องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!บทที่ 716 พยายามว่าร้ายเวยเวยแต่กลับถูกองค์ชายตบหน้าแทนเสียเอง
เสนาบดีทั้งสองต่างสนับสนุนความคิดของกันและกัน ความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดของพวกเขานั้นชัดเจนเกินไป พวกเขากำลังกล่าวพาดพิงถึงเรื่องที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ตั้งครรภ์เสียที
คนอื่นๆ ตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น อย่างไรก็มีเสนาบดีหลายคนที่ยกย่องและภักดีต่อเฮ่อเหลียนเวยเวย
เสนาบดีประจำกรมขุนนางเป็นตัวตั้งตัวตีให้พวกเขาส่งคนเข้ามาในวังหลวงตามโอกาสเพื่อขอคำแนะนำในการไขคดีจากเฮ่อเหลียนเวยเวย
เวลานี้เมื่อพวกเขาได้ยินคนเอ่ยถากถางเฮ่อเหลียนเวยเวย พวกเขาจึงแอบรู้สึกเป็นห่วงอยู่ในใจ
อย่างไรการมีบุตรชายและมีทายาทก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับราชวงศ์มาตั้งแต่โบราณ…
เมื่อใต้เท้าหลี่สังเกตเห็นว่าบรรยากาศเริ่มเงียบสงบลง เขาจึงจงใจถามเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยรอยยิ้มว่า “พระชายาเห็นว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” หากพวกเขาถามองค์ชายสามโดยตรง คำแนะนำนี้ย่อมถูกปฏิเสธอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากพวกเขาใช้วิธีการถามทางอ้อมเช่นนี้ นางย่อมไม่สามารถปฏิเสธพวกเขาต่อหน้าบรรดาเสนาบดีได้ มิฉะนั้นนางจะดูเหมือนเป็นผู้หญิงจิตใจคับแคบ และมันจะยิ่งช่วยเปิดทางให้พวกเขามีข้ออ้างมากขึ้นในการขอให้องค์ชายมีพระสนม
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขา และกำลังจะพูดอะไรบางอย่างขึ้น
แต่ทันใดนั้นนางก็ถูกตะเกียบไม้ที่บินเข้าไปหาเขาหยุดเอาไว้เสียก่อน
พลังปราณที่อัดแน่นอยู่ในตะเกียบทะลวงผ่านหมวกบนศีรษะของใต้เท้าหลี่ไป สิ่งที่เกิดขึ้นทำเอาใต้เท้าหลี่ถึงกับเซถลาไปข้างหลังสองก้าว
ราวกับตกตะลึงกับการโจมตีอย่างกะทันหันนั้น รอยยิ้มที่มุมปากของใต้เท้าหลี่จึงยังแข็งค้างอยู่เช่นเดิมในขณะที่ริมฝีปากของเขากลับซีดลงโดยพลัน เมื่อเขายกมือขึ้นสัมผัสกับผมเผ้าที่ยาวปรกลงมาของตัวเอง เขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเองอยู่ห่างจากความตายแค่เพียงนิ้วเดียวเท่านั้น
ถ้าหมวกใบนี้ไม่ได้ปกป้องเขาไว้ ตะเกียบไม้ข้างนั้นคงได้แทงทะลุสมองเขาไปแล้ว
ทันทีที่ใต้เท้าหลี่ตั้งสติได้ กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายของเขาก็สั่นอย่างรุนแรง
ทุกคนหันไปหาคนลงมือหรือก็คือไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่นเอง แต่เขากลับเพียงแค่ยิ้มอย่างไม่แยแสพลางเล่นกับตะเกียบอีกข้างที่อยู่ในมือพร้อมกับถามว่า “ใต้เท้าหลี่ เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าข้าส่งกองทัพไปโจมตีเมืองหลวงของเมืองเซวียนหยวน เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงทำเช่นนี้”
ระหว่างที่พูด เขาก็จับตะเกียบในมือตั้งตรงด้วยท่าทางสง่างาม แต่ดวงตาของเขากลับโหดเหี้ยมเย็นชา
ฟุ่บ!
เสียงอะไรสักอย่างพุ่งผ่านอากาศดังขึ้นอีกครั้ง!
ขาข้างซ้ายของใต้เท้าหลี่ถูกเจาะจนทะลุเป็นรู!
“อ๊าก!”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปทั่วท้องพระโรง
ใต้เท้าหลี่พูดไม่ออก เขาทรุดลงไปกับพื้นของท้องพระโรง กอดขาซ้ายที่เจ็บปวดอย่างรุนแรงของตัวเองเอาไว้พร้อมกับกลิ้งไปมาราวกับเสียสติ
เลือดสีแดงสดที่ทะลักออกมาจากเข่าของใต้เท้าหลี่ทำให้เสนาบดีคนอื่นหน้าถอดสีด้วยความสยดสยอง เขากลืนคำพูดที่อยู่บนปลายลิ้นของตัวเองกลับลงคอ แล้วกลืนน้ำลายตามลงไปด้วยความยากลำบาก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับทำเพียงแค่หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาเช็ดมือ ก่อนจะพูดต่อว่า “ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพวกเขาเอาแต่บังคับให้ข้ามีสนม”
“องค์ องค์ชาย! เสนาบดีเพียงแค่คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมของจักรวรรดิจ้านหลงเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีคนหนึ่งพยายามแก้ตัวสุดชีวิต จากนั้นจึงชำเลืองมองไปทางอดีตฮ่องเต้ แล้วกล่าวเสริมขึ้นอย่างใจชื้นว่า “นอกจากนั้น แม้องค์ชายจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ท่านก็ไม่จำเป็นต้องทำร้ายใครมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรพวกเราก็เป็นเสนาบดีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวร่วมกับอดีตฮ่องเต้มา องค์ชายไม่คิดหรือว่าคนอื่นๆ จะผิดหวังอย่างรุนแรงเพียงใดหากพวกเขาเห็นท่านปฏิบัติต่อเหล่าหลี่และกระหม่อมเช่นนี้”
เมื่ออดีตฮ่องเต้ได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายนั้น คิ้วของเขาก็ยิ่งขมวดเข้าหากันแน่น
เสนาบดีคนนั้นรีบฉวยโอกาสพูดต่อ “หากไม่ใช่เพราะพระชายายังไม่มีข่าวดีเสียที เหล่าหลี่กับกระหม่อมก็คงไม่เอ่ยถึงการคัดเลือกพระสนมขึ้นมา อย่างไรวังหลวงก็เป็นสถานที่อันโหดร้ายไร้มนุษยธรรม ที่พวกกระหม่อมเป็นห่วงองค์ชายเช่นนี้นับว่าเป็นสิ่งผิดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นห่วงข้าหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มเย้ยหยันอย่างน่ากลัว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประชดประชัน
เมื่อได้ยินดังนั้น เสนาบดีจึงไม่ได้ร่ำไห้ด้วยความขื่นขมใส่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอีกต่อไป แต่กลับหันไปพูดกับอดีตฮ่องเต้ว่า “อดีตฮ่องเต้ได้โปรดช่วยพวกกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายมีนิสัยน่ากลัวยิ่งนัก เขาคิดจะฆ่าใครก็ฆ่า หากพวกกระหม่อมรู้เช่นนี้ พวกกระหม่อมยอมกลับไปทำไร่ทำนาอยู่ที่บ้านเสียยังดีกว่า!” ระหว่างที่พูด เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พลางเอ่ยต่อ “นารีเป็นเหตุ นารีเป็นเหตุจริงๆ!”
เขาจงใจใช้คำว่า ’นารีเป็นเหตุ’ เพื่อพาดพิงถึงเฮ่อเหลียนเวยเวย เพราะเขาตั้งใจที่จะโยนความผิดให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยนั่นเอง
เสนาบดีเข้าใจดีว่าอดีตฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางลงโทษองค์ชายสาม แต่หากเป็นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ว่าไปอย่าง ทั้งสองเข้าพิธีอภิเษกสมรสกันมานานแต่นางก็ยังไม่ตั้งครรภ์เสียที ในสมัยโบราณนั้น เรื่องนี้ถือว่าเป็นความผิดอย่างหนึ่ง ยิ่งเมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่คิดที่จะมีสนมคนอื่นอีก ความผิดของนางจึงยิ่งร้ายแรงขึ้น
หากองค์ชายสามยืนกรานคัดค้าน ประชาชนทั่วไปและผู้คนในราชสำนักก็จะกล่าวว่าองค์ชายทำเช่นนี้ก็เพื่อเฮ่อเหลียนเวยเวย
เสนาบดีเชื่อว่าอดีตฮ่องเต้ต้องเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะข้อห้ามที่สำคัญที่สุดของผู้ปกครองคือการลุ่มหลงในสตรีเพียงนางเดียว
ต่อให้องค์ชายสามจะไม่อยากมีนางสนม เขาก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้
เสนาบดีคำนวณทุกอย่างมาอย่างรอบคอบ จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกมั่นใจในตัวเองอย่างมาก
แต่มันกลับมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เพราะทันทีที่เขาพูดจบ บุตรสาวของเขาก็ถูกองครักษ์เงาประจำวังหลวงพาตัวเข้ามา ผมของนางยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เสื้อผ้าของนางยับยู่ยี่ ทั่วร่างของนางเต็มไปด้วยกลิ่นอันแปลกประหลาด ดวงตาของนางถูกผ้าสีดำปิดบังเอาไว้ และที่เอวของนางก็มีผ้าคาดเอวเนื้อหยาบพันอยู่ผืนหนึ่ง ข้ารับใช้จากบ้านของนางก็ถูกพาตัวเข้ามาพร้อมกัน
เมื่อเสนาบดีเห็นภาพนี้ เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าจุดจบของเขามาถึงแล้ว
บุตรสาวของเขาดีทุกอย่าง แต่อารมณ์ของนางไม่มั่นคงเท่าใดนัก นางมักจะสูญเสียการยับยั้งชั่งใจตัวเองทุกครั้งที่เห็นชายหนุ่มรูปงาม
เขาต้องไล่คนออกไม่น้อยเพราะความสำส่อนของนาง แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่านิสัยอันน่ารังเกียจของนางจะไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
ผ้าคาดตาของนางถูกปลดออก และก่อนที่นางจะทันได้สนใจสภาพแวดล้อมโดยรอบ สายตาของนางก็มองเห็นใบหน้าของผู้เป็นบิดาเข้าเสียก่อน ทันใดนั้นนางก็ลนลานแล้วรีบดึงข้ารับใช้ที่อยู่ข้างๆ เข้ามา พร้อมกับพยายามใช้เขาเป็นเกราะกำบังเพื่อซ่อนตัว ในเวลาเดียวกันนั้น นางก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ ข้าไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ เจ้าค่ะ หลังจากที่ข้าได้เข้าวัง ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ!”
หากนางอยู่เงียบๆ สถานการณ์นี้ก็คงยังพอที่จะกอบกู้กลับมาได้ แต่สิ่งที่นางพูดออกมาไม่ต่างอะไรจากการยอมรับทุกอย่างด้วยตัวเอง
เมื่อเสนาบดีได้ยินที่นางพูด เขาก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกแสบร้อนไปทั้งหน้า อีกทั้งยังหายใจไม่ออกอีกด้วย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้นอย่างสง่างามและเย็นชาเฉยเมยว่า “นี่คือหนึ่งในสนมที่ใต้เท้าอู๋ต้องการให้ข้าแต่งด้วย ข้ารู้ว่านางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเจ้า เจ้ารักใคร่เอ็นดูนางมาโดยตลอด อีกทั้งยังหวังให้นางได้มีชีวิตที่ดีในอนาคต และคงจะดีเป็นอย่างยิ่งหากนางได้แต่งงานกับคนที่มีฐานะสูงส่ง แต่เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้เลือกผู้หญิงที่ยื่นมือเข้าไปยุ่งกับข้ารับใช้ของตัวเองมาเป็นสนมให้กับข้า ข้าปฏิเสธคำแนะนำของเจ้าไปแล้ว แต่เจ้ากลับพยายามยั่วโมโหข้าด้วยคำว่า ’นารีเป็นเหตุ’! หึ เจ้าคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์พูดเช่นนั้นด้วยหรือ”
“กระหม่อม กระหม่อม…” เสนาบดีพูดตะกุกตะกัก ริมฝีปากของเขาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ความมั่นใจเกินเหตุของเขาหายวับไปกับตา ท่าทางอวดดีไม่เกรงกลัวผู้ใดที่เคยมีเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหมือนก่อนหน้านี้ เขาคุกเข่าลงกับพื้นแล้วร้องขอความเมตตาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “องค์ชาย กระหม่อมหลงผิดไปพ่ะย่ะค่ะ ขอองค์ชายได้โปรดเมตตากระหม่อมด้วยเถิด เห็นแก่ที่กระหม่อมเคยทำคุณงามความดีให้กับเมืองของเรา ท่านช่วยมองข้ามเรื่องนี้ไปด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ได้โปรดเมตตากระหม่อมด้วย!”
เสนาบดีคนอื่นๆ เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว คุณหนูใหญ่อู๋มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมอย่างเห็นได้ชัด และใต้เท้าอู๋ก็รู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว อย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวของเขา ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้เรื่องนี้
แต่ใต้เท้าอู๋ต้องการใช้บุตรสาวจอมสำส่อนผู้นี้เป็นเครื่องมือ ส่งตัวนางเข้าวังหลวงเพื่อเกียรติยศ เงินทอง และฐานะของตัวเอง…
Comments