อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] 380 หยดโลหิตพิสูจน์

Now you are reading อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] Chapter 380 หยดโลหิตพิสูจน์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 380 หยดโลหิตพิสูจน์

เสียงเย็นชาของนางช่างทรงพลัง ทั้งยังน่าเกรงขามยิ่งนัก

ทุกคนที่อยู่ในสนามแข่งขันได้ยินแล้วถึงกับหันหน้ามองมาภายในชั่วพริบตา

ฮ่องเต้ขมวดพระขนงเล็กน้อย พระองค์ทรงเห็นเหมิงกุ้ยเฟยเดินลงมาจากอัฒจันทร์ด้วยท่วงท่าสง่างาม ดวงตาฉายแววนิ่งสงบ นางเดินมายืนอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้อย่างเนิบช้า หลังจากทำความเคารพแล้ว จึงหมุนกายมองเย่ซิวตู๋

“ซิวเอ๋อร์ โลหิตของราชวงศ์มิอาจผสมปะปนได้ เหตุใดถึงได้พูดว่าเด็กคนนี้เป็นบุตรชายของเจ้า เป็นลูกหลานของราชวงศ์ตามอำเภอใจ?” เหมิงกุ้ยเฟยใช้คำพูดที่ฟังดูจริงใจ “ตอนนี้เจ้าไม่มีแม้แต่นางสนมด้วยซ้ำ ลูกชายของเจ้าจะมาจากที่ใด?”

องค์ชายสามและคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าแอบฉายความดีใจเล็ก ๆ หลังจากหันสบตากัน จึงพูดคล้อยตามว่า “นั่นสิ น้องห้า สายเลือดของราชวงศ์ต้องระมัดระวัง เจ้ามิอาจพูดว่าเด็กคนนี้เป็นพระนัดดาของฮ่องเต้ตามใจชอบได้ หากเขามิใช่ มิเท่ากับมีความผิดโทษฐานลบหลู่หรอกหรือ?”

ภายในหทัยของฮ่องเต้ได้เลือกเย่ซิวตู๋ผู้นี้เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์แล้ว หากเด็กอายุห้าขวบที่มีความสามารถเช่นนี้เป็นบุตรชายของเขา มิเท่ากับกำลังตบหน้าพวกเขาหรอกหรือ?

ขุนนางเริ่มพยักเพยิดแล้ว แรกเริ่มตอนที่ได้ยินว่าท่านอ๋องซิวมีบุตรชายก็ถึงกับตกตะลึงจนสติหลุด บัดนี้ได้ยินคำพูดของเหมิงกุ้ยเฟยและองค์ชายสาม จึงอดครุ่นคิดไม่ได้

ใช่แล้ว สายเลือดของราชวงศ์จะประมาทเช่นนี้ได้อย่างไร ทำเช่นนี้มิได้

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองเหมิงกุ้ยเฟยปราดหนึ่ง แม้พระองค์จะรู้สึกได้ว่าเหมิงกุ้ยเฟยพูดถูก แต่…พระองค์คิดว่าเหมิงกุ้ยเฟยควรมีความสุขอย่างมากที่มีหลานชาย โดยเฉพาะหลานชายอย่างหนานหนาน แต่เหตุใดเหมิงกุ้ยเฟยถึงมีท่าทีราวกับไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนัก?

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปทางเย่ซิวตู๋ ทว่าเย่ซิวตู๋กลับกระตุกมุมปากยิ้มเยาะขึ้น

“หมู่เฟย ตอนนี้ข้ายังไม่มีนางสนมก็จริง แต่เมื่อนานมาแล้ว ข้าเองก็เคยพูดไว้แล้ว ในใจของข้ามีสตรีอันเป็นที่รัก ชาตินี้ทั้งชาติตราบใดที่สตรีผู้นั้นเป็นชายาของข้า ก็มีแค่นางเท่านั้นที่จะมีลูกให้ข้าได้”

เหมิงกุ้ยเฟยหรี่ตา “ความหมายของเจ้า เด็กคนนี้คือลูกที่เกิดจากสตรีผู้ทำตัวลึกลับไม่ยอมเปิดเผยตัวตนต่อหน้าผู้อื่นคนนั้นน่ะรึ?”

“ถูกต้อง”

อวี้ชิงลั่วยืนบุ้ยปากอยู่ข้าง ๆ เหมิงกุ้ยเฟยพูดจาเช่นนี้มิเท่ากับกำลังพูดว่าทั้งชีวิตนี้ของนางคงเป็นได้แค่สตรีที่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เจอหน้าใครมิได้หรอกหรือ? อีกอย่าง นางออกมาให้เห็นหน้าตั้งหลายหนแล้ว มีแต่พวกท่านนั่นแหละที่ไม่รู้ อย่ามาโทษคนอื่นแบบสุ่มสี่สุ่มห้า

เหมิงกุ้ยเฟยยิ้มเยาะ “ซิวเอ๋อร์ เพียงให้สตรีนามไม่เที่ยงวาจาไม่ราบรื่นติดตามเจ้า ก็ทำให้จริยธรรมส่วนบุคคลเสื่อมเสียจนหมดสิ้นแล้ว เจ้าจะเชื่อนางได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเจ้า?”

“ซี๊ด…” ทุกคนถึงกับลอบสูดปาก ความหมายในคำพูดของเหมิงกุ้ยเฟย มิใช่กำลังพูดว่าท่านอ๋องซิวถูกสตรีสวมเขาหรอกหรือ?

ไทเฮาได้ยินก็ถึงกับขมวดพระขนงมุ่น เริ่มทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว “เหมิงกุ้ยเฟย คำพูดนี้มิอาจพูดเหลวไหลได้ ซิวเอ๋อร์เป็นลูกชายของเจ้า ความพอดีในการทำสิ่งต่าง ๆ ของเขาเป็นเช่นไร เจ้าก็น่าจะรู้ดี หนานหนานเป็นเด็กฉลาดปราดเปรื่อง หน้าตาก็ดูละม้ายคล้ายซิวเอ๋อร์นัก เจ้าพูดเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะทำให้ลูกชายของเจ้าผิดหวังจนชอกช้ำระกำใจหรืออย่างไรกัน?”

นังแก่หนังเหนียว ปกติก็เอาแต่กินมังสวิรัติสวดมนต์อยู่ในตำหนัก ในช่วงเวลาสำคัญกลับเข้ามายุ่งจุ้นจ้าน

เหมิงกุ้ยเฟยนึกดูหมิ่นอยู่ในใจ ทว่าภายนอกยังคงแสดงความเคารพต่อไทเฮาด้วยท่าทีพินอบพิเทา แต่คำพูดกลับไม่ยอมถอยให้ “ไทเฮาอภัยทานด้วย เป็นเพราะหม่อมฉันคือหมู่เฟยของซิวเอ๋อร์ จึงให้ความสำคัญกับทายาททางสายเลือดอย่างมาก หากเด็กคนนี้เป็นลูกชายของซิวเอ๋อร์จริง ๆ เช่นนั้นก็เป็นหลานชายของหม่อมฉันด้วย หากเด็กคนนี้สวมรอยเข้ามา หลังจากนี้หม่อมฉันและซิวเอ๋อร์จะจัดการอย่างไรเพคะ?”

“…” ไทเฮาเม้มพระโอษฐ์ถลึงพระเนตรมองนางปราดหนึ่ง ทว่าคำพูดนี้กลับทำให้พระนางมิอาจโต้ตอบได้ ถึงอย่างไรสิ่งที่เหมิงกุ้ยเฟยพูดไว้ก็ไม่ผิด ยิ่งไปกว่านั้น เย่ซิวตู๋ก็เป็นลูกชายร่วมสายเลือดโดยตรงของนาง

“เช่นนั้นจากความหมายของหมู่เฟย ต้องทำอย่างไรถึงจะยืนยันตัวตนของเด็กคนนี้?” เย่ซิวตู๋รู้สึกโกรธขึ้งอยู่ในใจ ตอนที่ได้ยินว่าเหมิงกุ้ยเฟยพูดว่าอวี้ชิงลั่วทำตัวมีลับลมคมใน เส้นเลือดบริเวณขมับถึงกับเริ่มเต้นตุบ ๆ

อวี้ชิงลั่วที่ยืนอยู่ด้านหลังดึงเขาไว้เบา ๆ ตอนที่สายตาของทุกคนเพ่งมองไปที่เหมิงกุ้ยเฟย นางจึงชะโงกหน้าเข้ามากระซิบโน้มน้าวใจ เขาจึงใจเย็นลง

เย่ซิวตู๋รู้สึกหมดคำพูด เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าโดยปกติสตรีผู้นี้แทบไม่ยอมให้ใครพูดถึงนางแม้แต่ครึ่งประโยคด้วยซ้ำ เหตุใดช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่โต้ตอบและเยาะเย้ยอีกฝ่ายเท่านั้น แต่กลับยิ้มตาหยีเช่นนี้ ราวกับเป็นคนนอกที่กำลังดูเรื่องสนุกของคนอื่น

เหมิงกุ้ยเฟยเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ครั้นแลเห็นว่าทุกคนไม่มีความคิดเห็นใดแล้ว จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “หยดเลือดพิสูจน์”

“…” อวี้ชิงลั่วรีบยกมือขึ้นมาปิดปาก เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองเปล่งเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

หยดเลือดพิสูจน์?

อืม ก็ถูก ในยุคนี้ คาดว่าวิธีเดียวที่คิดได้ก็คงมีแค่การหยดเลือดพิสูจน์สายเลือดแล้ว

ทว่า ในใจอวี้ชิงลั่วกลับรู้ดีว่าการหยดเลือดพิสูจน์มิใช่หลักการทางวิทยาศาสตร์ เลือดที่หยดลงไปในน้ำ ไม่ว่าจะเป็นพ่อลูกแท้ ๆ หรือไม่ เลือดย่อมหลอมรวมเข้าด้วยกัน ไม่ได้มีความท้าทายอะไรเลย

เย่ซิวตู๋มิได้รับรู้ถึงความคิดวกวนเหล่านั้นที่อยู่ในใจของนาง สำหรับพวกเขา นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดเพียงวิธีเดียวแล้วจริง ๆ

หนานหนานเป็นบุตรชายของเขาอย่างแท้จริง เย่ซิวตู๋ย่อมไม่หวาดกลัว จึงพยักหน้าตอบ “ตกลง เช่นนั้นก็หยดเลือดพิสูจน์”

“แม่นางชิง รบกวนเจ้าช่วยเตรียมให้ด้วย…” ฮ่องเต้เห็นว่าทั้งสองฝั่งไม่มีข้อโต้แย้ง จึงลอบถอนพระทัยออกมา ก่อนจะตรัสกับอวี้ชิงลั่วที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

อวี้ชิงลั่วแอบรู้สึกหลากใจ คิดไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้จะเรียกชื่อนาง

หรือว่า ภายในพระทัยของฮ่องเต้ก็ไม่เชื่อแบบเต็มร้อยว่าหนานหนานคือบุตรชายของเย่ซิวตู๋? ดังนั้นจึงสั่งให้นางแอบ…ลงมือสักหน่อย?

มุมปากของนางถึงกับกระตุก ฮ่องเต้ลำเอียงไปทางเย่ซิวตู๋มากเกินไปแล้ว ดังนั้นต่อให้หนานหนานมิใช่บุตรชายของเขา พระองค์ก็ไม่เต็มพระทัยที่จะเปิดเผยต่อหน้าธารกำนัล?

“ฝ่าบาท แม่นางชิงเป็นคนของซิวเอ๋อร์ หม่อมฉันมิอาจเชื่อใจได้” ครั้นฮ่องเต้ตรัสจบ เหมิงกุ้ยเฟยก็เริ่มคัดค้าน

ฮ่องเต้ขมวดพระขนง “แม่นางชิงผู้นี้คือหมอปีศาจ ทักษะทางการแพทย์ไม่ธรรมดา ให้นางไปจัดการย่อมมีความแน่นอนที่สุดแล้ว”

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ” ท่ามกลางกลุ่มคน จู่ ๆ ก็มีบุรุษอายุค่อนข้างมากคนหนึ่งก้าวเท้าออกมา ค้อมกายต่อเบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้

“เชิญหมอหลวงวูเอ่ยมา”

อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น ที่แท้ก็เป็นหมอหลวงคนหนึ่ง

หมอหลวงวูหันมองเหมิงกุ้ยเฟยปราดหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “ฝ่าบาท การหยดเลือดพิสูจน์แค่เตรียมน้ำหนึ่งถ้วยเท่านั้น ถึงเวลานั้นก็แค่หยดโลหิตลงไป ให้ใครไปเตรียมก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ไม่จำเป็นต้องรบกวนแม่นางชิงหมอปีศาจ กระหม่อมก็สามารถ…”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้เชียนชิวไปจัดการก็แล้วกัน” ไม่รอให้หมอหลวงวูกล่าวจบ ฮ่องเต้ก็โบกพระหัตถ์ออกคำสั่งไปยังเหมียวเชียนชิวที่ยืนอยู่ด้านหลัง “เจ้าไปจัดการ หยิบน้ำสะอาดมาหนึ่งถ้วย”

“พ่ะย่ะค่ะ”

อวี้ชิงลั่วแย้มยิ้ม ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้มิได้สงสัยถึงสถานะของหนานหนาน แต่เป็นเพราะรู้ดีว่าไม่ว่าจะให้ใครไปจัดการ เหมิงกุ้ยเฟยย่อมขัดขวาง หมอหลวงวูผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นคนของเหมิงกุ้ยเฟย เมื่อครู่เขาคิดจะเสนอตัว ทว่ากลับถูกฮ่องเต้ขัดจังหวะเข้าแล้ว

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ให้ชัวร์ต้องพิสูจน์ดีเอ็นเอค่ะ แต่อย่างว่าสมัยนั้นยังไม่ไฮเทคพอ

นังกุ้ยเฟยนี่วางแผนจะทำอะไรเนี่ย

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *