
ถังเหอแปลกใจ: “เจ้าสังเกตหรือไม่ว่าท่านอ๋องจากไปอย่างรีบร้อน?”
พ่อบ้านร้องอ๊าขึ้นเสียงหนึ่งแล้วมองไปด้านที่หนานกงเย่จากไป เพียงครู่เดียว: “เรื่องที่ท่านอ๋องให้พระชายาค้างคืนที่ห้องของเขาเมื่อคืน คุณชายถังไม่รู้หรอกหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าช่วงนี้ท่านอ๋องให้พระชายาค้างคืนในห้องของเขาตลอดหรือ?” ถังเหอก็รู้สึกแปลกที่ทั้งสองคนสามารถค้างคืนด้วยกันได้ ช่างน่าทึ่งนัก!
“ท่านอ๋องตื่นแต่เช้ารับสั่งให้เพิ่มการอารักขาปกป้องพระชายา” พ่อบ้านมีใจชี้แจง
ถังเหอไร้เหตุผลที่จะไม่รู้ ที่ผ่านมาท่านอ๋องพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้พระชายาสิ้นพระชนม์ บัดนี้กลับเพิ่มกำลังอารักขา
ความไร้เดียงสาเปลี่ยนไปแล้ว!
ฉีเฟยอวิ๋นมาถึงโรงเก็บยาสมุนไพร เสียเวลาอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง จวนอ๋องเย่มีการดูแลที่เข้มงวด แม้ว่าจะเป็นเพียงโรงเก็บยาสมุนไพรหากไม่มีป้ายของหนานกงเย่ก็ไม่สามารถเข้าไปได้
หน้าประตูมีองครักษ์สองคนยืนเฝ้าประตูอยู่ แม้ว่าเมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นแล้วจะไม่ได้ดูหมิ่นนาง แต่ก็มีท่าทีเย็นชาต่อนางอย่างยิ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นต้องการเข้าไปแต่ทั้งสองคนไม่ปล่อยให้เข้า โดยขอดูป้ายผ่านประตูจากฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นมีป้ายที่ใดเล่า ขณะที่เสียเวลาว่าจะไปหาหนานกงเย่เพื่อขอป้ายสักอันหรือไม่ ทั้งสองคนก็ก้มศีรษะลงพร้อมเพรียงกัน: “ท่านอ๋อง”
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมามอง หนานกงเย่ก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว
“หม่อมฉันขอคำนับท่านอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นก้มกายลงคำนับอย่างช่วยไม่ได้ เพิ่งแยกจากกันพอพบหน้ากันก็ต้องทำความเคารพ ผู้หญิงสมัยโบราณน่าสงสารเวทนาซะจริง
เหตุใดสิ่งเหล่านี้ถึงได้ไร้ค่าเช่นนี้!
สามีภรรยาเดิมนั้นควรมีฐานะที่เท่าเทียมกัน ไร้ซึ่งการแบ่งแยกความสูงส่งต่ำต้อย แต่พอมาถึงในสมัยโบราณ ผู้หญิงนั้นต่ำกว่าสักช่วงหนึ่ง ไม่เพียงแต่ต้องทนให้ผู้ชายมีอนุ ยังต้องแสร้งทำเป็นมีความสุข แม้กระทั่งการเข้านอนยังต้องขอร้องจากผู้ชาย
หญิงสาวสมัยโบราณนั้นน่าโศกเศร้าเวทนามากกว่าอยู่บ้างจริงๆ!
นางประสบความโชคร้ายแปดชั่วคนเข้าซะแล้ว ทะลุมิติมายังสถานที่แห่งนี้ และอยู่ภายใต้บาปกรรมที่ถูกกำหนดไว้นี้!
“มีสิ่งใดหรือ?” หนานกงเย่กล่าวถามแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็อธิบายว่า: “เพิ่งจะมาถึงยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด ท่านอ๋องก็มาถึงแล้ว งั้นก็เข้าไปพร้อมกันพอดีเลย”
องครักษ์ตกใจที่ฉีเฟยอวิ๋นช่วยกล่าวแทนพวกเขา
**********************
Comments
Pengaturan Membaca
The quick brown fox jumps over the lazy dog
Background :
Font :
Size :