อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] 584 พูดออกมาให้หมด
ตอนที่ 584 พูดออกมาให้หมด
ตอนที่ 584 พูดออกมาให้หมด
ฮ่องเต้เองก็สงสัย “เขาคุกคามนางข้าหลวงของเจ้าอย่างไรหรือ”
เหมิงกุ้ยเฟยมองฮ่องเต้ด้วยกิริยาอ่อนหวาน กล่าวเสียงเบา “หม่อมฉันเองก็รู้เรื่องนี้เมื่อสองวันก่อนเพคะ เจี่ยนเซียง นางข้าหลวงของหม่อมฉัน นางได้รับความไว้วางใจจากหม่อมฉันอย่างมาก แต่วันนั้นหม่อมฉันบังเอิญพบนางกับเสี่ยวปิ๋งจื่อผู้นั้นแอบพบกันสองคนเพคะ”
มือของอวี้ชิงลั่วหยุดชะงักอีกครั้ง แอบพบกันหรือ เจี่ยนเซียงเป็นคนของเซียวเฟยเหนียงเหนียง ไม่สิ ตอนนี้น่าจะกล่าวว่าเป็นคนของหว่านเฟยแล้ว
ตั้งแต่เหตุการณ์ที่วัดหลิงไท่ เจี่ยนเซียงก็ไร้ร่องรอยไปเลย นางยังคิดว่าอีกฝ่ายถูกเหมิงกุ้ยเฟยฆ่าตายไปอย่างเงียบๆ แล้ว แต่ตอนนี้ฟังดูแล้ว ท่าทางเจี่ยนเซียงผู้นี้จะยังมีชีวิตอยู่
เหมิงกุ้ยเฟยคิดจะใช้เจี่ยนเซียงทำเรื่องอันใดกันแน่?
ฮ่องเต้มุ่นพระขนง ขันทีและนางข้าหลวงแอบพบกันหรือ สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ให้เหมิงกุ้ยเฟยจัดการก็ถูกต้องแล้ว
แต่ตอนนี้เสี่ยวปิ๋งจื่อทำความผิดร้ายแรง เช่นนั้นทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาจะต้องถูกตรวจสอบให้ชัดแจ้ง
“ตอนนี้เจี่ยนเซียงอยู่ที่ไหน” ฮ่องเต้ตรัสถาม
“หลังจากหม่อมฉันรู้ว่านางประพฤติตัวไม่ดีก็ลงโทษนางเพคะ ตอนนี้ยังถูกจับขังไว้ที่ตำหนักอี๋ซิ่งให้คนคอยเฝ้าอยู่ เจี่ยนเซียงผู้นี้รับใช้หม่อมฉันมาหลายปี หม่อมฉันเองก็ยังสงสารนางอยู่มาก ถ้าหากนางชอบเสี่ยวปิ๋งจื่อจริงๆ ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถคบหากับเขาได้เลย เพียงแต่ว่าการกระทำเรื่องน่าอายในที่ลับตาคนนั้น ทำให้หม่อมฉันต้องแปดเปื้อนไปด้วยเพคะ”
เหมิงกุ้ยเฟยทำท่าทางเคียดแค้นชิงชัง ขณะกล่าวก็มองเสี่ยวปิ๋งจื่อผู้นั้นอย่างโกรธแค้นแวบหนึ่ง จากนั้นพูดอย่างเย็นชา “แต่คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวปิ๋งจื่อผู้นี้จะกล้าทำร้ายฝ่าบาท สมควรตายเป็นอย่างยิ่ง”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ จากนั้นก็ชะงัก ให้คนไปนำตัวเจี่ยนเซียงมา
อวี้ชิงลั่วยืนดูอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ครั้งนี้หากจะบอกว่าเหมิงกุ้ยเฟยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง นางก็จะไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว
หนานหนานไม่พอใจที่ถูกเมิน จึงพยายามจะกล่าวอันใดออกมาอย่างจิ้งจอกอ้างบารมีเสือ แต่เพียงอ้าปาก ก็ถูกถั่วลิสงกำมือหนึ่งยัดปากเสียก่อน
เขาเงยหน้ามองท่านแม่อย่างตกใจ จากนั้นก็หุบปากอย่างเชื่อฟัง แล้วเริ่มเคี้ยวถั่วดังกรอบแกรบ
ห้องตำราหลวงเงียบเชียบ เสียงเหมือนหนูตัวเล็กๆ แทะของกินของหนานหนานทำเอาฮ่องเต้ต้องหันมาทอดพระเนตร
ไม่นานนักก็กระตุกมุมพระโอษฐ์เล็กน้อย แล้วปล่อยเขาไป
เจี่ยนเซียงถูกนำตัวมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่ถูกคุมตัวมาถึงประตูห้องตำราหลวง ก็ถูกเหล่านางสนมที่ยืนอยู่ไม่ไกลเริ่มวิพากษ์วิจารณ์
หว่านเฟยที่อยู่ในกลุ่มคนนั้นหน้าซีดในทันที รูม่านตาหดลงอย่างอดไม่ได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เจี่ยนเซียงยังไม่ตายหรือ?
นางข้าหลวงที่ยืนอยู่ข้างๆ นางก็เบิกตากว้าง พูดเสียงเบา “เหนียงเหนียง”
“หลานจือ เจ้าแอบกลับไปเสีย นำของในกล่องลับของข้าออกให้หมด”
หลานจือตะลึง “แต่เหนียงเหนียงเพคะ ของในนั้น…”
“เลิกพูดเรื่องไร้สาระ รีบไปเสีย” หว่านเฟยบีบนิ้วแน่น สีหน้าขาวซีดยิ่งกว่าเดิม เหมิงกุ้ยเฟยสมควรตาย นางยังปล่อยให้เจี่ยนเซียงมีชีวิตอยู่อีก
เรื่องในครั้งนี้ ที่แท้ก็เป็นฝีมือของนาง
หลานจือกัดฟัน พยักหน้าเบาๆ หันหลังเดินจากห้องตำราหลวงไปอย่างเงียบๆ
อย่างไรก็ตาม นางเพิ่งจะเดินไปได้ถึงอุทยานอวี้ฮวา ด้านหน้าก็ปรากฏคนที่ใส่ชุดขันทีหนึ่งคน เขาเงยหน้าขึ้นในทันที จากนั้นก็ฟาดมือใส่หลานจือจนสลบไปอย่างรวดเร็ว
“จะปล่อยให้เจ้าทำลายสิ่งดีๆ ไม่ได้ เจ้าก็นอนอยู่ที่นี่อย่างเชื่อฟังสักสองชั่วยามก็แล้วกัน”
เขากล่าว ยกตัวหลานจือย้ายไปซ่อนไว้หลังก้อนหิน จากนั้นก็จากอุทยานอวี้ฮวาไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ด้านนอกห้องตำราหลวงนั้นเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวาย แต่ในห้องตำราหลวงกลับเงียบเชียบเป็นอย่างมาก
เจี่ยนเซียงคุกเข่าที่พื้น ก้มหน้าทำความเคารพฮ่องเต้
อวี้ชิงลั่วเอียงคอเล็กน้อย สีหน้าของเจี่ยนเซียงผู้นี้ขาวซีด ร่างกายดูอ่อนแอ ดูไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย
ดูท่าทางช่วงนี้เหมิงกุ้ยเฟยคงทรมานนางไม่น้อย เพียงแต่สองวันนี้คงจะดูแลนางหน่อย จึงดูมีสติอยู่เล็กน้อย
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรนางอย่างเย็นชา ตรัสเสียงเย็นเยียบ “เจี่ยนเซียง เจ้ารู้จักขันทีตรงด้านนั้นหรือไม่?”
เจี่ยนเซียงหันหน้าด้วยความยากลำบาก มองเสี่ยวปิ๋งจื่อที่หมดสติอยู่ ค่อยๆ พยักหน้า ตอบกลับเสียงอ่อน “หม่อมฉันรู้จักเพคะ เขาคือเสี่ยวปิ๋งจื่อจากห้องพระเครื่องต้น เป็น… เป็น…”
ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ รับรู้ได้โดยธรรมชาติว่าเจี่ยนเซียงชอบคนผู้นั้น เมื่อครู่เหมิงกุ้ยเฟยบอกกล่าวไว้แล้ว
ที่เขาอยากรู้ ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคน
“เจี่ยนเซียง เจ้ารู้จักเสี่ยวปิ๋งจื่อมากน้อยเท่าใด เขาอยู่ที่ใดมาก่อนจะเป็นขันที ครอบครัวมีใครอีก?”
เจี่ยนเซียงลดศีรษะลง กล่าวเบาๆ “หม่อมฉันเคยได้ยินเสี่ยวปิ๋งจื่อพูดไว้ ก่อนจะเข้าวังนั้นเขาเป็นคนจากหยางเฉิง เถี่ยซานเพคะ ที่บ้านมีพ่อแม่และพี่น้องสิบกว่าคน เพียงแต่ว่าสิบปีก่อนมีการกบฏของท่านอ๋องเจี่ยง ถูกสั่งประหารเก้าชั่วโคตร พ่อแม่ของเสี่ยวปิ๋งจื่อเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเพคะ”
ขันทีที่อยู่ข้างๆ มองกระดาษในมือ พยักหน้าแล้วกล่าว “เสี่ยวปิ๋งจื่อมาจากหยางเฉิง เถี่ยซานจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ขณะพูดคุยกัน เหมียวเชียนชิวก็พาท่านอ๋องเป่าเข้าห้องตำราหลวงมาแล้ว
อ๋องเป่ารู้ว่าฮ่องเต้ถูกลอบวางยา หลังจากทำความเคารพแล้วก็อยากจะแสดงความเป็นห่วงสองสามประโยค
ฮ่องเต้กลับโบกพระหัตถ์ปัด ให้เขาฟังอยู่ข้างๆ
ท่านอ๋องเป่ารับคำสั่งแล้วถอยไปอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ ก้มลงมองเจี่ยนเซียงที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นกับเสี่ยวปิ๋งจื่อ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ขมวดคิ้ว ระหว่างทางมาเขาได้ฟังจากเหมียวกงกงประมาณหนึ่งแล้ว แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับทำให้เขาสงสัย
เขากวาดตามองทางด้านอวี้ชิงลั่วแวบหนึ่ง อีกฝ่ายกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับใด เพียงแค่อมยิ้มแล้วสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ
ฮ่องเต้ตรัสถามอีกครั้ง “นอกจากเรื่องพวกนี้ เจ้ายังรู้เรื่องอันใดอีกบ้าง?”
เจี่ยนเซียงตื่นตกใจ เม้มปากแน่น แต่ไม่กล่าวอันใดอีก
ท่าทางลังเลที่จะพูดนั้น ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ แม้แต่ขันทีที่อยู่ด้านข้างก็รู้ว่านางมีเรื่องที่ปิดบังอยู่
เหมิงกุ้ยเฟยจ้องนางเขม็ง “ยังไม่พูดอีกหรือ เสี่ยวปิ๋งจื่อวางยาในพระกระยาหารของฝ่าบาท เรื่องผิดพลาดร้ายแรงเช่นนี้ ยังจะปิดบังอะไรให้เขาอีก ถ้าหากเจ้ายังไม่กล่าวความจริง เจ้ากับเสี่ยวปิ๋งจื่อก็จะมีจุดจบเดียวเท่านั้น ถึงตอนนั้นข้าเองก็ช่วยเจ้าไม่ได้แล้วนะ”
“อะไรนะเพคะ วางยาหรือ?” เจี่ยนเซียงตกตะลึง มองเหมิงกุ้ยเฟยด้วยความงุนงง “เหนียงเหนียง หม่อมฉัน…”
“เจี่ยนเซียง เจ้ารับใช้ข้ามาหลายปี ข้าเองก็สงสารเจ้า หากเจ้ารู้อะไรก็จงพูดออกมาอย่างซื่อสัตย์เสีย จะได้ไม่ต้องไปพัวพันกับเสี่ยวปิ๋งจื่อ” น้ำเสียงของเหมิงกุ้ยเฟยอ่อนลง โน้มน้าวนางราวกับแม่สามีใจดี “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบเสี่ยวปิ๋งจื่อ แต่เขาเล่า เขาทำเรื่องเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เห็นชีวิตของตนหรือเห็นเจ้าในสายตาเลย ไม่ว่าเจ้าจะทุ่มเทให้เขาสักเท่าไร เขาก็เพียงแค่หลอกใช้เจ้าเท่านั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่ การยอมสละชีวิตเพื่อคนอย่างเขานั้นไม่คุ้มหรอก”
อวี้ชิงลั่วกระตุกมุมปากยิ้มเล็กๆ เจี่ยนเซียงผู้นี้ถูกเหมิงกุ้ยเฟยปลุกระดมเสียแล้ว
ดูสถานการณ์แล้ว เหมิงกุ้ยเฟยกำลังใช้เหตุผลกับนางเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่านี่คือการแสดงแบบคู่ที่วิเศษยิ่งนัก
เหมิงกุ้ยเฟยผู้นี้คงมีจุดอ่อนของเจี่ยนเซียงอยู่ในมือ แล้วให้นางลงมือแทนตนเอง
เจี่ยนเซียงเม้มปาก มองเสี่ยวปิ๋งจื่อแวบหนึ่ง น้ำตาไหลพรากออกมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง ราวกับว่านางตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้ว จึงกัดฟันกล่าว “ฝ่าบาท เหนียงเหนียงเพคะ หม่อมฉัน หม่อมฉันจะกล่าวทุกอย่างที่รู้ออกมาเพคะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นายบ่าวการละครเริ่มต้นแล้วสินะ ชิงลั่วรู้ชิงลั่วเห็น
ไหหม่า(海馬)
Comments