อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] 187 มีปัญญาทำร้ายสตรี

Now you are reading อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] Chapter 187 มีปัญญาทำร้ายสตรี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 187 มีปัญญาทำร้ายสตรี

ท้ายที่สุดอวี้ชิงลั่วก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดองค์ชายเหล่านั้นถึงไม่เห็นรัชทายาทอยู่ในสายตา รัชทายาทที่ถูกสตรีคนหนึ่งเป่าหูแค่มีกี่คำก็เกิดความโกรธเคือง รัชทายาทที่ปล่อยให้อนุชายาคนหนึ่งปีนขึ้นไปยืนอยู่บนศีรษะวางอำนาจบาตรใหญ่ รัชทายาทที่ไม่เข้าใจถึงความเพียรพยายามของไท่จื่อเฟย

น่าเสียดายไท่จื่อเฟยและเย่หลานเฉิงนัก ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองคนนี้เป็นคนฉลาด แต่กลับได้สามีและบิดาที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ ไม่แปลกใจที่เย่หลานเฉิงต้องไปอยู่ในเรือนหลังเล็กภายในวังเป็นเวลาถึงสองปีโดยไม่มีใครเหลียวแล โชคดีที่เขารู้จักประมาณตน จึงรักษาชีวิตไว้ได้

ไท่จื่อเฟยถูกรัชทายาทตำหนิเช่นนี้ ใบหน้าพลันแดงระเรื่อขึ้นมา ลอบรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ในใจ ทว่าในสายตาของรัชทายาทกลับกลายเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ ไม่ได้ดูน่าสงสารเหมือนจ้าวผิงที่เขาชมชอบ

รัชทายาทหันมองมาที่อวี้ชิงลั่ว ใช้ฝ่ามือตบโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า ตวาดด้วยความขุ่นเคือง “เจ้าเป็นใคร เหตุใดเมื่อเห็นเราถึงไม่ยอมทำความเคารพ? ทั้งยังกล้าตำหนิอนุชายาอันเป็นที่รักของเราด้วยท่าทางกล้าหาญชาญชัยเช่นนี้”

“อนุชายาอันเป็นที่รัก?” อวี้ชิงลั่วแย้มยิ้ม ทำเป็นฟังหูซ้ายทะลุหูขวา จับประเด็นแค่สองคำสุดท้ายของเขา จากนั้นจึงหันไปสั่งพ่อบ้านหยางที่อยู่ข้าง ๆ “พ่อบ้านหยาง ลากเก้าอี้ที่อยู่ใต้ก้นของสตรีผู้นั้นออกไป ห้องโถงด้านหน้าของตำหนักอ๋องซิวแห่งนี้ไม่ได้มีที่ไว้ให้อนุชายานั่ง”

พ่อบ้านหยางทนดูท่าทางหยิ่งผยองของจ้าวผิงไม่ไหวตั้งแต่แรกแล้ว เขาโบกมือตะโกนสั่งผู้อารักขาที่อยู่ข้าง ๆ “ยกเว้นเก้าอี้ของแม่นาง รัชทายาทและไท่จื่อเฟย พวกเจ้าลากเก้าอี้ตัวอื่นออกไปให้หมด”

“ขอรับ” ผู้อารักขาเหล่านั้นขานตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พวกเขาไม่ได้มีความหวาดกลัวต่อรัชทายาทแม้แต่น้อย ในเมื่ออยู่ในตำหนักอ๋องซิว เช่นนั้นพวกเขาย่อมเป็นคนของท่านอ๋องซิว พวกเขาฟังแค่คำสั่งของท่านอ๋องเท่านั้น ตอนนี้ท่านอ๋องมอบอำนาจทั้งหมดให้แม่นางอวี้แล้ว คำพูดของแม่นางอวี้ถือเป็นคำสั่งสำหรับพวกเขา

พวกเขาจึงเดินเข้ามาด้านในห้องโถง ดึงตัวจ้าวผิงขึ้นมาโดยไม่มีการทะนุถนอมแต่อย่างใด ก่อนจะยกเก้าอี้ออก ท่ามกลางสีหน้าตกตะลึงของรัชทายาท

จ้าวผิงค้างชะงัก ยืนอยู่กลางห้องด้วยท่าทางเหม่อลอยไม่ได้สติ

รัชทายาทก็ตกตะลึงเช่นกัน ดวงตากวาดมองผู้อารักขาเหล่านั้น ก่อนจะหันมองมาที่อวี้ชิงลั่ว ไม่รู้ว่าควรกล่าวสิ่งใด

ไท่จื่อเฟยได้สติกลับมาเร็วกว่าใคร ๆ ทว่าในตอนนี้นางมิอาจพูดอะไรมากมายไปกว่านี้ได้

จนกระทั่งเก้าอี้ทั้งหมดถูกย้ายออกไป จ้าวผิงจึงส่งเสียงกรีดร้อง ก่อนจะหันหน้ามาร้องไห้ใส่รัชทายาท น้ำเสียงขาด ๆ หาย ๆ ช่างน่าเวทนาอย่างบอกไม่ถูก “รัชทายาท หม่อมฉัน…หม่อมฉันคิดว่า…หลังจากนี้หากได้ติดตามฝ่าบาทคงไม่มีใครกล้ารังแกหม่อมฉันอีกแล้ว…คิดไม่ถึงเลย…คิดไม่ถึงเลยว่าต่อหน้าท่าน ยังมีคนกล้าดึงหม่อมฉันขึ้นมาจากเก้าอี้ ผู้อารักขาหยาบคายเหล่านั้น กล้าใช้มือสกปรกแตะตัวหม่อมฉัน ฝ่าบาท ฮือ ๆ…หม่อมฉัน…หม่อมฉันคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว”

ระหว่างที่พูด จ้าวผิงก็พุ่งตัวชนเข้าใส่เสาที่อยู่ข้าง ๆ อย่างแรง

ไท่จื่อเฟยตกใจมาก นางมีปฏิกิริยาโต้ตอบเร็วกว่ารัชทายาท จึงรีบพุ่งตัวเข้าไปขวางจ้าวผิงไว้

จ้าวผิงออกแรงชนค่อนข้างแรง แม้ว่านางไม่ได้คิดจะทำร้ายตนเองให้ถึงชีวิตจริง ๆ แต่ก็จำเป็นต้องได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย

ด้วยเหตุนี้เมื่อไท่จื่อเฟยถูกชนเข้าใส่เช่นนี้ ปิ่นปักผมที่อยู่บนศีรษะของจ้าวผิงจึงทิ่มเข้าที่คางของนาง ทำให้นางเจ็บปวดจนน้ำตาไหลออกมา ก่อนจะทรุดนั่งลงบนพื้น ยกมือกุมหน้าอกหอบหายใจอย่างหนัก

รัชทายาทส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจ น้ำเสียงฟังดูหวาดผวา “ผิงเอ๋อร์”

ครั้นกล่าวจบ ก็รีบถลาเข้าหาจ้าวผิงด้วยความประหม่า ประคองศีรษะของนางอย่างระมัดระวัง “ผิงเอ๋อร์ เป็นเช่นไรบ้าง? กระแทกโดนตรงไหนหรือไม่? เหตุใดเจ้าถึงคิดอะไรตื้น ๆ เช่นนี้ มีเรื่องน้อยใจอะไร เราย่อมให้ความเป็นธรรมกับเจ้าได้ หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เราจะทำอย่างไร?”

ใบหน้าของจ้าวผิงเต็มไปด้วยน้ำตา นางใช้มือจับแขนเสื้อของรัชทายาท ก่อนจะซุกหน้าเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้น

ไท่จื่อเฟยขบฟันอย่างเป็นทุกข์ นางอยากลุกขึ้นยืน แต่ค้นพบว่าขาทั้งสองข้างพลิกขณะวิ่งเพราะไม่ทันได้ระวัง แค่ขยับตัวเล็กน้อยก็เจ็บจนสูดลมเย็นเข้าปาก ใบหน้าบิดเบี้ยวทำได้แค่นั่งอยู่บนพื้นอย่างนั้น ดวงตาทั้งคู่แดงระเรื่อขณะมองไปยังรัชทายาทที่กำลังกอดปลอบใจจ้าวผิงราวกับกำลังกอดเด็กน้อย รอยยิ้มที่มุมปากช่างดูขมขื่นนัก

อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว มือที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อกำเข้าหากันจนแน่น

ทว่ารัชทายาทกลับหันหน้ามาด้วยท่าทางดุดัน ถลึงตาพลางตะคอก “นังผู้หญิงคนนี้ กล้าดีอย่างไรถึงได้ดูหมิ่นผิงเอ๋อร์ของเราเช่นนี้ ทั้งยังบีบบังคับให้ผิงเอ๋อร์เกือบปลิดชีพตนเองอยู่ที่นี่ วันนี้เราจะฆ่าเจ้าซะ”

ไท่จื่อเฟยชะงัก รู้สึกตกใจจนหน้าเสีย รีบพูดโน้มน้าวใจโดยไม่สนใจถึงความเจ็บปวด “ไม่ได้นะเพคะ ที่นี่คือตำหนักอ๋องซิว พวกเรารอน้องห้า…”

“เพี้ยะ”

รัชทายาทยกมือตบไปที่หน้าของนางฉาดหนึ่ง ถลึงตามองนางด้วยดวงตาแดงก่ำ “หุบปากของเจ้าซะ เจ้าคิดว่าตนเองเก่งนักรึ? หากไม่มีเราสักคน แม้แต่อนุชายาเจ้าก็ยังเทียบไม่ติด ช่วยเหลืออะไรเราไม่ได้ยังพอทน ยังกล้าเพิ่มความทะเยอทะยานของผู้อื่นแต่ทำลายศักดิ์ศรีของตนเอง นี่เจ้ายังเห็นเราอยู่ในสายตาหรือไม่?”

ไท่จื่อเฟยยกมือขึ้นมากุมแก้ม ขบฟันแน่น น้ำตาไหลพรากลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ “รัชทายาท ที่หม่อมฉันทำไปก็เพราะหวังดีต่อท่าน”

สตรีคนหนึ่งแสดงท่าทีหยิ่งผยองภายในตำหนักอ๋องซิว ส่วนสตรีอีกคนสามารถออกคำสั่งพ่อบ้านและผู้อารักขาทั้งหมดในตำหนักได้ ดังนั้นตำแหน่งของนางภายในตำหนักอ๋องแห่งนี้ย่อมไม่ธรรมดา

หากเกิดอะไรขึ้นกับสตรีผู้นี้ในวันนี้ ท่านอ๋องซิวไม่มีทางปล่อยไว้แน่ ความสามารถของท่านอ๋องซิวมิใช่สิ่งที่รัชทายาทจะเทียบชั้นเป็นศัตรูได้ ถึงเวลานั้นแม้แต่การที่ท่านอ๋องซิวจะทำให้เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งรัชทายาทก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้ความพยายามอะไร

ทว่าเหตุผลนี้มีแค่ไท่จื่อเฟยที่เข้าใจ ทว่ารัชทายาทกลับไม่เข้าใจ เขาได้ระเบิดอารมณ์เหล่านั้นที่อดกลั้นมาหลายปีอย่างสมบูรณ์ เพียงเพราะเสียงร้องห่มร้องไห้ของจ้าวผิง

“เพี้ยะ” รัชทายาทพลิกหลังมือตบไปที่หน้าของไท่จื่อเฟยอีกครั้ง “หุบปากของเจ้าซะ มิเช่นนั้นเราจะกำจัดเจ้าทิ้ง”

“พอได้แล้ว หากรัชทายาทคิดจะแสดงบารมีหรือระเบิดอารมณ์ เชิญกลับไปที่ตำหนักรัชทายาทของท่าน จะมาใส่อารมณ์ที่ตำหนักอ๋องซิวไปเพื่ออะไรกัน?” อวี้ชิงลั่วทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว นางรู้สึกดูหมิ่นพฤติกรรมของรัชทายาทอย่างมาก

ไม่แปลกใจเลยที่เหล่าบุคคลสำคัญ นางสนม องค์ชายภายในอาณาจักรเฟิงชาง จะไม่มีใครเห็นรัชทายาทคนนี้อยู่ในสายตา

มีจิตใจเหี้ยมโหดกับไท่จื่อเฟยที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขและคอยปกป้องเขาทุกหนแห่งเช่นนี้ นับเป็นคนประสาอะไร?

รัชทายาทกระซิบปลอบใจจ้าวผิงที่อยู่ในอ้อมกอดเสร็จแล้ว จึงประคองให้ยืนข้าง ๆ เขา จากนั้นจึงพุ่งตัวเข้ามาทำท่าจะลงไม้ลงมือกับอวี้ชิงลั่ว เขาเป็นใคร? อวี้ชิงลั่วเป็นใคร? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อวี้ชิงลั่วมีทักษะติดตัว ต่อให้นางยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ไม่ไหวติง คนของตำหนักอ๋องซิวย่อมไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำอะไรนางแม้แต่ปลายเส้นขน

พ่อบ้านหยางมุมปากขึงตึง กำปลายนิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

“พ่อบ้านหยาง ท่านไม่ต้องสนใจ วันนี้ข้าเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าเขามีปัญญาทำร้ายร่างกายสตรีหรือไม่? หรือแท้จริงแล้ว ไม่มีปัญญาแม้แต่จะทำอะไรสตรีคนหนึ่งได้”

พ่อบ้านหยางชะงัก ก้มศีรษะกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ขอรับ”

…………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ต้องให้ชิงลั่วสั่งสอนแล้ว กล้าตบเมียเอกในตำหนักคนอื่นมันเป็นเรื่องที่น่าละอายรู้ไหม ต่อให้เป็นรัชทายาทก็ไม่สน

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *