อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] 588 ขอพบอวี้ชิงลั่ว

Now you are reading อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] Chapter 588 ขอพบอวี้ชิงลั่ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 588 ขอพบอวี้ชิงลั่ว

ตอนที่ 588 ขอพบอวี้ชิงลั่ว

อวี้ชิงลั่วมองแผ่นหลังเหยียดตรงอย่างองอาจของนางแล้วก็บีบมือหนานหนานแน่น ก่อนจะพึมพำ “ดูท่าแล้ว เหมิงกุ้ยเฟยไม่อยากแม้แต่จะทำตัวใจกว้างต่อหน้าข้าแล้วสินะ”

คงจะเพราะครั้งก่อนที่วัดหลิงไท่ที่ทำให้นางต้องสูญเสียสองอย่างในคราวเดียว ทั้งยังเป็นผลทำให้นางต้องต่อสู้กับฮองเฮา ตอนนี้จึงเกลียดตนเข้ากระดูกดำ

แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี ไม่อย่างนั้นจะต้องมาเล่นละครใส่กันอีก เหนื่อยแทบตายแล้ว

หนานหนานเงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็ส่ายศีรษะราวกับผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ ถอนหายใจแล้วกล่าว “ความคิดของสตรีอย่างพวกท่านช่างเข้าใจยากจริงๆ”

มุมปากของอวี้ชิงลั่วยกขึ้น ลดสายตามองเขา “หุบปากน่า”

หนานหนานทำหน้ามุ่ย หันหน้าหนี เขาไม่อยากเถียงกับเหล่าสตรีแล้ว

จนกระทั่งแผ่นหลังของเหมิงกุ้ยเฟยลับตาไป อวี้ชิงลั่วก็พาหนานหนานออกนอกประตูวัง

เห็นเสิ่นอิงคุมรถม้ารออยู่ตรงนั้น หนานหนานก็ปล่อยมืออวี้ชิงลั่วในทันที ตะโกนดีใจวิ่งไปหา

ใครจะรู้ว่าเพียงเปิดม่านของรถม้า ก็พบคนคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านใน หนานหนานดีใจ รีบรุดเข้าไปหาคนผู้นั้น “ท่านพ่อ ท่านมารับหนานหนานใช่หรือไม่”

ไม่นานนักอวี้ชิงลั่วก็เข้ามาด้วยท่าทางประหลาดใจเช่นกัน “ท่านมาตั้งแต่เมื่อไรหรือ?”

เห็นท่าทางของเขาก็ทราบว่าน่าจะมาได้สักพักแล้ว เช่นนั้นทำไมเขาจึงไม่เข้าไป ฮ่องเต้ถูกพิษ เย่ซิวตู๋ต้องเป็นห่วงแน่

“เจ้ามาได้ไม่นาน ข้าก็มาแล้ว” เย่ซิวตู๋บีบนิ้วของตนเบาๆ ถามนาง “เสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง?”

สายตาของอวี้ชิงลั่วหยุดอยู่ตรงมือของเขา ในใจลอบถอนหายใจ

นางกำลังจะอ้าปากพูด หนานหนานกลับกล่าวอย่างตื่นเต้น “ท่านพ่อ วางใจเถอะขอรับ เสด็จปู่ไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าจะบอกให้นะ ครั้งนี้ต้องขอบคุณข้า แม้ว่าความตั้งใจแรกของข้าคืออยากกินอาหารชาววัง จึงไปหาเสด็จปู่อย่างหน้าไม่อายเพื่อกินอาหาร แต่ถ้าหากไม่ใช่เพราะข้าหน้าไม่อาย ใครก็คงไม่รู้ว่าในอาหารนั้นมีพิษใช่หรือไม่เล่า ข้าจะบอกให้นะขอรับ ขันทีที่ลองชิมอาหารก็ไม่มีปัญหาอันใด แต่เพียงข้ากลืนลงไปก็เริ่มปวดท้อง ข้าว่าข้าเก่งมากๆ เลยขอรับ ต่อไปถ้าหากพวกท่าน… โอ๊ยๆๆ ท่านพ่อดึงปกเสื้อข้าทำไมขอรับ”

เย่ซิวตู๋ทำหน้าเข้ม จับหนานหนานแล้ววางเขาไว้ที่คันรถม้าด้านนอก กล่าวกับเสิ่นอิง “ให้เขานั่งกับเจ้านะ คอยดูด้วย”

เสิ่นอิงรีบเอื้อมมือไปรับตัวหนานหนาน

หนานหนานโมโห โบกแขนเล็กๆ อย่างแรง กล่าวอย่างหงุดหงิด “ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไร นี่ท่านพ่อกำลังทารุณข้าอยู่นะ นี่ท่านให้ความสำคัญกับบุรุษมากกว่าสตรี เอ้ย ให้ความสำคัญกับสตรีมากกว่าบุรุษหรือ? ท่านแม่เหตุใดท่านจึงไม่สนใจเลย ท่านต้องเป็นผู้นำครอบครัวรู้หรือไม่? ไม่เช่นนั้นต่อไปท่านพ่อข้ามหัวท่านแม่แล้วใช้อำนาจบาตรใหญ่จะทำอย่างไร?”

อวี้ชิงลั่วลูบหน้าผากของตนเองเงียบๆ ไม่อยากสนใจเขา

เย่ซิวตู๋พิงผนังด้านหนึ่ง มองนางอย่างเงียบๆ

“ฝ่าบาททรงไม่เป็นอะไร ถึงแม้จะทรงถูกพิษมาช่วงระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็หยุดไปหลายเดือน หากดูแลดีๆ อีกไม่นานก็จะทรงหายดี เพียงแต่พระองค์ทรงรู้ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือหว่านเฟย จึงโกรธจนปวดใจ เกรงว่าจะทรงเหนื่อยเล็กน้อย”

เมื่อครู่ก่อนนางออกมาก็เห็นแล้วว่าสีหน้าของฮ่องเต้ไม่สู้ดีนัก แต่นี่เป็นปัญหาทางอารมณ์ ไม่ใช่เรื่องที่พระสุณิสาในอนาคตอย่างนางจะช่วยอันใดได้ ฮ่องเต้คงจะเชื่อในหว่านเฟยเป็นอย่างมาก วันนี้ทุกอย่างที่เชื่อมั่นกลับถูกทำลาย จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา

เย่ซิวตู๋หลับตา รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าเสียงดังกุบกับ หนานหนานที่อยู่ด้านนอกก็เริ่มพูดคุยกับเสิ่นอิงเสียงเจื้อยแจ้ว

อวี้ชิงลั่วก็พูดคุยอีกไม่กี่ประโยค ยืนยันอีกครั้งว่าฮ่องเต้ไม่เป็นอะไรจริงๆ จึงเห็นว่ามือของเขาที่กำแน่นค่อยๆ คลายออก

นางเขยิบไปข้างหน้า ค่อยๆ วางมือขวาลงบนฝ่ามือกว้างของเขา

เย่ซิวตู๋ตกใจ เหลือบตาขึ้นมามองนาง

อวี้ชิงลั่วกลับเอนตัวพิงหมอนด้านหนึ่ง เม้มปากแล้วหัวเราะ “กินอะไรมาหรือยัง ข้าหิวนิดหน่อยแล้ว”

ยุ่งมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้ก็เลยเวลากินข้าวแล้ว อวี้ชิงลั่วจึงรู้สึกหิวจนไส้กิ่ว ไม่สบายตัวเป็นอย่างยิ่ง

เย่ซิวตู๋จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางกำลังเปลี่ยนเรื่อง เขาหันไปมองนางแวบหนึ่ง ตอบเสียงเบาๆ ว่า ‘อืม’

หนานหนานที่อยู่ด้านนอกโห่ร้องขึ้นมาทันที “ได้สิๆ รีบไปกินกันเถอะขอรับ ข้าหิวมากๆ แล้ว”

“…” ไม่รู้ว่าคนที่นั่งกินอาหารในห้องตำราหลวงอยู่ตลอดมาคือใครกัน อวี้ชิงลั่วไม่มีความคิดอันใดเกี่ยวกับคนผู้นี้อีกแล้ว

“…” เย่ซิวตู๋ถอนหายใจ เขายุ่งมากจริงๆ สินะ ด้านหนึ่งก็กำลังพูดคุยกับเสิ่นอิง ขณะเดียวกันยังต้องแยกสติมาฟังพวกเขาสองคนคุยกันอีก

เสิ่นอิงทำได้เพียงหัวเราะ รถม้าเลี้ยวหนึ่งครั้ง มุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารใกล้ๆ

หลังจากวันนั้น บรรยากาศในเมืองหลวงก็กลายเป็นตึงเครียด คลื่นใต้น้ำเริ่มผุดขึ้นมา องค์ชายใหญ่ ท่านอ๋องเป่านำคนเข้าไปยังแต่ละตำหนัก วิหาร และจวนทั้งหมดเพื่อจับคนตามรายชื่อในสมุดเล่มเล็ก ทุกคนต่างก็ตระหนกขึ้นมาทันใด

องค์ชาย องค์หญิง และเหล่าสนมแต่ละตำหนักมองคนของตนถูกจับไป สีหน้าต่างก็ไม่อยากเชื่อ ความเชื่อบางอย่างในใจพังทลายลงไป

โดยเฉพาะนางข้าหลวงบางคนที่อยู่กับตนมาตั้งแต่ยังเล็ก กลับกลายเป็นคนที่ผู้อื่นส่งมาเพื่อสืบข่าว ทำให้รู้สึกไม่อยากจะยอมรับเป็นอย่างยิ่ง

ในระหว่างนั้น จากทุกสิ่งที่หว่านเฟยทำลงไป หลายคนก็เริ่มกัดฟันด้วยความแค้น เริ่มไม่พอใจ ส่งคำร้องมายังฮ่องเต้ฉบับแล้วฉบับเล่า

ไม่กี่วันหลังจากนั้น อ๋องเป่านำสมุดไปพบฮ่องเต้ ถึงแม้คนส่วนใหญ่ในนั้นจะถูกจับมาแล้ว แต่ในนั้นยังมีคนที่ได้ข่าวแล้วหนีไป

ฮ่องเต้เม้มพระโอษฐ์ ให้อ๋องเป่าสอบสวนคนที่จับตัวมาแล้วเสียก่อน

อ๋องเป่ารับคำสั่งแล้วออกไป คนแรกที่ถูกสอบสวนก็คือนางข้าหลวงที่รับใช้ซูเฟย

เขาทำได้เพียงยอมรับ ความสามารถของหว่านเฟยนั้นมีมากจริงๆ ไม่อยากเชื่อว่าคนพวกนี้จะยอมตาย แต่ไม่ยอมบอกข้อมูลใดๆ แม้เพียงนิดเดียว

ทว่าถึงแม้จะมีบางคนที่หวังดีจนถึงที่สุด แต่ก็มีบางคนที่ทนการทรมานไม่ได้เช่นกัน นำเรื่องที่ตนรู้บอกออกมาเสียหมด

อ๋องเป่าเรียบเรียงคำให้การที่ได้มาทั้งหมดส่งให้ฮ่องเต้ หลังจากอ่านแล้วสีพระพักตร์ฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไป มิตรภาพเล็กน้อยที่ยังพอมีให้หว่านเฟยนั้นสลายไปหมดแล้ว

สถานการณ์ที่ตำหนักอิ๋งสุ่ยถือว่าร้ายแรงอยู่แล้ว กลับยังมีฝนตกลงมาซ้ำอีก

หว่านเฟยมองออกไปนอกหน้าต่าง บีบแผ่นกระดาษในมืออย่างไร้เสียง

ข้างๆ นางมีคนชุดดำทำหน้าเคร่งเครียดยืนอยู่ “เหนียงเหนียง ให้กระหม่อมพาพระองค์หนีเถิด”

“เจ้าไปเสียเถอะ” หว่านเฟยวางกระดาษไว้เหนือแสงเทียน สายตาจ้องมองมันที่กำลังเผาไหม้ช้าๆ จนกลายเป็นเถ้าถ่าน ด้านนอกกำลังเกิดสถานการณ์นองเลือด และนางก็รู้ดีว่าตนจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน

คนชุดดำผู้นั้นเบิกตากว้าง “ถ้าหากเหนียงเหนียงไม่ไป เกรงว่าจะอยู่ไม่ถึงคืนนี้นะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรง…”

“ข้ารู้ดี” หว่านเฟยยืนอยู่ที่เดิมอย่างทะนงตน แววตาเย็นชา ไม่มีความอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย

นางสูดหายใจลึกๆ ค่อยๆ หลับตา กล่าวเสียงเบา “พวกเจ้าไปเสีย ต่อไปนี้ฮ่าวหรานคือนายของพวกเจ้า จงแอบปกป้องเขาให้ปลอดภัย เขาอยากทำอันใด… ก็ให้ขึ้นอยู่กับเขา”

กล่าวจบ นางก็ไม่สนใจในสิ่งที่คนชุดดำกล่าวอีกแล้ว หันหลังเดินออกจากห้องนอนไป

ประตูของตำหนักอิ๋งสุ่ยเปิดกว้าง เพียงร่างของหว่านเฟยปรากฏออกมา ก็ถูกองครักษ์จับตัวไว้ทันที

“หว่านเฟยเหนียงเหนียง ฮ่องเต้มีรับสั่ง ห้ามเหนียงเหนียงออกจากตำหนักอิ๋งสุ่ยแม้แต่ก้าวเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้ารู้” หว่านเฟยค่อยๆ เชิดคางขึ้น “ข้าอยากพบองค์หญิงเทียนฝูแห่งอาณาจักรเทียนอวี่ เกี่ยวกับพิษทั้งหมดในร่างของฝ่าบาท ข้ามีบางอย่างอยากจะบอกนาง”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เหมือนเข้าตาจนแล้ว เลยปลงแล้ว ว่าแต่จะบอกอะไรชิงลั่วเป็นการสั่งเสียล่ะเนี่ย

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *