อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] 451 อายุมากแล้ว

Now you are reading อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] Chapter 451 อายุมากแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 451 อายุมากแล้ว

ตอนที่ 451 อายุมากแล้ว

เย่ซิวตู๋ถึงกับสีหน้าเคร่งขรึมทันใด อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กนี่กำลังคิดสิ่งใดและมีเป้าหมายใดอยู่ในใจ

อวี้ชิงลั่ว สตรีผู้นั้นมีเสน่ห์อะไรกันแน่ ถึงได้ตกเด็กที่อายุแค่สิบกว่าขวบให้หลงจนหัวปักหัวปำ

เย่ซิวตู๋หันมองฉีหานเว่ยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “รัชทายาทฉี องค์ชายสิบสามได้รับบาดเจ็บแล้ว หมอหลวงก็พูดเองว่าต้องพักผ่อนให้มากถึงจะดี”

“เอ่อ อันที่จริงเราเองก็คิดเช่นนี้ แต่จู่ ๆ เราก็นึกขึ้นได้ว่าหมอปีศาจอยู่ที่ตำหนักของท่านอ๋องซิว ข้าไม่ค่อยสบายใจเรื่องอาการของเจ้าสิบสาม จึงอยากขอไปให้แม่นางชิงช่วยตรวจให้สักหน่อยได้หรือไม่ ท่านอ๋องก็พูดเองว่าเจ้าสิบสามได้รับบาดเจ็บแล้ว”

วันนี้ฉีหานเว่ยตกเป็นเบี้ยล่างภายในท้องพระโรง ตอนนี้ย่อมไม่คิดจะปล่อยให้เย่ซิวตู๋อยู่อย่างสบายใจเฉิบ ได้เห็นอีกฝ่ายแสดงสีหน้าดูไม่จืด ภายในใจย่อมเกิดความสุขอย่างเลี่ยงไม่ได้

ส่วนเป้าหมายของเจ้าสิบสาม เขาย่อมรู้ดี พูดตามตรง อวี้ชิงลั่วไม่มีทางที่จะอยู่กับเจ้าสิบสามได้ เพียงแต่นิสัยดื้อรั้นของเจ้าสิบสาม ต่อให้เขาพูดโน้มน้าวใจมากกว่านี้ เจ้าสิบสามก็ทำแค่เพียงฟังเท่านั้น

จากความหมายของฉีหานเว่ย สู้ให้เจ้าสิบสามและอวี้ชิงลั่วเจอหน้ากัน ไปคุยกันต่อหน้าให้ชัดเจนก็ดีเหมือนกัน เจ้าสิบสามจะได้ตัดใจเสียที เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนี้คาราคาซัง หากปล่อยให้เจ้าสิบสามเอาแต่จินตนาการถึงคนที่ไม่รู้จักและทำตัวลึกลับ หลังจากนี้คงถอนตัวยากขึ้นเรื่อย ๆ

ทว่าเขาไม่ได้บอกความคิดที่อยู่ในใจของเขาให้เย่ซิวตู๋รับรู้

ตอนนี้ฉีหานเว่ยอยากเห็นเย่ซิวตู๋อยู่ในท่าทางอึดอัดใจแทบแย่แล้ว เขาสนใจอวี้ชิงลั่วมากมิใช่รึ? ไม่อยากให้เจ้าสิบสามไปตำหนักอ๋องซิวมิใช่รึ? เขาไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายสมปรารถนาหรอก

“หรือว่า ท่านอ๋องซิวไม่ยินดีให้หมอปีศาจช่วยดูอาการให้เจ้าสิบสาม? เฮ้อ ก็จริง แม้ว่าตอนนี้แม่นางชิงจะพักอยู่ในตำหนักอ๋องซิว แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นแค่องค์หญิงของอาณาจักรเทียนอวี่ ท่านอ๋องซิวคงมิอาจตัดสินใจได้ เช่นนั้นให้เราไปหาองค์ชายรองของอาณาจักรเทียนอวี่ก็แล้วกัน บางทีเขาอาจตอบตกลง”

เย่ซิวตู๋ยิ้มเยาะ “รัชทายาทฉี วิธียั่วยุเช่นนี้ใช้กับเราไม่ได้ผลหรอก”

“อ๋อ งั้นรึ?” ฉีหานเว่ยเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะหลุบตามองอวี้เป่าเอ๋อร์ที่เอาแต่นั่งงงอยู่ข้างรถม้า ทั้งยังมองหน้าของพวกเขาทั้งคู่ด้วยท่าทางประหม่า ก่อนจะพูดกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนว่า “คุณชายน้อยอวี้ ถึงอย่างไรเจ้าสิบสามก็สะกดรอยตามอาฝูผู้นั้นเป็นเพื่อนเจ้า เฮ้อ เจ้าสิบสามเห็นเจ้าเป็นสหายของเขา เป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า จึงไม่อยากให้เจ้าเข้าไปเสี่ยงอันตรายเพียงลำพัง คิดไม่ถึงเลยว่าตนเองกลับได้รับบาดเจ็บ”

ถึงอย่างไรอวี้เป่าเอ๋อร์ก็เป็นเด็กคนหนึ่งและไม่ได้เจนจัดต่อโลก เขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของฉีหานเว่ยได้อย่างไรกัน? หลังจากถูกเขาพูดใส่ด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค อวี้เป่าเอ๋อร์ก็หันมองฉีหานเทียนที่กำลังยืนเม้มปากอยู่ข้าง ๆ ด้วยความรู้สึกละอายใจ

เขาหันไปมองเย่ซิวตู๋ราวกับต้องการขอความช่วยเหลือ อีกฝ่ายจ้องตาเขาพลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “รัชทายาทฉีไม่เชื่อในฝีมือหมอหลวงของอาณาจักรเฟิงชางรึ? หมอหลวงช่วยตรวจอาการให้องค์ชายสิบสามแล้ว ขอแค่พักผ่อนให้มาก ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อันใด หลายวันมานี้ชิงเอ๋อร์เหนื่อยมากเพราะมีธุระให้ทำมากมาย คงไม่เหมาะที่จะให้นางช่วยรักษาให้คนอื่น”

ฉีหานเว่ยหัวเราะหนึ่งเสียง เพิกเฉยต่อใบหน้าบึ้งตึงของเย่ซิวตู๋ ถอนหายใจใส่อวี้เป่าเอ๋อร์ต่อไป “จะว่าไป ก่อนหน้านี้เจ้าสิบสามก็เคยได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังเคยเกือบตายมาแล้ว มีแค่แม่นางชิงเท่านั้นที่มีความสามารถช่วยชีวิตของเขากลับมา ไม่รู้ว่าครั้งนี้ถูกอาฝูกระทืบเข้าที่กลางอกจะส่งผลกระทบทำให้โรคในครั้งก่อนกำเริบหรือไม่ แม้ว่าหมอหลวงจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่เราก็ไม่สบายใจอยู่ดี ถึงอย่างไรเราก็เชื่อแม่นางชิงมากกว่า”

อวี้เป่าเอ๋อร์กัดริมฝีปาก

“แต่ในเมื่อท่านอ๋องซิวบอกว่าแม่นางชิงเหนื่อยล้าเกินไป เช่นนั้นครั้งนี้ไปรบกวนก็คงไม่ดี คุณชายน้อยอวี้ ไม่ทราบว่าขอรบกวนฝากเจ้าไปบอกแม่นางชิงให้หน่อยได้หรือไม่ ช่วยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้แม่นางชิงฟังสักหน่อย บอกนางว่าหากมีเรี่ยวแรงแล้วช่วยมาดูอาการบาดเจ็บของเจ้าสิบสามที่เรือนรับรองของอาณาจักรหลิวอวิ๋นหน่อยเถิด เฮ้อ ถึงอย่างไรเราก็ช่วยเป็นพยานให้ผู้อารักขาเหวินคนนั้นแล้ว ต่อให้ไม่ประสบความสำเร็จแต่ก็ทำงานอย่างหนักมิใช่รึ?”

อวี้เป่าเอ๋อร์ยิ่งรู้สึกละอายใจเข้าไปใหญ่ จริงด้วย ก่อนหน้านี้แม้ว่าองค์ชายสิบสามจะเคยทำร้ายเขา แต่วันนี้อีกฝ่ายก็ช่วยเขาไว้มากจริง ๆ หากไม่ใช่เพราะรัชทายาทฉีเข้ามา พวกเขาอาจถูกอาฝูจับได้ระหว่างทาง รัชทายาทฉีก็เป็นคนพาพวกเขาเข้าไปด้านในลานของเรือนหลังนั้นด้วย

อีกอย่างองค์ชายสิบสามก็โกรธเพราะอาฝูใส่ร้ายพี่สาวของเขา ดังนั้นจึงเข้าไปทำร้ายอีกฝ่ายด้วยความโกรธจนทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บ

องค์ชายสิบสามเห็นเขาเป็นสหาย เขามิอาจเพิกเฉยอีกฝ่ายได้

อวี้เป่าเอ๋อร์กะพริบตาปริบ ๆ มองไปทางเย่ซิวตู๋ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

เย่ซิวตู๋กำมือที่ปล่อยไว้ข้างลำตัวจนแน่น ฉีหานเว่ยเข้าใจเลือกลงมือกับคนที่ใจอ่อนจริง ๆ

เอาสิ อยากเจออวี้ชิงลั่วมิใช่รึ อยากเจอก็ไปเจอเลย หวังว่าถึงเวลานั้นอย่าถูกโจมตีรุนแรงจนกระอักก็แล้วกัน

เย่ซิวตู๋เปลี่ยนความคิด หันไปมองฉีหานเทียนที่กำลังเบิกตาโตมองมาที่ตนเอง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ขึ้นรถเถอะ”

ครั้นกล่าวจบ ก็เข้าไปนั่งด้านในรถม้าที่เผิงอิงช่วยแหวกม่านรถไว้แล้วเป็นคนแรก

ฉีหานเว่ยแย้มยิ้ม ยื่นมือออกไปลูบศีรษะฉีหานเทียน ทว่าภายในใจกลับแอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เจ้าสิบสามเอ๋ยเจ้าสิบสาม เหตุใดถึงได้ตกหลุมรักแม่นางชิงเสียได้?

ฉีหานเว่ยดึงเขาขึ้นไปนั่งบนรถม้าอีกคันหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็มุ่งหน้าไปที่ตำหนักอ๋องซิว

ใช้เวลาราว ๆ หนึ่งเค่อ รถม้าก็หยุดลงด้านหน้าประตูใหญ่ของตำหนักอ๋องซิวอย่างช้า ๆ ฉีหานเทียนแหวกม่านรถเพราะรอต่อไปไม่ไหว ก่อนจะกระโดดลงจากรถในทันที

เย่ซิวตู๋นั่งอยู่บนรถม้า เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านนอก สีหน้าถึงกับเย็นยะเยือก

อวี้เป่าเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตา มือทั้งสองข้างวางบนหัวเข่าไม่กล้าขยับเขยื้อน ต่อให้เผิงอิงแหวกม่านรถออกพร้อมกับยื่นมือออกมาทำท่าจะอุ้มเขาลงไป อวี้เป่าเอ๋อร์กลับเอาแต่เม้มปาก แอบชำเลืองมองไปทางเย่ซิวตู๋

ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็ทนต่อบรรยากาศภายในรถที่เงียบเกินไปไม่ไหว เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่าน…ท่านอ๋อง เป่าเอ๋อร์ทำไม่ถูกต้องใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? จริง ๆ แล้ว…จริง ๆ แล้วเป่าเอ๋อร์รู้ดีว่าองค์ชายสิบสามคิดอะไรอยู่ แต่ข้าคิดว่า…คิดว่าให้ท่านพี่คุยกับเขาให้ชัดเจนก็ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไร…ถึงอย่างไรเขาก็เป็นองค์ชายของอาณาจักรหลิวอวิ๋น”

มือของเผิงอิงที่ยื่นมือด้านหน้าแอบชะงักไปเล็กน้อย หันมองไปทางอวี้เป่าเอ๋อร์ด้วยความประหลาดใจ จากนั้นมุมปากของเขาก็เจือด้วยรอยยิ้ม

ในที่สุดเย่ซิวตู๋ก็ขยับตัวเล็กน้อย พยักหน้า กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงขึงขัง “เรารู้แล้ว”

หา? อวี้เป่าเอ๋อร์ชะงัก เขารู้?

“เอาล่ะ ลงจากรถเถอะ” แม้ว่าจะรู้ แต่ภายในใจก็ไม่มีความสุขอยู่ดี

เย่ซิวตู๋ลงจากรถม้าอย่างเนิบช้า ทันทีที่ลงมายืนบนพื้น สองพี่น้องฉีหานเว่ยที่อยู่ทางฝั่งนั้นก็เดินมาหยุดตรงหน้าเขาแล้ว

ฉีหานเทียนบุ้ยปาก ราวกับไม่ค่อยพอใจ “อืดอาดชะมัด อายุมากแล้วจริง ๆ ด้วยสินะ”

เสียงของเขาเบามาก เป็นแค่การพึมพำเท่านั้น ทว่ากลับได้ยินไปถึงหูของเย่ซิวตู๋เสียแล้ว

ฉีหานเว่ยถึงกับตกใจ แอบกุมขมับอย่างเงียบ ๆ

“ใช่แล้ว เราและแม่ของลูกชายเราต่างก็อายุมากแล้ว” เย่ซิวตู๋หัวเราะพรืดหนึ่งเสียง หมุนกายเดินเข้าไปในตำหนักอ๋องซิว

ฉีหานเทียนชะงักไปเล็กน้อย ผ่านครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจ จากนั้นก็เริ่มกระทืบเท้าตึงตัง ออกแรงดึงเสื้อของพี่ใหญ่ตนเอง กล่าวด้วยความขุ่นเคือง “พี่ใหญ่…เขา…เขา…”

ฉีหานเว่ยไอกระแอมเบา ๆ หนึ่งเสียง “ไปเถอะ เข้าไปเถอะ”

เย่ซิวตู๋แค่นเสียงเย็น ไอ้เด็กเมื่อวานซืน คิดจะเอาเปรียบเขาด้วยวาจางั้นรึ?

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ท่านอ๋องซิวเจอคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกันแล้วค่ะ ๕๕๕

ว่าอะไรก็ว่าได้ แต่บอกว่าอายุมากนี่ไม่ได้เลยนะคะ

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *