องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!บทที่ 34 เริ่มการทดสอบ

Now you are reading องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! Chapter บทที่ 34 เริ่มการทดสอบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

ท่ามกลางความมืดมิด ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้าวเดินอย่างช้าๆ เขาดูสงบเยือกเย็น แต่ทั่วทั้งร่างกลับแผ่กลิ่นอายอันตรายออกมา 

เสียงกิ่งไม้เสียดสีกันดังมาจากในป่า คล้ายกับว่ามีบางอย่างกำลังไล่ตามเขาอยู่ 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดฝีเท้าลง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ออกมา” 

เด็กชายหัวโล้นสะดุ้ง ก่อนจะเผยตัวออกมาพร้อมกับไหล่ทั้งสองข้างที่ลู่ลง เขากัดซาลาเปาเนื้อด้วยท่าทางน่าเอ็นดู สีหน้าทะนงตัวอันเป็นเอกลักษณ์ปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้น “ท่านพี่” 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบรับเสียงเบา ‘อืม’ 

ปรากฏว่าเด็กชายหัวโล้นคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นองค์ชายเจ็ดผู้เป็นน้องชายร่วมบิดามารดาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นามว่าไป๋หลี่คงเฉินนั่นเอง! 

เด็กน้อยยกมือขึ้นเกาหูด้วยท่าทางน่ารักอย่างมาก “ท่านพี่ ทำไมท่านถึงไม่เข้าหอพักชั้นเลิศล่ะขอรับ เสด็จปู่เอาแต่ถามข้าเรื่องท่านไม่หยุดเลย” 

“พวกเจ้าที่หอชั้นเลิศตื่นเช้าเกินไป” เปลือกตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกขึ้นอย่างเกียจคร้าน สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว ขณะใช้มือปัดผ่านแขนอวบอ้วนอย่างกับรากบัวที่โผล่พ้นออกมาของเด็กชาย เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าทำอะไรผิดมาหรือ” 

เสี่ยวคงเฉินก้มลงมองปลอกแขนถ่วงน้ำหนักคู่เล็ก เขาก้าวถอยหลังแล้วซ่อนมันเอาไว้ ก่อนจะตอบว่า “ข้าไปอัดพวกตาลุงที่หอชั้นเลิศมาน่ะขอรับ พอตาแก่พวกนั้นจับกลุ่มกันเมื่อไหร่ เป็นได้เอาเวลาไปนินทาชาวบ้านกันทั้งวันทุกที มิหนำซ้ำพวกเขายังกล้าพูดว่าท่านพี่ไม่เหมาะสมที่จะเรียนเอกพลังลมปราณด้วยนะขอรับ!” 

“พวกเขาจำข้าไม่ได้หรอก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจับข้อมือจ้ำม่ำของเด็กชายขึ้น แล้วงัดสายรัดออก 

‘เคร้ง’ ปลอกแขนถ่วงน้ำหนักร่วงหล่นลงกับพื้น 

“อืม” ใบหน้าของเด็กชายหัวโล้นดูมีชีวิตชีวาขึ้น จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแล้วเริ่มบ่นสิ่งที่เขาไม่ค่อยพอใจออกมาทันที “อันที่จริง ท่านอาจารย์บอกว่าการต่อสู้โดยใช้แต่กำลังนั้นเป็นสิ่งที่ผิดขอรับ ดังนั้นเพื่อเป็นการทำโทษ ข้าต้องงดกินเนื้อสัตว์หนึ่งสัปดาห์” 

เงาทมิฬ […. แล้วตอนนี้ท่านถืออะไรอยู่ในมือขอรับ! อย่าคิดว่าตัวเองเป็นองค์ชายเจ็ดแล้วจะเที่ยวพูดโกหกได้นะขอรับ!] 

“เงาทมิฬ” หลังจากที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เขาหยิบปลอกแขนถ่วงน้ำหนักขึ้นมา แล้วจับพวกมันใส่เอาไว้ที่ข้อมือของตน ขณะเอ่ยอย่างไม่รีบร้อนว่า “ไปเอาเนื้อแดดเดียวมาที่นี่” 

“ขอรับ!” เงาทมิฬหายวับไป ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับถุงกระดาษน้ำมัน 

เสี่ยวคงเฉินเดินมารับไป ดวงตาของเขาเป็นประกาย ขณะอ้าปากกว้างแล้วกัดเนื้อพวกนั้นเข้าปากคำใหญ่ ระหว่างที่เคี้ยวเนื้ออยู่ในปาก เขาก็ยังไม่ลืมที่จะเปิดเผยข้อมูลบางอย่างให้อีกฝ่ายได้รู้ “ท่านพี่ ท่านควรรีบย้ายมาที่หอชั้นเลิศนะขอรับ ที่นั่นมีลูกชายของขุนนางชั้นสูงจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของท่าน และกำลังหาทางสร้างปัญหาให้กับท่านอยู่ พวกเขาถึงกับมาหาข้า แล้วยั่วยุให้ข้ามาสู้กับท่านด้วยซ้ำ หึ เจ้าโง่พวกนั้นคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!” 

“กินเสร็จแล้วก็กลับไปได้” เสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยราบเรียบ 

เสี่ยวคงเฉินล้มเลิกความตั้งใจ แล้วหลุบตาลงอย่างผิดหวัง ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านพี่ เมื่อวานข้าตามท่านอาจารย์เข้าไปในวังมาขอรับ” 

“หืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงออกจากร่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะรอให้เขาพูดต่อ 

เสี่ยวคงเฉินถามอย่างน่ารักน่าชังว่า “ท่านต้องการเลือกชายาจริงๆ หรือขอรับ” 

นิ้วของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดชะงัก “ไม่จริง” 

“แต่เสด็จปู่บอกว่า การประลองยุทธ์ในครั้งนี้เป็นแค่ฉากหน้าที่จัดขึ้นสำหรับการเลือกชายาของท่านนะขอรับ เสด็จพ่อเองก็ทรงเห็นด้วย” แก้มทั้งสองข้างของเสี่ยวคงเฉินกลมเป็นลูกชิ้นระหว่างกิน ดวงตากลมโตของเขาเป็นประกายอย่างมีความสุข “ท่านพี่ ท่านต้องเลือกคนที่ทำอาหารอร่อยๆ นะขอรับ มิฉะนั้นท่านได้อดตายแน่!” 

เงาทมิฬ […เฮ้อ องค์ชายเจ็ด ท่านคิดว่าทุกคนจะเป็นคนเห็นแก่กินเหมือนท่านหรือขอรับ?!] 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกจากร่าง แล้วห่มมันให้กับเด็กชาย จากนั้นจึงพูดว่า “ข้ารู้ เจ้ากลับไปได้แล้ว” 

“ท่านพี่ ทุกคนต่างก็พูดกันว่าท่านขายตัวให้ผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ชอบท่าน แต่กลับชอบมู่หรงซื่อจื่ออะไรสักอย่าง เรื่องนี้จริงหรือเปล่าขอรับ” 

เงาทมิฬตัวสั่นในทันใด [องค์ชายเจ็ดหนอองค์ชายเจ็ด ทำไมท่านถึงไม่ถามเรื่องอื่น แต่กลับถามเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะขอรับ!] 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงัก เขายกมือขึ้น แล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋า เมื่อเขาก้มหน้าลง กล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งและแน่นหนาก็ยิ่งเห็นได้ชัดถนัดตา พวกมันงดงามไร้ที่ติ ดึงดูดสายตาคนที่เห็นได้ชะงัก 

“เฮ่อเหลียนเวยเวย…” หลังจากที่เขาพูดสี่คำนี้จบก็หัวเราะในลำคอ ปลายลิ้นของเขาเลียริมฝีปากบางของตน ก่อนที่รอยยิ้มกระหายเลือดจะปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเขา สายลมจากทางทิศเหนือพัดผ่าน ทำให้ชายเสื้อคลุมของเขาสะบัดไปมา เผยให้เห็นรูปร่างอันงดงามราวประติมากรรมแกะสลักที่ทำให้ผู้คนต่างก็ต้องตกตะลึง แต่ความเย็นชาห่างเหินของเขานั้นกลับทำให้คนที่เห็นไม่อาจสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย… 

 

วันรุ่งขึ้น สายลมบางเบาพัดผ่านท้องฟ้าไร้เมฆ อากาศเย็นสดชื่น 

หากจะกล่าวถึงการทดสอบเข้าเรียน การทดสอบที่คู่ควรและมีผู้เข้าชมมากที่สุดเห็นจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจากการแข่งขันประลองยุทธ์ 

ว่ากันว่าการแข่งขันประลองยุทธ์ในครั้งนี้จัดขึ้นโดยท่านปรมาจารย์ และมีมู่หรงฉางเฟิง เด็กหนุ่มอัจฉริยะจากหอชั้นเลิศมาเป็นกรรมการ ผู้ฝึกปราณที่ติดสามอันดับแรกในการแข่งขันประลองยุทธ์จะได้รับสิทธิ์ย้ายจากหอที่ตนอยู่ไปยังหอชั้นเลิศ ในขณะเดียวกันคนที่ตกรอบก็จะถูกไล่ออก 

ดังนั้นคนจากหอชั้นเยี่ยม และหอชั้นดีจึงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ด้วยหวังว่าจะมีโอกาสได้ก้าวเข้าไปอยู่ในหอชั้นเลิศอันเป็นที่น่าจับตามองของคนทั้งใต้หล้า! 

“พวกเจ้าดูสิ เจ้าสองคนนั้นจากหอสามัญมากันจริงๆ ด้วย!” 

ทุกคนต่างก็ไม่ปิดบังสีหน้าเย้ยหยันเลยแม้แต่น้อย เฮ่อเหลียนเหมยพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เราลืมเรื่องผู้ชายคนนั้นไปก่อนดีกว่า ข้าไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าทำไมนังคนไร้ค่านั่นถึงได้หน้ามืดตาบอดมากับเขาด้วย” 

“น้องสาม ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่างน้อยนางก็เป็นพี่สาวของพวกเรานะ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ดูเป็นคนรักเพื่อนและครอบครัวเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น 

ทุกคนที่ได้เห็นความโอบอ้อมอารีของนางก็ล้วนแต่มองว่านางเป็นคนใจดี และพวกเขาก็ชอบนางมากขึ้นกว่าเดิม “คุณหนูรอง นางก็เป็นแค่คนไร้ค่า เหตุใดท่านจึงต้องพูดช่วยนางด้วย พวกข้าต่างก็เคยได้ยินเรื่องที่นางกลั่นแกล้งท่านมาไม่น้อยทีเดียว!” 

“ใช่แล้วพี่รอง ท่านดูสิว่านังคนไร้ค่านั่นอวดดีขนาดไหน ใครจะรู้ บางทีอาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็ได้ อย่างไรเสียครั้งนี้ก็คงไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วที่แม้แต่ลูกแก้วก็ไม่ส่องแสงออกมาด้วยซ้ำหรอก จริงไหม หากเป็นเช่นนั้นคงจะน่าขายหน้าน่าดู ฮ่าๆๆ!” เฮ่อเหลียนเหมยหัวเราะลั่น น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความดูแคลน 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จงใจแสร้งส่งสายตาดุนาง จากนั้นนางก็หันไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสีหน้า ‘ข้าสงสารท่าน’ แล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่พยายามให้ดีที่สุดก็พอเจ้าค่ะ อย่างไรเสียในตัวท่านก็ไม่มีพลังปราณแม้แต่นิดเดียว ท่านอย่าได้ใส่ใจหรือหัวเสียกับผลลัพธ์ที่จะออกมาเลยเจ้าค่ะ” 

คำพูดเหล่านั้นอาจฟังดูเหมือนกับว่าพวกนางเป็นห่วงเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่อันที่จริงในทุกประโยคกลับทำให้ทุกคนรู้ว่าก่อนหน้านี้ผู้หญิงไร้ค่าคนนี้ทำตัวน่าอับอายเพียงใดเอาไว้ 

ทุกคนที่สนามประลองรู้ว่าคำพูดพวกนั้นไม่สามารถบรรยายความอับอายตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้ารับการทดสอบพลังปราณเมื่อครั้งก่อนได้ นางทุ่มสุดตัวตอนจับลูกแก้ว ใบหน้าของนางชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ อีกทั้งยังเกือบจะยืนไม่ไหว แต่นางก็ยังทุ่มความพยายามทั้งหมดลงไปในนั้น จนในที่สุดกลุ่มควันเล็กๆ ที่มองแทบไม่เห็นก็ปรากฏขึ้นมาภายในลูกแก้ว เรื่องควรจะจบลงเพียงเท่านี้ แต่นางกลับยังคงยืนกรานที่จะอยู่กลุ่มเดียวกับมู่หรงฉางเฟิง แล้วขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีประลองยุทธ์ คู่ต่อสู้เพิ่งจะยกหมัดได้แค่ครั้งเดียว แต่ก็ทำให้นางกระเด็นไปเสียแล้ว พูดสั้นๆ ก็คือ เฮ่อเหลียนเวยเวยผู้ไร้ค่านั้นเป็นแค่เรื่องตลกขบขันสำหรับทุกคนเท่านั้น 

หากคนโง่เขลานั่นหยุดอยู่เพียงแค่นั้น ทุกคนก็คงจะไม่ว่าอะไร แต่โชคร้ายที่ตัวตลกเช่นนางกลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว ซ้ำยังมักจะมาอยู่ต่อหน้าพวกเขาอยู่เสมอ มาคราวนี้ ทั้งที่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น แต่นางก็ยังหน้าไม่อาย กลับมาเข้าร่วมการทดสอบพลังปราณอีกครั้งเพียงเพื่อเรียกร้องความสนใจจากมู่หรงฉางเฟิง ความหน้าด้านหน้าทนของนางช่างน่ารังเกียจนัก! 

ในการทดสอบนี้ พวกเขาใช้นิ้วเท้าคิดก็ยังพอจะเดาออกว่าผลการทดสอบจะออกมาเป็นเช่นไร คนที่อยู่รั้งท้ายในตารางจะต้องเป็นคนไร้ค่าเช่นเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไม่ต้องสงสัย! 

เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมรู้ดีว่าคนที่อยู่รอบสนามมองนางด้วยสายตาอย่างไร นางคุ้นเคยกับดวงตาที่ผสมปนเปไปด้วยความเย้ยหยันดูถูกเช่นนั้นดี แต่นางก็ไม่คิดจะสนใจมันเลยแถมยังอ้าปากหาวออกมาอย่างเกียจคร้านด้วยซ้ำ ความเกียจคร้านและสูงส่งสะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดบนรอยยิ้มของนาง แม้นางจะอยู่กลางเวทีประลองขนาดใหญ่เช่นนี้ แต่ก็สามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ในทันที 

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *