อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] 106 หนานหนานหายไปแล้ว

Now you are reading อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] Chapter 106 หนานหนานหายไปแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 106 หนานหนานหายไปแล้ว

ห้องตำราหลวงสว่างไสวด้วยแสงเทียน โดยมีเหมียวเชียนชิวยืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว

เมื่อเห็นเงาของคนสองคนเดินมาจากไกล ๆ เขาจึงรีบหมุนกายเข้ามาด้านในห้อง กระซิบเสียงเบา “ฝ่าบาท ผิงซื่อจื่อมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ในพระหัตถ์ของจักรพรรดิยังคงถือหนังสือที่เสนาบดีฝั่งขวาส่งมา หรี่พระเนตรอ่านอีกหนึ่งรอบ เสนาบดีเป็นคนชาญฉลาดมากจริง ๆ ในรายงานเขียนถึงเรื่องม้าของเขาสั้น ๆ สิ่งนี้สามารถขยายให้เห็นถึงการประณามที่มีต่อเย่หลานผิงแล้ว

กล่าวว่าวางตัวเป็นผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ภายในเมืองหลวง ทั้งยังออกไปข่มเหงรังแกประชาชนกับคุณชายตระกูลอื่น ๆ ไม่เพียงแต่ทำร้ายหญิงชราที่ร้องเพลงภายในโรงเตี๊ยม แต่ยังถล่มแผงลอยของคนหาบเร่ขายเพื่อหาเลี้ยงชีพ ยิ่งไปกว่านั้นยังสั่งให้คนจับคนที่ชนเขาและทุบตีปางตาย

เรื่องแต่ละเรื่องนี้ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ถึงแก่ชีวิต แต่ก็แสดงให้เห็นถึงการกระทำไร้ความปรานีของเย่หลานผิง ใช้อำนาจรังแกประชาชน พฤติกรรมที่ทำตัวเหนือกว่าคนอื่นทำให้ราชวงศ์ต้องอับอาย

เมื่อจักรพรรดิอ่านรายงานทั้งหมดแล้ว หัวพระขนงพลันขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

สิ่งที่พระองค์ไม่เข้าพระทัยก็คือ เสนาบดีต้องการรายงานเกี่ยวกับเย่หลานผิง สามารถพูดตรง ๆ ได้ว่าส่วนอื่นของเขาเป็นคนดี เพียงแต่เพราะเหตุใดถึงได้พูดถึงม้าของตนเองที่ถูกทุบตีจนตาย ทั้งยังรีดไถสองแม่ลูกตระกูลอวี้ที่นั่งอยู่ในรถม้าทำให้ต้องอับอาย?

เขาไม่กล่าวถึงเรื่องนี้ ยิ่งทำให้เห็นว่าเขาคิดแทนประชาชนมิใช่หรือ? พูดถึงเช่นนี้ กลับทำให้คนที่อ่านรู้สึกได้ว่าเขากำลังอาศัยอำนาจส่วนรวมแก้แค้นเรื่องส่วนตัวอยู่

เสนาบดีฝั่งขวาเป็นคนฉลาดเช่นนั้น ไม่มีทางไม่เข้าใจถึงเหตุผลนี้หรอกกระมัง

จักรพรรดิมิอาจเข้าพระทัย และไม่คิดจะนึกถึงเรื่องนี้ด้วย ทว่าในเมื่อเสนาบดีฝั่งขวาพุ่งเป้าไปที่เย่หลานผิง พระองค์ก็มิอาจทำเป็นไม่แยแสได้

ครั้นได้สดับฟังรายงานจากเหมียวกงกง พระองค์จึงเงยพระพักตร์ขึ้น “ให้เขาเข้ามา”

ครั้นเย่หลานผิงเข้ามา ก็รีบคุกเข่าลง ก้มหน้าและเริ่มยอมรับความผิด “ถวายบังคมเสด็จปู่ โปรดเสด็จปู่ยกโทษให้หลานด้วย”

“ยกโทษให้?” จักรพรรดิแค่นเสียงเย็น “เจ้าทำความผิดอะไรไว้รึ?”

เย่หลานผิงได้ยินน้ำเสียงเช่นนั้นก็เกิดอาการใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ อย่างห้ามไม่อยู่ เหตุใดเขาถึงรู้ว่าตนเองมีความผิด ในเมื่อจักรพรรดิเรียกให้เข้าเฝ้าโดยด่วนเช่นนี้ การยอมรับผิดก่อนจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

“หลานไม่ได้เข้าคารวะทักทายเสด็จปู่มานานมากแล้ว หลานอกตัญญู โปรดเสด็จปู่ยกโทษให้หลานด้วย”

จักรพรรดิปิดพระเนตรลงเล็กน้อย มิได้ใส่พระทัยเรื่องที่เขาขอให้ยกโทษให้ กลับยกพระหัตถ์โยนรายงานไปตรงหน้าเขา “เจ้าอ่านดูให้ดี เจ้ามีความผิดอะไรกันแน่”

เย่หลานผิงชะงัก ภายในใจยิ่งเกิดความกระสับกระส่าย เปิดรายงานด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทิ้ม ด้านบนนั้นเขียนถึงพฤติกรรมที่เย่อหยิ่งในช่วงนี้ของเขาไว้อย่างชัดเจน ภายในใจก็เกิดโทสะอย่างห้ามไม่อยู่

เสนาบดีฝั่งขวาคงว่างมากจริง ๆ ไม่ไปสนใจกิจการบ้านเมือง แต่กลับมาสนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้

เย่หลานผิงก็พอจะเข้าใจ เขาและเสนาบดีไม่เคยมีเรื่องบาดหมางต่อกัน เสนาบดีฝั่งขวาไม่มีทางมุ่งเป้ามาที่เขาอย่างไร้เหตุผล ว่ากันถึงแก่นแท้แล้ว เช้าวันนี้องครักษ์ของท่านลุงห้าต่างหากเล่าที่ทุบตีม้าของเขาจนตายทำให้เกิดเรื่องขึ้น

ถึงอย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของท่านลุงห้า ท่านปู่โปรดปรานท่านลุงห้ามาโดยตลอด ย่อมไม่มีทางทำอะไรเขาเป็นแน่

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้คนที่ผิดก็คือม้าตัวนั้นของเสนาบดีฝั่งขวา เรื่องอื่น ๆ ในนี้เขายอมรับได้ มีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่เขาต้องชี้แจง

คิดเช่นนี้ เย่หลานผิงจึงถือรายงานหมอบลงบนพื้น ยกตัวขึ้นโขกศีรษะลงบนพื้นแรง ๆ หนึ่งครั้ง ร้องทุกข์ว่า “เสด็จปู่ เสนาบดีฝั่งขวาปรักปรำหลานจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ ม้าของเสนาบดีฝั่งขวาถูกองครักษ์ของท่านลุงห้าทุบตีจนตาย ตอนนั้นหลานเพียงแค่ผ่านไปที่นั่น และได้ฟังความจากทั้งสองฝั่ง รวมถึงคำให้การของชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์โดยรอบ ม้าของเสนาบดีฝั่งขวาวิ่งเตลิดอย่างบ้าคลั่งบนถนนก่อนจริง ๆ จนเกือบชนคนจนได้รับบาดเจ็บ องครักษ์ของท่านลุงห้าจึงลงมือฆ่าม้าตัวนั้น ทว่าเป็นเพราะสองแม่ลูกคู่นั้นโกรธ จึงทำตัวเป็นคนชั่วไปร้องทุกข์ก่อน หลานเพียงแค่อยากให้พวกเขาได้รับบทเรียน คิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำให้เสนาบดีฝั่งขวาขุ่นเคือง”

รูม่านพระเนตรของจักรพรรดิหดเล็ก องครักษ์ของเย่ซิวตู๋เป็นคนทุบตีม้าตัวนั้นจนตาย?

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด อย่าได้ใส่สีตีไข่”

“พ่ะย่ะค่ะ” เย่หลานผิงแอบถอนหายใจ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นบนท้องถนนตามต้นฉบับไปหนึ่งรอบ อยู่เบื้องพระพักตร์ของเสด็จปู่แล้วเขาไม่กล้าพูดเกินจริงแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องถึงเสนาบดีฝั่งขวา ตรวจสอบสักหน่อยก็ทราบแล้ว

เพียงแต่ เรื่องที่พาหนานหนานกลับเรือนพร้อมกับเขาในช่วงหลัง เขากลับไม่กล้าพูด หากเสด็จปู่ทราบว่าเขาแอบพาหนานหนานเข้ามาในวังเป็นการส่วนตัว โทษอาจเพิ่มขึ้นด้วย

จักรพรรดิเม้มพระโอษฐ์มิได้ตรัสสิ่งใด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตรัสถามว่า “พูดเช่นนี้ รถม้าคันนั้นก็เกือบจะชนเด็กที่ชื่อหนานหนานคนนั้นสินะ?”

หนานหนาน นั่นเป็นพระราชนัดดาของพระองค์เชียวนะ ม้าตัวนั้น สมควรฆ่าแล้ว

เย่หลานผิงพยักหน้า “หลานมิกล้าโกหกเพื่อปกปิด ตอนนั้นมีชาวบ้านเข้ามามุงดูเป็นจำนวนมาก ทุกคนต่างก็เห็นอย่างชัดแจ้งแจ่มชัด รถม้าพุ่งชนเข้าใส่ทำให้ร้านค้าที่อยู่ข้าง ๆ ได้รับความเสียหาย เพียงแต่นั่นเป็นรถม้าของจวนเสนาบดีฝั่งขวา จึงมิกล้าประนาม”

ตอนจบ เขายังไม่ลืมที่จะป้ายสีดำลงบนหน้าของเสนาบดีฝั่งขวาแรง ๆ อีกหนึ่งทีด้วย

“เรื่องนี้เราจะให้คนไปตรวจสอบให้ดี หากเป็นเรื่องจริง เราย่อมจัดการอย่างเป็นธรรม” จักรพรรดิเหลือบมองไปที่เขา ยิ้มอย่างเย็นชา “นอกจากม้าของเสนาบดีฝั่งขวาแล้ว ในรายงานยังมีเรื่องอื่นด้วย เจ้าจะอธิบายอย่างไร?”

“หลานมิกล้าอธิบาย เรื่องเหล่านี้เป็นเพราะความหุนหันพลันแล่นของหลานทำให้เกิดหายนะ โปรดเสด็จปู่ลงโทษด้วย”

ขอแค่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของเสนาบดีฝั่งขวา เรื่องอื่นก็เป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จักรพรรดิย่อมไม่มีทางสืบสาวเอาเรื่องให้มากมาย

จักรพรรดิเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง จึงตรัสเสียงขรึมว่า “เป็นเพราะเจ้ายังเด็กไม่รู้ความ เรื่องที่เจ้าทำผิดพลาดเหล่านี้ เราจะลงโทษสถานเบา นับจากวันพรุ่งเป็นต้นไป เก็บตัวอยู่แต่ในตำหนักเป่าอ๋องตรึกตรองถึงสิ่งที่เคยทำ ห้ามออกจากตำหนักภายในระยะเวลาสองเดือน”

เย่หลานผิงถึงกับชาวาบในใจ นี่ยังเรียกว่าสถานเบาอีกหรือ สำหรับเขาถือเป็นโทษสถานหนักแล้ว

แต่ในเมื่อไม่ได้ทำโทษเขาถึงขั้นลามไปถึงตำหนิเสด็จพ่อ เย่หลานผิงก็พึงพอใจแล้ว เขาโขกศีรษะลงบนพื้นอย่างมั่นคงหนึ่งครั้ง ตอบตกลง “พ่ะย่ะค่ะ หลานจะทบทวนการกระทำของตนเองให้ดี จะไม่ทำความผิดอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม ออกไปเถอะ ไปคารวะทักทายซูเฟย แล้วก็รีบกลับตำหนักซะ”

“หลานกราบทูลลา”

เย่หลานผิงลุกขึ้นอย่างเคารพนอบน้อมและเดินออกไป ก้มหน้ามาจนถึงหน้าประตูห้อง จึงกล้าถอนลมหายใจระบายความขุ่นมัวกลางอก เดินออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกหวาดกลัวที่ยังคงอยู่

เหมียวเชียนชิวเดินมาข้างพระวรกายจักรพรรดิอย่างระมัดระวัง กระซิบถาม “ฝ่าบาท นี่ก็สายแล้ว เสวยพระกระยาหารเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม” จักรพรรดิเพิ่งตระหนักว่าพระองค์ก็เริ่มหิวแล้วเช่นกัน จึงทอดพระเนตรไปยังรายงานบนโต๊ะที่ถูกเหมียวเชียนชิวนำกลับมา เลิกพระขนงขึ้น เสนาบดีฝั่งขวาคิดจะทำอะไรกันแน่?

พระองค์ไม่เชื่อหรอกว่าจากความสามารถของเสนาบดีฝั่งขวา จะส่งรายงานมาแบบเร่งด่วนโดยไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัดเช่นนี้

ดูเหมือนว่า ปัญหานี้…คงอยู่ที่ตัวของสองแม่ลูกตระกูลอวี้

จักรพรรดิลุกขึ้น เสด็จไปที่ข้างหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ ทอดมองท้องด้านนอกที่มืดครึ้มลงเรื่อย ๆ ทว่าที่มุมพระโอษฐ์กลับแอบยกขึ้นโดยไม่ทิ้งร่องรอยให้เห็น

เสนาบดีฝั่งขวาเป็นคนมีความสามารถ ตอนนี้ซิวเอ๋อร์ก็กลับเมืองหลวงแล้ว ข้างกายของเขามีผู้ช่วยคนสำคัญเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ภายภาคหน้า อาณาจักรเฟิงชางย่อมต้องเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น

เย่หลานผิงรีบเดินไปที่ตำหนักเซิงผิงของซูเฟย ตอนที่มาถึงภูเขาเทียม เขาก็หันซ้ายแลขวา ก่อนจะกระซิบเสียงเบา “หนานหนาน หนานหนาน ออกมาเถอะ”

ทว่า นอกจากเสียงลมที่เจาะเข้าไปภายในถ้ำหิน กลับไม่มีเสียงขานรับตอบกลับมา

เย่หลานผิงยื่นหน้าเข้าไปดู นอกจากคนรับใช้ของเขาที่นอนสลบเหมือดอยู่บนพื้น ก็ไม่เห็นเงาของแค่แม้แต่คนเดียว

หนานหนาน หายไปแล้ว

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

นังน้องสาวของอวี้ชิงลั่วต้องเป็นคนปลอมสารแน่ๆ ช่างไม่เกรงกลัวพระราชอาญาเลยนะ

หนานหนานหนูหายไปไหนอีกแล้วเนี่ย

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *