อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] 668 พรหมลิขิตของอวี้ชิงลั่ว
ตอนที่ 668 พรหมลิขิตของอวี้ชิงลั่ว
ตอนที่ 668 พรหมลิขิตของอวี้ชิงลั่ว
จนกระทั่งอวี้ชิงลั่วชักมือของนางกลับ นางก็ไม่ได้กล่าวอันใดอยู่ครู่ใหญ่
ผู้อาวุโสสกุลเยว่วิตกเล็กน้อย เขาอดทนเหลือบตาขึ้นมองหมอเฒ่าฉยงซาน อีกฝ่ายยักไหล่ แสดงออกว่าเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน
ด้านว่านเผิงหลงที่เห็นท่าทางกังวลของผู้อาวุโสสกุลเยว่ก็ทนไม่ได้ ดึงเขามาด้านข้างแล้วกล่าวเสียงเบา “วันนี้ตอนที่ข้าพบแม่นางถัง สีหน้านางไม่สู้ดียิ่งนัก น่าจะไม่เกี่ยวกับอาการป่วยของนายน้อยเหมิงหรอกขอรับ อาจจะเป็นเพราะนางพบกับเรื่องไม่ดีเข้า ท่านวางใจเถิด ไม่มีปัญหาอันใดหรอก”
“เฮ้อ…” ผู้อาวุโสสกุลเยว่ถอนหายใจโล่งอก ตอนนี้เขานำความหวังทั้งหมดไปฝากไว้ที่อวี้ชิงลั่วแล้ว หากมีข่าวคราวไม่ดีอันใดเกิดขึ้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดีแล้วจริงๆ
อวี้ชิงลั่วเก็บของเรียบร้อย มองเหมิงหรงอีกครั้ง
หันกลับมาก็เห็นผู้อาวุโสสกุลเยว่จ้องมองที่ตนอย่างจริงจัง นางจึงชะงักไป ทันใดนั้นก็เงยหน้ากล่าว “ผู้อาวุโสสกุลเยว่ไม่ต้องกังวล ตอนนี้ยังไม่มีอะไรร้ายแรงเจ้าค่ะ”
นางเพียงบอกว่าสำหรับตอนนี้ ตอนนี้น่ะนะ…
ผู้อาวุโสสกุลเยว่พยักหน้า รีบพานางมาด้านข้างเพื่อดื่มชาและกินของว่าง
“แม่นางถัง ข้าทำตามที่เจ้าบอกแล้ว ให้คนมาส่งเสียงทำอะไรในห้องนี้บ้าง ข้าเองก็มาที่นี่เพื่อคุยกับเขา เมื่อวานหลังจากเจ้าฝังเข็มให้แล้ว หรงเอ๋อร์ก็ดูดีขึ้นมาหน่อย ในใจข้าก็ถือว่าสบายใจมากขึ้นแล้ว เมื่อวานวุ่นวายเสียจนทำให้แม่นางถังไม่พอใจ ข้าเองก็ละอายใจ สิ่งเหล่านี้เป็นของขวัญจำนวนหนึ่ง ขอมอบให้แม่นางถัง”
ผู้อาวุโสสกุลเยว่กล่าวพลางให้คนนำกล่องของขวัญมาให้ “รู้ว่าแม่นางถังมีลูก ทางนี้ยังมีของสองสามอย่างที่เตรียมไว้สำหรับเด็กด้วย”
“ท่านผู้อาวุโสช่างใส่ใจนัก” อวี้ชิงลั่วดื่มชาจิบหนึ่ง กล่าวด้วยเสียงต่ำ เพียงแต่ในใจอดไม่ได้ที่จะแขวะ ของมากมายเพียงนี้ คงต้องใช้รถม้าพานางไปส่งที่โรงเตี๊ยมถึงจะได้กระมัง ดูท่าแล้วผู้อาวุโสสกุลเยว่ยังคงไม่ยอมแพ้กับการไปรับไปส่งนางที่โรงเตี๊ยมสินะ
นางดื่มชาอีกสองอึก จากนั้นก็ค่อยๆ ถาม “แล้วเด็กล่ะเจ้าคะ ไม่ได้พามาด้วยหรือ?”
ผู้อาวุโสสกุลเยว่ชะงักไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วกล่าว “ให้คนไปพามาแล้ว กำลังรออยู่ที่ห้องข้างๆ นี้เอง ข้าเห็นว่าแม่นางถังเพิ่งจะฝังเข็มไป เกรงว่าจะยังเหนื่อย เลยคิดว่าจะรอให้เจ้าดื่มชาสักพักก่อนค่อยว่ากัน”
แต่เมื่อได้ยินอวี้ชิงลั่วเป็นผู้กล่าวออกมาเอง เขาก็รีบให้คนไปพาเด็กมาจากห้องข้างๆ ในทันที
เถี่ยชิวเอ๋อร์ยังคงเดินตามเหมิงเคอ เหมิงเคอดูท่าทางกังวลมาก ต้องอยู่ดูด้วยตนเองจึงจะวางใจ
อวี้ชิงลั่วยิ้มเยาะ ผ่านไปไม่นานสีหน้าก็เปลี่ยนไป
ผู้อาวุโสสกุลเยว่และคนอื่นๆ ไม่ได้สนใจเถี่ยชิวเอ๋อร์ สายตาเองก็ไม่ได้มองไปที่นาง จึงไม่ได้สังเกตเห็นอะไร แต่นางกลับรู้แล้ว ถึงแม้เถี่ยชิวเอ๋อร์จะพยายามอดทนอย่างเต็มที่ แต่การเดินก็ยังผิดธรรมชาติอยู่มาก
นางยังคงยิ้มอย่างโง่เขลา เพียงแต่ตอนเห็นอวี้ชิงลั่ว สายตาก็มีแววอ้อนวอนปรากฏอยู่
เหมิงเคอยิ้มแล้วกล่าวกับอวี้ชิงลั่ว “ฝีมือการแพทย์ของแม่นางถังช่างเก่งกาจนัก ไม่กี่วันก่อนเด็กคนนี้โวยวายอย่างหนัก คิดไม่ถึงว่าเมื่อวานเพิ่งจะได้รับการวินิจฉัยจากแม่นางถัง ตอนนี้กลับดีขึ้นมาก เงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง”
อวี้ชิงลั่วไม่แม้แต่จะมองนาง รอจนกระทั่งเถี่ยชิวเอ๋อร์เดินเข้ามาใกล้ ค่อยช่วยให้นางหลุดออกจากมือของเหมิงเคอแล้วกล่าว “ฮูหยินน้อยรบกวนรอที่ด้านข้าง”
สีหน้าของเหมิงเคอแข็งทื่อไปเล็กน้อย มองไปยังผู้อาวุโสสกุลเยว่อย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม
ผู้อาวุโสสกุลเยว่เม้มปาก ไม่ได้กล่าวอันใด อารมณ์ของแม่นางถังผู้นี้ไม่แน่นอนยิ่งนัก ลองปรับตัวดูอยู่สองวันจึงจะคุ้นชิน
กลับกัน อูเหมี่ยนเซิงที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปยังแววตาอันซับซ้อนของเหมิงเคอ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ หันหน้ากลับมามองเถี่ยชิวเอ๋อร์
ขณะที่สายตาของเขาเพิ่งจะหยุดนิ่ง จู่ๆ ก็เห็นอวี้ชิงลั่วยกขากางเกงของเถี่ยชิวเอ๋อร์ขึ้น เผยให้เห็นข้อเท้าที่บวมช้ำจนเป็นสีม่วงของนาง
การเคลื่อนไหวของนางนั้นกะทันหันมาก คนอื่นๆ เพิ่งจะมองกลับมา ก็เห็นการกระทำปุบปับน่าประหลาดใจนี้
ทั้งห้องพลันมีเสียงสูดหายใจเข้าอย่างต่อเนื่อง
ข้อเท้าบวมจนเป็นเช่นนี้ อย่าว่าแต่เด็กหญิงอายุเพียงห้าขวบเลย ต่อให้เป็นพวกเขาที่เป็นชายฉกรรจ์แล้ว ก็เกรงว่าจะยังทนความเจ็บปวดนี้ไม่ไหว
ผู้อาวุโสสกุลเยว่ขมวดคิ้วในทันที “เกิดอะไรขึ้น เท้าบวมจนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” อย่างไรนางก็เป็นคุณหนูของจวนนี้ เมื่อวานได้ยินเหมิงเคอบอกว่าส่งสาวใช้ไปสองสามคนเพื่อรับใช้นาง แล้วเหตุใดจึงเกิดความผิดพลาดเช่นนี้ได้?
อาการบาดเจ็บเช่นนี้ เพียงมองก็รู้แล้วว่าบวมมาระยะหนึ่งแล้ว
ตอนนี้เหมิงเคอเกลียดอวี้ชิงลั่วเป็นอย่างมาก นางรู้เรื่องที่เถี่ยชิวเอ๋อร์ข้อเท้าแพลงเมื่อเช้านี้ เพียงแต่เห็นว่านางอดทนได้อยู่ จึงไม่ได้สนใจอันใด อย่างไรก็เป็นเพียงบุตรสาวของคนรับใช้ ไม่มีค่าพอให้นางสนใจ ขอเพียงนางทำในสิ่งที่ตนบอกให้ทำก็พอแล้ว
คิดไม่ถึงว่าอวี้ชิงลั่วจะสังเกตเห็นอาการบาดเจ็บนี้ได้ตั้งแต่ต้น นางจึงกัดริมฝีปาก ดึงผ้าเช็ดหน้าอย่างแรง
เมื่อได้ยินผู้อาวุโสสกุลเยว่ถามเช่นนั้นก็รีบตอบ “คือ คือว่าข้าเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ อวี้เอ๋อร์ เจ้าได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ? เจ็บหรือไม่ นางคนรับใช้แก่ๆ พวกนั้น ช่างไม่ลงแรงกันบ้างเลย แม้แต่เด็กคนเดียวยังปกป้องไม่ได้ ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าผิดเอง ไม่ได้จัดการคนรับใช้ในจวนให้ดีๆ เพียงแต่ว่าความคิดของอวี้เอ๋อร์นั้นต่างจากคนทั่วไป บางครั้งเมื่อโวยวายขึ้นมา แม้แต่ผู้ใหญ่เองก็จับนางไว้ไม่อยู่ เกรงว่าจะไม่ทันระวังแล้วไปโดนที่ไหนเข้าสักแห่งเจ้าค่ะ”
นางกล่าวเช่นนี้ก็ถือว่ามีเหตุผล แม้แต่เด็กธรรมดาทั่วไปก็ยังมีหกล้มชนกันบ้าง ส่วนเหมิงหลัวอวี้นั้นมีอาการคลุ้มคลั่ง ทั้งยังจะกัดผู้อื่น จะไม่ให้บาดเจ็บเลยคงเป็นไปไม่ได้
เพียงแต่อวี้ชิงลั่วกลับหัวเราะออกมา “ฮูหยินน้อยช่างพูดตลกเสียจริง ต่อให้ไม่ทันระวังไปชนอะไรเข้า นางจะไม่ร้องออกมาเชียวหรือ ไม่ว่าจะโง่เง่าสักเพียงไหน นางก็ต้องรู้จักเจ็บปวดสิ อีกอย่างอาการเจ็บนี้ดูท่าจะถูกทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เป็นไปได้หรือว่าคนรับใช้ของนางจะไม่เห็น?”
เหมิงเคอถูกนางขัดจนกล่าวอะไรไม่ออก ในใจโกรธเกรี้ยว กำลังคิดจะปกป้องตัวเองด้วยการอ้างว่าคนรับใช้ตั้งใจจะกลั่นแกล้งตน อวี้ชิงลั่วกลับขัดคำพูดของนางอีกครั้ง “ฮูหยินน้อยกล่าวเองไม่ใช่หรือว่าเป็นห่วงเด็กคนนี้มาก กล่าวเองไม่ใช่หรือว่าช่วงสองสามวันนี้จะดูแลนางด้วยตัวเอง นี่คือผลลัพธ์ของการดูแลของฮูหยินน้อยหรือ?”
ตอนนี้เหมิงเคอไม่มีแม้แต่ข้ออ้างที่จะใช้ปกป้องตัวเอง ผู้อาวุโสสกุลเยว่หน้าซีด ถึงเขาเองจะไม่ใช่หมอ แต่ก็รู้ว่าอาการบาดเจ็บนั้นหนักเพียงใด
เด็กคนนี้เพิ่งจะเดินเข้ามาและไม่ได้ร้องสักคำ ไม่ใช่ว่าโง่มาก ก็คงจะถูกบังคับให้อดทน แต่นางโง่เง่าเพียงนี้ จะรู้จักอดทนอยู่ได้อย่างไร นี่ถูกคนข่มขู่หรือ? หรือว่า…
หากผู้อาวุโสสกุลเยว่ไม่ได้สนใจแต่เรื่องของเหมิงหรง ก็ถือว่าเขาเปลี่ยนใจเร็วมากจริงๆ
เขาคว่ำมุมปากลง กล่าวกับเหมิงเคอ “ให้แม่นมเฝิงเป็นคนดูแลอวี้เอ๋อร์เอง นางเป็นแม่นมเก่าแก่ของจวน จะตั้งใจดูแลขึ้นมาหน่อย”
เหมิงเคอตะลึง แม่นมเฝิงผู้นี้เป็นคนรับใช้ของอดีตฮูหยิน คุณธรรมสูงส่ง หากนางจะมาดูแลแทน เกรงว่าจะเป็นปัญหามาก
แต่ดูจากท่าทางผู้อาวุโสสกุลเยว่แล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นที่แน่นอน นางกัดริมฝีปาก ทำได้เพียงทนเอาไว้ชั่วคราว หากถึงเวลาค่อยหาโอกาสอีกครั้งก็ย่อมได้
อวี้ชิงลั่วพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็หันหลังให้เหมิงเคอแล้วกะพริบตาให้เถี่ยชิวเอ๋อร์ สักครู่ก็ช่วยดูข้อเท้าให้นางอีก ทายาให้ หลังจากรอดูให้แม่นมเฝิงมาพานางกลับไปด้วยตาตัวเองแล้ว ก็ค่อยออกจากจวนของผู้อาวุโสสกุลเยว่มาด้วยความสบายใจ
หมอเฒ่าฉยงซานติดตามนางมา ตอนนี้ติดอย่างกับตังเม
แต่เมื่อทั้งกลุ่มเพิ่งจะออกมาจากสวน ด้านหน้าก็มีคนผู้หนึ่งรีบเดินเข้ามา กระซิบบางอย่างที่ข้างหูหมอเฒ่าฉยงซาน
หมอเฒ่าฉยงซานตะลึงไป หันกลับมากล่าวกับอวี้ชิงลั่วด้วยรอยยิ้ม “ลั่วลั่ว ไปกัน ข้าจะไปเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”
คิดไม่ถึงเลย เมื่อวานเพิ่งบอกว่าไม่รู้เด็กคนนั้นอยู่ที่ไหน วันนี้กลับได้พบแล้ว บอกแล้วอย่างไรเล่า ว่านี่คือพรหมลิขิตของเขาและลั่วลั่ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สีข้างแสบมากไหมคะฮูหยินน้อย หลักฐานชัดขนาดนี้จะไถลไปไหนได้อีก
ใครคือพรหมลิขิตของลั่วลั่วในสายตาท่านหมออะ
ไหหม่า(海馬)
Comments