อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] 833 บ้าเลือด

Now you are reading อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] Chapter 833 บ้าเลือด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 833 บ้าเลือด

ตอนที่ 833 บ้าเลือด

ชีเถิงสูดหายใจเข้า เลือดไหลทะลักออกมาเต็มปากอีกครั้ง

แต่เขาไม่อาจสนใจสิ่งอื่นใดได้อีกแล้ว ความกลัวในตอนนี้เป็นเหมือนเชือกที่ขึงจนตึงอยู่ในใจของเขา

ได้ยินเสียงเลือดหยดนานเท่าไร เชือกก็ยิ่งตึงแน่นขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดหลังจากที่เย่ซิวตู๋พูดคำเหล่านั้น มันก็ขาดสะบั้นลง

“โอ้… นายท่าน นายท่าน… ต้องการ… ล้มล้างกฎของเผ่าเหมิง และผู้นำดินแดนเหมิง ให้คนอื่น… มาแทนที่…” แม้ว่าเสียงของชีเถิงจะขาดห้วง แต่มันก็ถึงหูของเย่ซิวตู๋ชัดเจน

“แล้วเหตุใดเจ้าต้องลอบสังหารผู้อาวุโสสกุลหมิงด้วย?” เหมิงลู่ถาม

ชีเถิงกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้วขณะเฝ้าดูอยู่ และรีบดึงหนานหนานให้ถอยไปหนึ่งก้าว เพื่อไม่ให้เห็นภาพที่น่าขยะแขยง

“ผู้อาวุโสสกุลหมิง… ขวางทาง… แข็งข้อ… เขา ในใจของเขามีแต่ท่านประมุข… ใจ ใจเอาแต่ยึดมั่นสนับสนุนเฉพาะคนมีปานรูปดอกไม้… ให้เป็นประมุข นายท่าน… ต้องการทำลาย…กฎข้อนี้ของเผ่าเหมิง… ในอนาคตข้างหน้าลูกชายจะสืบต่อตำแหน่งจากพ่อ… เพื่อเป็นประมุข… และ… ยกเลิกระบบผู้อาวุโสของเผ่า ก่อตั้ง ก่อตั้ง… ระบบเหมือนสี่อาณาจักรอื่น ๆ”

“เหลวไหล” เหมิงลู่ตวาดทันที รัศมีรอบกายเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

หนานหนานสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารอันทรงพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากกายท่านปู่ลู่ ท่านปู่ลู่กำลังโกรธมาก โกรธจัด โกรธที่สุด

เย่ซิวตู๋ก็กำหมัดแน่นเช่นกัน เขาพูดเย้ยหยันทีละคำ ราวกับว่าคำเหล่านั้นค่อย ๆ ลอดไรฟันของเขาออกมา “ผู้อาวุโสสกุลหมิงคือบิดาของเหมิงกุ้ยเฟย ซึ่งเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของนาง!!”

จู่ ๆ ชีเถิงก็หัวเราะ “นายท่านนั้น… แม้แต่ท่านอ๋องซิว… ก็ยังสามารถสั่งคนไปฆ่าตั้งหลายครั้ง นับประสาอะไรกับ… พ่อตัวเอง”

เหมิงลู่หันหน้าไปมองเย่ซิวตู๋ด้วยความตกใจ “เหมิงกุ้ยเฟยสั่งคนไปฆ่าเจ้าหรือ?”

“ฮ่าๆ ใช่แล้ว… เพียงแค่ข้าคนเดียว… ก็ได้รับคำสั่งให้ตามล่าเขา… ไม่ต่ำกว่าสามครั้งแล้ว” ชีเถิงหัวเราะ

หนานหนานจับมือของเย่ซิวตู๋แน่น แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเป็นห่วง

เย่ซิวตู๋หัวเราะเบา ๆ แล้วลูบศีรษะหนานหนานโดยไม่ได้เอ่ยคำใด

ทว่าสายตาของเหมิงลู่เปลี่ยนไปทันที กลายเป็นเย็นชา “นางเสียสติไปแล้วจริง ๆ ถึงเวลาจัดระเบียบคนในดินแดนเหมิงแล้ว”

เหมิงกุ้ยเฟยเป็นสมาชิกของเผ่าเหมิง และรู้กฎของเผ่าเหมิงมากที่สุด แต่สถานะของเย่ซิวตู๋นั้นแตกต่างออกไป เขาไม่เพียงแต่เป็นลูกชายของนางเท่านั้น ไม่เพียงแต่เป็นท่านอ๋องซิวแห่งอาณาจักรเฟิงชางเท่านั้น แต่ยังเป็นบุคคลที่มีเกียรติมากในดินแดนเหมิงด้วย

เหมิงกุ้ยเฟยจงใจก่ออาชญากรรมอย่างชาญฉลาด นางโหดเหี้ยมเสียยิ่งกว่าเหมิงเคอ หากนางได้รับอนุญาตให้มีอำนาจต่อไป ชาวดินแดนเหมิงทั้งหมดจะถูกทำลายในมือของนาง

“เหมิงกุ้ยเฟยต้องการสนับสนุนให้ใครครองตำแหน่ง คนอื่นที่ว่านั้นหมายถึงใคร?” สายตาของเหมิงลู่เปลี่ยนไป และน้ำเสียงของเขาก็เย็นลง

ชีเถิงหัวเราะหึๆๆ จากนั้นก็อ้าปาก แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดเขาก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก ก่อนเอนศีรษะสลบไป

เหมิงลู่ขมวดคิ้ว “ชีเถิง…”

“จะใครอีกเล่าขอรับ?” น้ำเสียงของเย่ซิวตู๋นุ่มนวลมาก ขณะทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง “คนที่มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเหมิงกุ้ยเฟย… คือเขาคนเดียวเท่านั้น”

เขาผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ แล้ววินาทีต่อมา เขาก็จริงจังอีกครั้ง และหันไปถามเหมิงลู่ว่า “ข้าบอกท่านไปเมื่อวานนี้ ท่านไปเพื่อยืนยันแล้วหรือยัง?”

เมื่อเขากลับมา เขาก็ได้เล่าเรื่องที่หนานหนานได้พบกับฮูหยินเหมิงแล้ว

ทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้เหมิงลู่ก็นึกเย้ยหยัน “ยืนยันแล้ว เหมิงฉี่เยว่ในเรือนหลังนั้นเป็นตัวปลอมจริง ๆ เมื่อคืนข้าไปที่เรือนของนาง และได้เห็นใบหน้าเปลือยเปล่าของนาง นางเพียงแค่หน้าคล้ายลูกพี่ลูกน้องเท่านั้น”

กล่าวได้ว่าเหมิงฉี่เยว่ตัวจริงถูกเหมิงจื้อเฉิงขังไว้ในห้องลับเป็นเวลาสิบห้าปี

หนานหนานเอ่ยเตือนด้วยเสียงเบา “ทว่าฮูหยินเหมิงบอกให้พวกเราไปที่บ้านพักขอรับ”

“เริ่มดึกแล้ว ไปกันเถิดขอรับ” เย่ซิวตู๋อุ้มหนานหนานอีกครั้ง ก่อนพยักหน้าให้เหมิงลู่และออกจากห้องสอบสวนไปก่อน

เหมิงลู่เดินตามหลังเขา เมื่อไปถึงประตู เขาก็มองกลับไปที่ชีเถิงที่ยังคงไม่ได้สติอยู่บนเก้าอี้ แล้วหรี่ตาลง

อาเฟิงก้าวเข้ามาถามว่า “ท่านประมุข เราจะทำอย่างไรกับคนผู้นี้ดีขอรับ?”

“ฆ่ามัน” เหมิงลู่โบกมือด้วยความเหนื่อยล้าเล็กน้อย เสียงของเขาแผ่วเบา “ทำลายศพ อย่าทิ้งร่องรอย”

“เข้าใจแล้วขอรับ” อาเฟิงพยักหน้ารับคำเหมิงลู่และเดินเข้าไป ประตูห้องสอบสวนปิดลงและไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวใด ๆ

จากนั้นเหมิงลู่ก็เร่งฝีเท้าให้ทันเย่ซิวตู๋

ทั้งสามขึ้นม้ามุ่งหน้าไปยังบ้านพัก

บ้านพักของคฤหาสน์ผู้อาวุโสสกุลหมิงอยู่ไม่ไกล ไม่ถึงเที่ยงคืน พวกเขาก็มาถึง

บรรยากาศอึมครึมนัก เมื่อเย่ซิวตู๋เดินเข้าประตูไป อาเจียงกับอาเหอที่เฝ้าบ้านพักก็เดินมาหา

สีหน้าของทั้งสองจริงจังมาก “ท่านประมุข ท่านอ๋องซิว”

พวกเขาเป็นองครักษ์ส่วนตัวที่ไว้ใจได้มากที่สุดของผู้อาวุโสสกุลหมิง และเย่ซิวตู๋ยังคงไว้วางใจพวกเขาทั้งสอง ดังนั้นเขาจึงมอบความไว้วางใจให้พวกเขาดูแลบ้านพักแห่งนี้ พวกเขาสองคนมีวรยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา ขณะที่พวกเขาปกป้องบ้านพักอยู่สองสามวัน คนเหล่านั้นก็ไม่กล้าเฉียดกรายเข้ามาเลย

ทว่าก็มีไม่กี่คนที่กล้าบุกมาที่นี่ตอนกลางคืน ซึ่งทั้งสองก็ต้องการจะไปจับกุมคนเหล่านั้น แต่เย่ซิวตู๋บอกให้พวกเขาระวังกลอุบายล่อเสือออกจากถ้ำ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ให้พวกเขาคอยเฝ้าอยู่ในบ้านพักเท่านั้น

เย่ซิวตู๋พยักหน้าให้ทั้งสองคน แล้ววางหนานหนานลงกับพื้น

หนานหนานรีบวิ่งเข้าไปข้างในทันที เขาทำตามคำแนะนำของฮูหยินเหมิง ด้วยเข้าไปในโกดังและเริ่มค้นตู้

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เปิดกล่องเล็ก ๆ ท่ามกลางหนังสือเก่ากองใหญ่ที่วางกระจัดกระจาย เมื่อเป่าฝุ่นที่เกาะอยู่ออกไปแล้ว เขาก็หันกลับมาด้วยความดีใจ

“ท่านพ่อ น่าจะเป็นสิ่งนี้แหละขอรับ”

เย่ซิวตู๋และเหมิงลู่สบตากัน เย่ซิวตู๋ส่งกล่องให้เหมิงลู่

กล่องนั้นไม่หนาเลย เป็นกล่องบางที่มีลวดลายมังกรสลักไว้อย่างวิจิตรงดงาม

แต่มันเป็นกล่องที่ทำให้เหมิงลู่ขมวดคิ้วอย่างอธิบายไม่ได้ ตามคำอธิบายของเหมิงฉี่เยว่ สิ่งของในกล่องนี้น่าจะมีความสำคัญมาก แม้ว่า… มันจะทำให้ทุกคนต้องตกใจก็ตาม

“เปิดเลยขอรับ” เย่ซิวตู๋พูดด้วยเสียงเบา

จากนั้นเหมิงลู่ก็สูดหายใจเข้า ก่อนปลดกุญแจด้วยมือขวาอย่างแรง แล้วแม่กุญแจขึ้นสนิมก็ถูกเขาเปิดออก

เมื่อเปิดกล่องออกก็พบว่ามีหนังสือวางอยู่ข้างใน เป็นหนังสือที่มีรอยเลือดบนหน้าปก

เหมิงลู่ขมวดคิ้ว วางกล่องลงบนโต๊ะข้าง ๆ แล้วหยิบหนังสือออกมา

ปกหนังสือว่างเปล่า แม้แต่สองสามหน้าแรกก็เป็นเพียงหน้าว่างสีเหลือง

จนกระทั่งหนังสือถูกพลิกไปเกือบครึ่งเล่ม จึงมีลายมือที่ไม่ชัดเจนปรากฏขึ้น

ถึงแม้ว่าลายมือจะเลือนราง แต่ความหมายข้างในนั้น… ชัดเจนมาก

เมื่อเหมิงลู่จ้องมองไปที่หน้าแรก สายตาของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

เย่ซิวตู๋รู้สึกประหลาดใจจึงยื่นหน้าไปดู วินาทีถัดมา รูม่านตาของเขาก็หดตัวลงอย่างรุนแรง ขณะสูดหายใจเข้า

เหมิงลู่เริ่มกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือของเขาสั่นกระตุก รัศมีที่แผ่ซ่านจากร่างกายของเขาเย็นชาและดุร้ายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร

เขาพลิกหน้ากระดาษเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และสายตาของเขาก็บ่งบอกถึงความบ้าเลือดที่มากขึ้นเรื่อย ๆ

‘ฟึ่บ’ ในที่สุดเขาก็โยนหนังสือเล่มนั้นลงบนโต๊ะ แล้วหอบหายใจ

……………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

หนังสือเล่มนี้คือบันทึกแห่งความบ้าความจิตป่วยของนังกุ้ยเฟยหรือเปล่านะ อยากรู้เลยว่าเขียนอะไรไว้บ้าง

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *