องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ 82 มอบไข่มุกราตรีให้นาง

Now you are reading องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ Chapter 82 มอบไข่มุกราตรีให้นาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

 

 

บทที่ 82 มอบไข่มุกราตรีให้นาง

 

บอกยังไม่กินก็ขายหน้าแย่สิ

หนานกงเย่เหล่ตามองฉีเฟยอวิ๋นแวบหนึ่ง พลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์รอ เจ้ากลับกินคนเดียว เห็นทีพระชายาจะอิสระในจวนมากขึ้นเสียแล้ว ถึงกับมีคนทำอาหารให้พระชายาโดยเฉพาะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นไร้คำพูด นางไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี?

ทันใดนั้นท้องของฉีเฟยอวิ๋นดันร้องจ๊อกๆ รู้สึกประหม่ายิ่งนัก

หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นอย่างมีเลศนัย ลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “ลำบากพระชายากินเป็นเพื่อนข้าอีกรอบเถอะ”

ตรงกับจุดประสงค์ของฉีเฟยอวิ๋นพอดี

เมื่อไปถึงห้องรับประทานอาหาร ฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่พลันนั่งลง ทั้งสองเริ่มทานมื้อเช้าด้วยกัน

ไม่มีใครพูดคุย เป็นการกินข้าวที่เงียบกริบมาก โดยเฉพาะฉีเฟยอวิ๋นที่กินจนขนลุกชัน

ปกติหนานกงเย่ไม่เคยรอนางกินข้าว ทำไมวันนี้จึงรอนางได้

มองอาหารเหมือนกับยาพิษอย่างไรอย่างนั้น ฉีเฟยอวิ๋นอยากกิน แต่ก็กังวลจะโดนทำร้ายด้วย

เวลาจึงเสมือนผ่านพ้นไปอย่างไร้ค่า ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกโล่งอก ในที่สุดก็กินข้าวหมดเสียที

“อาหารวันนี้ไม่อร่อยหรือ?” หนานกงเย่เห็นนางกินน้อยมาก

“ไม่หิวเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นฉายรอยยิ้มบานสะพรั่ง ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมออกไป

หนานกงเย่เช็ดปากอย่างเชื่องช้า เรียกนาง “เช้านี้พระชายาตาลีตาเหลือกเช่นนี้ จะไปที่ใด?”

ฉีเฟยอวิ๋นหยุดการกระทำ ไม่กล้าเอ่ยอะไร ส่งยิ้มให้หนานกงเย่ด้วยความประหม่า

“ดูไม่ดีเลย”

หนานกงเย่วางผ้าเช็ดปากในมือลง ก่อนจะเดินออกจากประตู ฉีเฟยอวิ๋นรีบเดินอาดๆอยู่ด้านหลัง นางยิ่งอ่านใจหนานกงเย่ไม่ออกก็ยิ่งอยู่ไม่เป็นสุข

มาถึงห้องโถง หนานกงเย่นั่งลง จากนั้นถามว่า “วันนี้ยังยุ่งอีกไหม?”

ฉีเฟยอวิ๋นคาดไม่ถึงว่าหนานกงเย่จะเปลี่ยนไปเร็วเพียงนี้ ณ ขณะนี้นางไม่ได้ไตร่ตรองอะไรมากมาย แค่พยักหน้ายอมรับ

“ขั้นตอนวันนี้สำคัญมากเพคะ” กล่าวจบฉีเฟยอวิ๋นก็ไปยังมุมแยกต่างหาก โดยมีผ้าม่านแขวนกั้นไว้

หนานกงเย่มองกล่องหีบหลายประเภทวางเรียงรายอยู่บนพื้น หลังตรวจสอบสิ่งของด้านในเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือก็ต้องส่งไปยังจวนของราชครูจวินตามจำนวนในรายการที่แนบมา

หนานกงเย่มองเวลาแล้วก็ลุกขึ้นกล่าวว่า “เตรียมรถม้า”

“พ่ะย่ะค่ะ”

คนที่อยู่ด้านนอกขานรับ ตัวฉีเฟยอวิ๋นก็ได้ยินอย่างแจ่มชัด นางรู้ว่าของพวกนี้จำต้องตรวจดูหลายรอบ ดังนั้นเวลานี้หนานกงเย่ก็ยุ่งมากเช่นกัน ถึงแม้ราชวงศ์ไม่ขัดสนของสิ่งเหล่านี้ ทว่าก็สะเพร่าไม่ได้

แม้นจะเป็นงานที่ไม่สำคัญ ทว่าก็เป็นงานละเอียดซับซ้อน ต้องพิถีพิถันมาก

ฉีเฟยอวิ๋นคาดว่าวันนี้นางต้องอยู่คนเดียวในจวนแน่ ถึงแม้จะรู้สึกกังวล ทว่าก็สบายไปอีกแบบ

เพราะตอนอยู่กับหนานกงเย่ นางรู้สึกอึดอัดมาก

ทว่านางคลับคล้ายคลับคล้ายว่าด้านหลังมีคนอยู่ เมื่อหันหลังกลับไปก็สะดุ้งตกใจจนหน้าซีดขาว

“ท่านอ๋อง”

ไอ้บ้าเอ้ย ตกใจหมดเลย ไม่รู้เหรอว่า คนทำให้คนขวัญเสีย มันถึงขั้นตายได้

“ข้าต้องไปจวนสกุลจวิน ไปกันเถอะ”

หนานกงเย่หันหลังเดินออกไป ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ หันมามองสีผึ้งกุหลาบที่ใกล้ทำเสร็จ ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยขึ้นว่า “ข้ายังต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อย หากท่านอ๋องรีบก็ไปก่อนเถอะเพคะ”

ด้านนอกไร้สุ้มเสียง ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าหนานกงเย่ออกไปแล้ว จึงหันมาทำสีผึ้งกุหลาบอย่างมุ่งมั่น

พอนางทำเสร็จก็ถึงเที่ยงแล้ว

หลังเก็บอุปกรณ์ให้เข้าที่เรียบร้อย ฉีเฟยอวิ๋นก็จัดแจงเสื้อผ้าแล้วไปที่ลานบ้าน

เหมันตฤดูอันหนาวเหน็บมีหิมะขาวนวลเริงระบำกลางอากาศ ถือว่าเป็นทิวทัศน์งดงามอย่างหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นใช้ความเร็วของฝีเท้าปกติเดินไปด้านหน้าจวนอ๋องเย่ พลางคิดเรื่องไปจับหนอนไหมเย็น

ทันใดนั้นพลันเห็นมีคนยืนอยู่ตรงนั้น

พอนางหยุดเดินก็เห็นว่าหนานกงเย่กำลังรอนางอยู่

หิมะโรยตัวมาอยู่บนอาภรณ์สีดำของเขา จากนั้นก็กลิ้งลงสู่พื้น

ใบหน้าของเขาขาวหมดจด แววตาใสสะอาดที่เหล่ตามองเล็กน้อย คล้ายกับพระพุทธรูปพันปีที่กำลังหลุบตาขัดสมาธิอยู่ เขามองแววตาตกตะลึงของนางแล้วก็ก้าวเท้าไปอย่างรวดเร็วดุจดั่งสายลม

ไม่รอให้ฉีเฟยอวิ๋นได้สติก็มีเสียงราบเรียบของหนานกงเย่แว่วออกมาจากรถม้า “ยังไม่ขึ้นรถม้าอีก?”

ฉีเฟยอวิ๋นจึงขึ้นรถด้วยห้วงอารมณ์ผู้บริสุทธิ์

ฉีเฟยอวิ๋นแหวกม่านรถม้าออกก็เดินเข้าไป จากนั้นก็เห็นหนานกงเย่กำลังพิงหลังเล่นไข่มุกราตรีอยู่ นางรู้สึกปวดใจยิ่ง

นางถอดรองเท้าแล้วนั่งลง ไม่ได้เอ่ยคำใดก็พิงหลังพักผ่อน

หนานกงเย่ค่อยๆเงยหน้ามองรูปหน้าที่หลับตาพริ้มของฉีเฟยอวิ๋น และฉุกคิดเรื่องที่โดนนางถอดเกือบล่อนจ้อนเมื่อคืน

สตรีผู้นี้ช่างกระตือร้นรือในยามนอนหลับ ทว่าเวลาตื่นทำไมถึงน่าเบื่อเยี่ยงนี้?

เขาจับไข่มุกราตรีไม่แน่น ทำให้ตกหล่นบนผ้านวมในรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นลืมตามองพลันเห็นประกายแสงแพรวพรายเต็มรถม้า ซึ่งแสงลำนี้ล้วนเกิดจากไข่มุกราตรีทั้งสิ้น

“เอามาให้ข้า”

เห็นนางไม่ขยับ หนานกงเย่จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดก่อน

ฉีเฟยอวิ๋นนำไข่มุกราตรีให้หนานกงเย่ มือของทั้งสองพลันสัมผัสกันเล็กน้อย หนานกงเย่ที่รับไข่มุกราตรีเกือบจะดึงฉีเฟยอวิ๋นเข้าใกล้แล้วเชียว เมื่อรถม้าเคลื่อนไหว ฉีเฟยอวิ๋นที่นั่งไม่มั่นคงจึงกระโจมออกไป หนานกงเย่อ้าแขนรับนางไว้ในอ้อมกอด

ราวกับม้าบ้าบิ่นก็ไม่ปาน มันวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ฉีเฟยอวิ๋นที่อยากผละออกไป แต่กลับถูกหนานกงเย่โอบกอดไว้แน่น

“ปล่อยข้า……”

ฉีเฟยอวิ๋นจนปัญญา ได้แต่ขอร้อง

หนานกงเย่ถึงจะปล่อยมือ ยามที่ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น ไข่มุกราตรีก็กลิ้งออกจากรถม้า

ด้วยความร้อนรน ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นแล้ววิ่งออกนอกรถม้า จากนั้นก็กระโดดลงไป ซึ่งขณะนี้รถม้าวิ่งเร็วมาก นางกำลังวิ่งอยู่ด้านหน้ารถม้า ความวิตกกังวลผุดขึ้นในใจอาอวี่ “พระชายาระวังพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงเย่กล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “กลับมา”

ฉีเฟยอวิ๋นยืนไม่มั่นคงสะดุดล้ม หนานกงเย่หันกายคว้านางขึ้นมา จากนั้นก็โยนเข้าในรถม้า

เกิดเสียง ปัง!ฉีเฟยอวิ๋นโดนกระแทกจนกระดูกเกือบหัก

หนานกงเย่เข้ามาในรถม้า พร้อมกับมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างกราดเกี้ยวเจือเย็นเยียบ “ไข่มุกสำคัญหรือว่าชีวิตสำคัญ?”

ฉีเฟยอวิ๋นลูบเอว “สำคัญหมด”

ปัง!

ตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋นมีสิ่งของหล่นใส่พื้นไม้ของรถม้า นางมองไปก็เห็นไข่มุกราตรีเม็ดนั้น

ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าขยับเขยื้อน หันมามองหนานกงเย่ ก่อนจะถูตัว รู้สึกไม่เจ็บแล้วจึงนั่งลง

หนานกงเย่ถาม “ไม่เอาแล้วหรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นลังเลชั่วครู่ จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบไข่มุกราตรีใส่ถุงเงินที่เอวราวกับเก็บได้เสียอย่างนั้น

หนานกงเย่นั่งด้านข้าง หรี่ตาไม่แยแสอีก

บรรยากาศภายในรถม้าค่อยๆผ่อนปรน เส้นประสาทของฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้แข็งตึงมากแล้ว และรู้สึกง่วงเล็กน้อย

กำลังคิดว่าช่วงนี้หนานกงเย่มีอะไรแปลกๆเยอะแยก คิดไปคิดมาได้สักพักนางก็เผลอหลับไป

รถม้ามาถึงจวนสกุลจวิน หนานกงเย่ใช้ปลายเท้าแตะฉีเฟยอวิ๋น “ตื่น”

ฉีเฟยอวิ๋นลืมตาขึ้นแล้วหาวไปหลายตลบ “ท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่ชอบสกุลจวินเพคะ ท่านอ๋องเข้าไปเองเถอะเพคะ มีอาอวี่อยู่ด้านนอกด้วย หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆก็มีคนปกป้องหม่อมฉันอยู่เพคะ”

“ข้าบอกว่าลงมา”

สิ้นเสียงหนานกงเย่ลงจากรถม้าเรียบร้อย แม้ฉีเฟยอวิ๋นจะไม่เต็มใจ แต่ก็ลงจากรถม้า ดังคาดด้านนอกมีคนของสกุลจวินรออยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้ไม่เห็นจวินฉูฉู่ แสดงว่าจวินฉูฉู่ไม่ได้มา

คนตระกูลจวินออกมาต้อนรับ คนจวนอ๋องเย่ยกกล่องที่ติดแผ่นกระดาษที่ชี้ให้รู้ว่าเป็นของราชวงศ์เข้าประตูใหญ่จวนจวิน ก่อนหน้านี้สกุลจวินได้เตรียมห้องว่างสำหรับจัดเก็บกล่องหีบไว้แล้ว หลังจากตั้งวางแล้วเสร็จก็ปิดหน้าต่างประตู ต่อด้วยข้ารับใช้ของหนานกงเย่ปิดกระดาษแผ่น เรื่องนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว

“ท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่ ท่านพ่อของข้าเตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว เชิญท่านอ๋องเย่กับพระชายาเย่อยู่รับประทานอาหารด้วยกันนะพ่ะย่ะค่ะ” บุตรชายคนโตของสกุลจวินกล่าวกับหนานกงเย่ คนที่ต้อนรับขับสู้หนานกงเย่ในวันนี้ก็คือเขา

หนานกงเย่ส่ายหัว “ไม่ต้องแล้ว ข้ายังมีธุระ วันหลังเถอะ”

กล่าวจบ หนานกงเย่ก็เดินออกนอกประตู ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามด้วยความหงุดหงิด ไม่รู้ว่าวันทำอะไรบ้าง แต่สรุปแล้วก็คือรู้สึกเหลืออดเหลือหลาย

มีงานใหญ่โต แต่นางไม่ทำ กลับต้องมาดูข้ารับใช้บริพารติดกระดาษแผ่นที่จวนสกุลจวิน

นางที่เป็นคนคนเดียวกันทั้งในโลกปัจจุบันกับภพนี้ แต่หลังมาถึงยุคโบราณแห่งนี้กลับมีน้ำอยู่ในสมองหนึ่งขวด

 

 

**********************

 

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ 82 มอบไข่มุกราตรีให้นาง

Now you are reading องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ Chapter 82 มอบไข่มุกราตรีให้นาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

 

 

บทที่ 82 มอบไข่มุกราตรีให้นาง

 

บอกยังไม่กินก็ขายหน้าแย่สิ

หนานกงเย่เหล่ตามองฉีเฟยอวิ๋นแวบหนึ่ง พลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์รอ เจ้ากลับกินคนเดียว เห็นทีพระชายาจะอิสระในจวนมากขึ้นเสียแล้ว ถึงกับมีคนทำอาหารให้พระชายาโดยเฉพาะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นไร้คำพูด นางไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี?

ทันใดนั้นท้องของฉีเฟยอวิ๋นดันร้องจ๊อกๆ รู้สึกประหม่ายิ่งนัก

หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นอย่างมีเลศนัย ลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “ลำบากพระชายากินเป็นเพื่อนข้าอีกรอบเถอะ”

ตรงกับจุดประสงค์ของฉีเฟยอวิ๋นพอดี

เมื่อไปถึงห้องรับประทานอาหาร ฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่พลันนั่งลง ทั้งสองเริ่มทานมื้อเช้าด้วยกัน

ไม่มีใครพูดคุย เป็นการกินข้าวที่เงียบกริบมาก โดยเฉพาะฉีเฟยอวิ๋นที่กินจนขนลุกชัน

ปกติหนานกงเย่ไม่เคยรอนางกินข้าว ทำไมวันนี้จึงรอนางได้

มองอาหารเหมือนกับยาพิษอย่างไรอย่างนั้น ฉีเฟยอวิ๋นอยากกิน แต่ก็กังวลจะโดนทำร้ายด้วย

เวลาจึงเสมือนผ่านพ้นไปอย่างไร้ค่า ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกโล่งอก ในที่สุดก็กินข้าวหมดเสียที

“อาหารวันนี้ไม่อร่อยหรือ?” หนานกงเย่เห็นนางกินน้อยมาก

“ไม่หิวเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นฉายรอยยิ้มบานสะพรั่ง ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมออกไป

หนานกงเย่เช็ดปากอย่างเชื่องช้า เรียกนาง “เช้านี้พระชายาตาลีตาเหลือกเช่นนี้ จะไปที่ใด?”

ฉีเฟยอวิ๋นหยุดการกระทำ ไม่กล้าเอ่ยอะไร ส่งยิ้มให้หนานกงเย่ด้วยความประหม่า

“ดูไม่ดีเลย”

หนานกงเย่วางผ้าเช็ดปากในมือลง ก่อนจะเดินออกจากประตู ฉีเฟยอวิ๋นรีบเดินอาดๆอยู่ด้านหลัง นางยิ่งอ่านใจหนานกงเย่ไม่ออกก็ยิ่งอยู่ไม่เป็นสุข

มาถึงห้องโถง หนานกงเย่นั่งลง จากนั้นถามว่า “วันนี้ยังยุ่งอีกไหม?”

ฉีเฟยอวิ๋นคาดไม่ถึงว่าหนานกงเย่จะเปลี่ยนไปเร็วเพียงนี้ ณ ขณะนี้นางไม่ได้ไตร่ตรองอะไรมากมาย แค่พยักหน้ายอมรับ

“ขั้นตอนวันนี้สำคัญมากเพคะ” กล่าวจบฉีเฟยอวิ๋นก็ไปยังมุมแยกต่างหาก โดยมีผ้าม่านแขวนกั้นไว้

หนานกงเย่มองกล่องหีบหลายประเภทวางเรียงรายอยู่บนพื้น หลังตรวจสอบสิ่งของด้านในเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือก็ต้องส่งไปยังจวนของราชครูจวินตามจำนวนในรายการที่แนบมา

หนานกงเย่มองเวลาแล้วก็ลุกขึ้นกล่าวว่า “เตรียมรถม้า”

“พ่ะย่ะค่ะ”

คนที่อยู่ด้านนอกขานรับ ตัวฉีเฟยอวิ๋นก็ได้ยินอย่างแจ่มชัด นางรู้ว่าของพวกนี้จำต้องตรวจดูหลายรอบ ดังนั้นเวลานี้หนานกงเย่ก็ยุ่งมากเช่นกัน ถึงแม้ราชวงศ์ไม่ขัดสนของสิ่งเหล่านี้ ทว่าก็สะเพร่าไม่ได้

แม้นจะเป็นงานที่ไม่สำคัญ ทว่าก็เป็นงานละเอียดซับซ้อน ต้องพิถีพิถันมาก

ฉีเฟยอวิ๋นคาดว่าวันนี้นางต้องอยู่คนเดียวในจวนแน่ ถึงแม้จะรู้สึกกังวล ทว่าก็สบายไปอีกแบบ

เพราะตอนอยู่กับหนานกงเย่ นางรู้สึกอึดอัดมาก

ทว่านางคลับคล้ายคลับคล้ายว่าด้านหลังมีคนอยู่ เมื่อหันหลังกลับไปก็สะดุ้งตกใจจนหน้าซีดขาว

“ท่านอ๋อง”

ไอ้บ้าเอ้ย ตกใจหมดเลย ไม่รู้เหรอว่า คนทำให้คนขวัญเสีย มันถึงขั้นตายได้

“ข้าต้องไปจวนสกุลจวิน ไปกันเถอะ”

หนานกงเย่หันหลังเดินออกไป ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ หันมามองสีผึ้งกุหลาบที่ใกล้ทำเสร็จ ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยขึ้นว่า “ข้ายังต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อย หากท่านอ๋องรีบก็ไปก่อนเถอะเพคะ”

ด้านนอกไร้สุ้มเสียง ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าหนานกงเย่ออกไปแล้ว จึงหันมาทำสีผึ้งกุหลาบอย่างมุ่งมั่น

พอนางทำเสร็จก็ถึงเที่ยงแล้ว

หลังเก็บอุปกรณ์ให้เข้าที่เรียบร้อย ฉีเฟยอวิ๋นก็จัดแจงเสื้อผ้าแล้วไปที่ลานบ้าน

เหมันตฤดูอันหนาวเหน็บมีหิมะขาวนวลเริงระบำกลางอากาศ ถือว่าเป็นทิวทัศน์งดงามอย่างหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นใช้ความเร็วของฝีเท้าปกติเดินไปด้านหน้าจวนอ๋องเย่ พลางคิดเรื่องไปจับหนอนไหมเย็น

ทันใดนั้นพลันเห็นมีคนยืนอยู่ตรงนั้น

พอนางหยุดเดินก็เห็นว่าหนานกงเย่กำลังรอนางอยู่

หิมะโรยตัวมาอยู่บนอาภรณ์สีดำของเขา จากนั้นก็กลิ้งลงสู่พื้น

ใบหน้าของเขาขาวหมดจด แววตาใสสะอาดที่เหล่ตามองเล็กน้อย คล้ายกับพระพุทธรูปพันปีที่กำลังหลุบตาขัดสมาธิอยู่ เขามองแววตาตกตะลึงของนางแล้วก็ก้าวเท้าไปอย่างรวดเร็วดุจดั่งสายลม

ไม่รอให้ฉีเฟยอวิ๋นได้สติก็มีเสียงราบเรียบของหนานกงเย่แว่วออกมาจากรถม้า “ยังไม่ขึ้นรถม้าอีก?”

ฉีเฟยอวิ๋นจึงขึ้นรถด้วยห้วงอารมณ์ผู้บริสุทธิ์

ฉีเฟยอวิ๋นแหวกม่านรถม้าออกก็เดินเข้าไป จากนั้นก็เห็นหนานกงเย่กำลังพิงหลังเล่นไข่มุกราตรีอยู่ นางรู้สึกปวดใจยิ่ง

นางถอดรองเท้าแล้วนั่งลง ไม่ได้เอ่ยคำใดก็พิงหลังพักผ่อน

หนานกงเย่ค่อยๆเงยหน้ามองรูปหน้าที่หลับตาพริ้มของฉีเฟยอวิ๋น และฉุกคิดเรื่องที่โดนนางถอดเกือบล่อนจ้อนเมื่อคืน

สตรีผู้นี้ช่างกระตือร้นรือในยามนอนหลับ ทว่าเวลาตื่นทำไมถึงน่าเบื่อเยี่ยงนี้?

เขาจับไข่มุกราตรีไม่แน่น ทำให้ตกหล่นบนผ้านวมในรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นลืมตามองพลันเห็นประกายแสงแพรวพรายเต็มรถม้า ซึ่งแสงลำนี้ล้วนเกิดจากไข่มุกราตรีทั้งสิ้น

“เอามาให้ข้า”

เห็นนางไม่ขยับ หนานกงเย่จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดก่อน

ฉีเฟยอวิ๋นนำไข่มุกราตรีให้หนานกงเย่ มือของทั้งสองพลันสัมผัสกันเล็กน้อย หนานกงเย่ที่รับไข่มุกราตรีเกือบจะดึงฉีเฟยอวิ๋นเข้าใกล้แล้วเชียว เมื่อรถม้าเคลื่อนไหว ฉีเฟยอวิ๋นที่นั่งไม่มั่นคงจึงกระโจมออกไป หนานกงเย่อ้าแขนรับนางไว้ในอ้อมกอด

ราวกับม้าบ้าบิ่นก็ไม่ปาน มันวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ฉีเฟยอวิ๋นที่อยากผละออกไป แต่กลับถูกหนานกงเย่โอบกอดไว้แน่น

“ปล่อยข้า……”

ฉีเฟยอวิ๋นจนปัญญา ได้แต่ขอร้อง

หนานกงเย่ถึงจะปล่อยมือ ยามที่ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น ไข่มุกราตรีก็กลิ้งออกจากรถม้า

ด้วยความร้อนรน ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นแล้ววิ่งออกนอกรถม้า จากนั้นก็กระโดดลงไป ซึ่งขณะนี้รถม้าวิ่งเร็วมาก นางกำลังวิ่งอยู่ด้านหน้ารถม้า ความวิตกกังวลผุดขึ้นในใจอาอวี่ “พระชายาระวังพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงเย่กล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “กลับมา”

ฉีเฟยอวิ๋นยืนไม่มั่นคงสะดุดล้ม หนานกงเย่หันกายคว้านางขึ้นมา จากนั้นก็โยนเข้าในรถม้า

เกิดเสียง ปัง!ฉีเฟยอวิ๋นโดนกระแทกจนกระดูกเกือบหัก

หนานกงเย่เข้ามาในรถม้า พร้อมกับมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างกราดเกี้ยวเจือเย็นเยียบ “ไข่มุกสำคัญหรือว่าชีวิตสำคัญ?”

ฉีเฟยอวิ๋นลูบเอว “สำคัญหมด”

ปัง!

ตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋นมีสิ่งของหล่นใส่พื้นไม้ของรถม้า นางมองไปก็เห็นไข่มุกราตรีเม็ดนั้น

ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าขยับเขยื้อน หันมามองหนานกงเย่ ก่อนจะถูตัว รู้สึกไม่เจ็บแล้วจึงนั่งลง

หนานกงเย่ถาม “ไม่เอาแล้วหรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นลังเลชั่วครู่ จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบไข่มุกราตรีใส่ถุงเงินที่เอวราวกับเก็บได้เสียอย่างนั้น

หนานกงเย่นั่งด้านข้าง หรี่ตาไม่แยแสอีก

บรรยากาศภายในรถม้าค่อยๆผ่อนปรน เส้นประสาทของฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้แข็งตึงมากแล้ว และรู้สึกง่วงเล็กน้อย

กำลังคิดว่าช่วงนี้หนานกงเย่มีอะไรแปลกๆเยอะแยก คิดไปคิดมาได้สักพักนางก็เผลอหลับไป

รถม้ามาถึงจวนสกุลจวิน หนานกงเย่ใช้ปลายเท้าแตะฉีเฟยอวิ๋น “ตื่น”

ฉีเฟยอวิ๋นลืมตาขึ้นแล้วหาวไปหลายตลบ “ท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่ชอบสกุลจวินเพคะ ท่านอ๋องเข้าไปเองเถอะเพคะ มีอาอวี่อยู่ด้านนอกด้วย หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆก็มีคนปกป้องหม่อมฉันอยู่เพคะ”

“ข้าบอกว่าลงมา”

สิ้นเสียงหนานกงเย่ลงจากรถม้าเรียบร้อย แม้ฉีเฟยอวิ๋นจะไม่เต็มใจ แต่ก็ลงจากรถม้า ดังคาดด้านนอกมีคนของสกุลจวินรออยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้ไม่เห็นจวินฉูฉู่ แสดงว่าจวินฉูฉู่ไม่ได้มา

คนตระกูลจวินออกมาต้อนรับ คนจวนอ๋องเย่ยกกล่องที่ติดแผ่นกระดาษที่ชี้ให้รู้ว่าเป็นของราชวงศ์เข้าประตูใหญ่จวนจวิน ก่อนหน้านี้สกุลจวินได้เตรียมห้องว่างสำหรับจัดเก็บกล่องหีบไว้แล้ว หลังจากตั้งวางแล้วเสร็จก็ปิดหน้าต่างประตู ต่อด้วยข้ารับใช้ของหนานกงเย่ปิดกระดาษแผ่น เรื่องนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว

“ท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่ ท่านพ่อของข้าเตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว เชิญท่านอ๋องเย่กับพระชายาเย่อยู่รับประทานอาหารด้วยกันนะพ่ะย่ะค่ะ” บุตรชายคนโตของสกุลจวินกล่าวกับหนานกงเย่ คนที่ต้อนรับขับสู้หนานกงเย่ในวันนี้ก็คือเขา

หนานกงเย่ส่ายหัว “ไม่ต้องแล้ว ข้ายังมีธุระ วันหลังเถอะ”

กล่าวจบ หนานกงเย่ก็เดินออกนอกประตู ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามด้วยความหงุดหงิด ไม่รู้ว่าวันทำอะไรบ้าง แต่สรุปแล้วก็คือรู้สึกเหลืออดเหลือหลาย

มีงานใหญ่โต แต่นางไม่ทำ กลับต้องมาดูข้ารับใช้บริพารติดกระดาษแผ่นที่จวนสกุลจวิน

นางที่เป็นคนคนเดียวกันทั้งในโลกปัจจุบันกับภพนี้ แต่หลังมาถึงยุคโบราณแห่งนี้กลับมีน้ำอยู่ในสมองหนึ่งขวด

 

 

**********************

 

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+