อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] 873 จะบอกหรือไม่บอก
ตอนที่ 873 จะบอกหรือไม่บอก
ตอนที่ 873 จะบอกหรือไม่บอก
จากนั้นเย่ซิวตู๋ก็หัวเราะ ก่อนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร”
อวี้ชิงลั่วพ่นลมหายใจเย็นชา “ท่านโกหก หากไม่มีอะไรแล้วท่านจะมีสีหน้าเช่นนี้หรือ?” นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็โน้มตัวดึงเขาเข้ามาใกล้สองสามก้าว แล้วถามด้วยเสียงแผ่วเบา “หรือว่าแม่นมเก๋อพูดถึงเหมิงกุ้ยเฟย? นางมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหมิงกุ้ยเฟยหรือเปล่า?”
เย่ซิวตู๋หรี่ตาลงทันที เมื่อพูดถึงเหมิงกุ้ยเฟย เขาก็พลันนึกถึงผู้อาวุโสสกุลหมิงที่ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง แล้วสูดหายใจเข้าลึก
“นางมีส่วนเกี่ยวข้องจริงหรือ?” อวี้ชิงลั่วมองเขา ขณะคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก เพราะเหมิงกุ้ยเฟยกับเขาเป็นแม่ลูกกัน
นางนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แต่ก็ไม่ได้ถามต่อ
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่นางจะพูดถึงเรื่องบางอย่างใช่หรือไม่? เหมิงกุ้ยเฟยบ้าคลั่งไปแล้ว นางทำร้ายบิดาผู้ให้กำเนิดและลูกชายของตัวเอง หากนางสามารถทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ได้ ในโลกนี้ก็คงไม่มีอะไรที่นางไม่กล้าทำ
เย่ซิวตู๋หันหน้ามามองนางด้วยสายตาครุ่นคิด คำพูดของแม่นมเก๋อดังก้องอยู่ในใจของเขา
สุดท้ายแล้ว…เรื่องนี้ควรจะบอกนางดีหรือไม่?
ถ้าบอกนางไป นางก็จะรู้ว่าตนถูกคนบ้านสกุลอวี๋จับถ่วงน้ำ และไล่ออกจากบ้าน ทำให้นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปเร่ร่อนข้างนอกกับหนานหนานตามลำพัง ต้องผ่านความยากลำบากทุกรูปแบบ ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้มีแม่นมเก๋อบงการอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด แล้วนางจะรู้สึกอย่างไร?
ชิงเอ๋อร์ไม่ชอบเดินตามทางที่คนอื่นปูไว้ แต่นางไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองถูกแม่นมเก๋อเป็นผู้ชักใยมาเป็นเวลาหกปีแล้ว แม้แต่การพบกันระหว่างนางกับตัวเขาเอง ก็เป็นแผนการของแม่นมเก๋อ การบอกความจริงเหล่านี้เป็นเรื่องโหดร้ายสำหรับนาง เพราะอย่างไรเสียแม่นมเก๋อก็เป็นคนที่นางไว้ใจที่สุด
เย่ซิวตู๋ลูบหว่างคิ้วของตน ชิงเอ๋อร์และแม่นมเก๋อมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เขาไม่ต้องการทำให้พวกนางรู้สึกแย่เพราะเรื่องเช่นนี้เลยจริง ๆ
หลังจากตัดสินจากผลลัพธ์แล้ว ก็ถือว่าแม่นมเก๋อทำหน้าที่ได้ดี
เมื่อเห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของเขา อวี้ชิงลั่วก็เดาออกว่าเรื่องที่แม่นมเก๋อพูดกับเขาเป็นเรื่องค่อนข้างจริงจัง จึงอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนน้ำเสียงให้อ่อนโยนลง “ท่านยุ่งมาหลายวันแล้ว เมื่อคืนก็ไม่ได้นอน เราควรไปพักผ่อนกันได้แล้ว”
“…ก็ดี” เย่ซิวตู๋อึ้งไปชั่วขณะ แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็จับมือนาง ก่อนดึงนางเข้าไปในอ้อมแขนของเขา แล้วกอดนางไว้แน่น
อวี้ชิงลั่วตกตะลึง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
หนานหนานเงยหน้าขึ้น มองซ้ายขวาด้วยดวงตากลมโตเหมือนกวาง ในที่สุดก็รู้สึกน้อยใจเล็กน้อย กระโดดขึ้นไปบนหลังของเย่ซิวตู๋ เอาแขนโอบรอบคอเขาแล้วพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าก็อยากกอดด้วยขอรับ”
เย่ซิวตู๋ปล่อยอวี้ชิงลั่ว ก่อนจะคว้ามือเขามาจากด้านหลัง แล้วหัวเราะ “ได้สิ พ่อจะพาเจ้ากลับไปพักผ่อน”
ขณะพูด เขาก็หันไปมองอวี้ชิงลั่วอีกครั้ง “เจ้าก็เช่นกัน เจ้าไม่ได้นอนมาทั้งคืน สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีนัก”
หลังจากพูดจบ เขาก็ใช้มืออีกข้างเอื้อมไปโอบเอวนางไว้ แล้วสามคนพ่อแม่ลูกก็เดินออกจากลานบ้านไปพร้อมกัน
แม่นมเก๋ออยู่บนเตียง นางหันหน้าไปทางหน้าต่าง แล้วยืดตัวขึ้นเล็กน้อย เพื่อชะเง้อมองแผ่นหลังของพวกเขาจากระยะไกล
มุมปากของนางคลี่ยิ้มด้วยความรู้สึกโล่งใจ ทว่าความรู้สึกผิดต่ออวี้ชิงลั่วก็ยังคงฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจของนาง
ยังคงต้องบอกเรื่องเหล่านั้นกับนางอยู่ดี ที่อธิบายให้เย่ซิวตู๋ฟังในตอนนี้ก็เป็นการเตรียมจิตใจให้เขาด้วย
ทว่านางยังคงรู้นิสัยของอวี้ชิงลั่วดี เป็นไปได้มากว่านางจะ…โกรธจนพาล
นางยิ่งทำดีกับตนมาโดยตลอด และนางมีความอดทนต่อคนชรา คนอ่อนแอ เด็กและสตรีมาก ดังนั้นจึงเป็นไปสูงหากเย่ซิวตู๋จะต้องรับโทษหนักกว่าตน
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ แม่นมเก๋อก็อดไม่ได้ที่จะหลับตาลง จากนั้นก็ผล็อยหลับไป
เย่ซิวตู๋พาอวี้ชิงลั่วและหนานหนานไปพักในคฤหาสน์ผู้อาวุโสสกุลหมิงชั่วคราว
เขามีห้องของตัวเองที่นี่อยู่แล้ว ผู้อาวุโสสกุลหมิงได้เก็บห้องไว้ให้เขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อเขากลับมาคราวนี้ ผู้อาวุโสสกุลหมิงก็สั่งให้สาวรับใช้คอยมาทำความสะอาดทุกวัน และบอกให้เขามาอยู่ได้ตลอดเวลา
เย่ซิวตู๋เข้าใจความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึก…รับไม่ได้ ที่เหมิงกุ้ยเฟยกับเหมิงจื้อเฉิงร่วมกันทำร้ายผู้อาวุโสสกุลหมิง
หนานหนานเป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว เมื่อเขาเข้าไปในห้องแล้วเห็นเตียงนุ่ม ๆ เขาก็ทิ้งตัวลงบนเตียงโดยไม่เอ่ยคำใดสักคำ และผล็อยหลับไปหลังจากเพียงชั่วครู่
มุมปากของอวี้ชิงลั่วกระตุก นางก้าวเข้าไปห่มผ้านวมให้เขา จากนั้นนำหมอนและผ้าห่มกองซ้อนกันรอบขอบเตียง เพื่อป้องกันไม่ให้เขากลิ้งไปใต้เตียงขณะหลับ
หลังจากเรียบร้อยแล้ว นางก็ตามเย่ซิวตู๋กลับไปที่ห้อง
นางเหนื่อยมาก ช่วงสองวันที่ผ่านมา นางเผชิญกับหลายสิ่งหลายอย่างมามาก หลังจากจัดการเหมิงจื้อเฉิงและพบแม่นมเก๋อแล้ว นางก็ปล่อยวางเรื่องสำคัญทั้งหมดในใจลงได้ และทันใดนั้นก็รู้สึกง่วงและเหนื่อย จนไม่อาจทนไหวอีกต่อไป
เย่ซิวตู๋ยังคงตื่นอยู่ แม้ว่าเขาจะเหนื่อยมาก แต่เขาก็หลับไม่ลง
เขาพลิกตัวไปกอดอวี้ชิงลั่วไว้ในอ้อมแขนแล้วมองลงไป เมื่อเห็นนางหลับไปพร้อมรอยยิ้มจางในอ้อมแขนของเขา ก็รู้ว่านางมีความสุขและรู้สึกพึ่งพาเขาได้ หัวใจของเขาก็อ่อนลง
ช่างมันเถิด ถึงเวลาก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้น หากชิงเอ๋อร์โกรธเขาจริง ๆ เขาก็แค่ยอมรับ แต่เขาจะไม่ปล่อยให้นางจากเขาไป
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเย่ซิวตู๋ก็ผ่อนคลายลง ความรู้สึกง่วงงุนเพิ่มขึ้น และเขาก็หลับไปอย่างรวดเร็ว
ยามราตรีอันมืดมิด คฤหาสน์ผู้อาวุโสสกุลหมิงทั้งหลังเงียบสงัดอย่างน่าขนลุก
ทว่าผู้คนตามท้องถนนด้านนอกกำลังตื่นตระหนก เพราะเรื่องการก่อกบฏของเหมิงจื้อเฉิง
ผู้อาวุโสของเผ่าช่วยทรราชทำเรื่องชั่วร้าย และทั้งครอบครัวก็ถูกจับไปคุมขัง
ส่วนพวกสมุนที่เหลืออยู่ของเหมิงจื้อเฉิงก็ถูกจับ ด้วยข้อหารุนแรงและเข้มงวดที่เหมิงลู่ตั้งขึ้น ส่วนใหญ่ถูกจับได้ แม้ว่าจะยังมีปลาบางตัวที่หลุดจากอวนไปได้ และยังคงหลบหนี แต่เมื่อได้ยินว่าเหมิงจื้อเฉิงเสียชีวิตแล้ว ก็เหมือนสูญเสียเสาหลักไป จึงไม่อาจทำอะไรได้
เรื่องเหมิงจื้อเฉิงสังหารเด็กชาวเหมิงก็ยังคงถูกปกปิด นอกจากรู้กันในหมู่ผู้ที่ประสบกับเหตุการณ์ในวันนั้น เหตุการณ์นี้ไม่ได้ถูกแพร่งพรายออกไป
เพราะสุดท้ายแล้วเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องร้ายแรง หากชาวเหมิงรู้เรื่องนี้ ก็เกรงว่าผู้บริสุทธิ์จะถูกดึงไปเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งก็คือผู้อาวุโสสกุลหมิง และเหมิงจื่อเชียนกับน้องสาวที่อาจถูกสาปแช่ง
เหมิงลู่ไม่ต้องการให้ชื่อเสียงของผู้อาวุโสสกุลหมิงถูกเหมิงจื้อเฉิงทำลาย ยิ่งกว่านั้นคือเขายังไม่ได้สติเลย
อีกทั้งข่าวการลอบสังหารยังถูกเหมิงลู่เปิดโปง เมื่อทุกคนรู้ว่าเหมิงจื้อเฉิงเป็นฆาตกร ทุกคนก็ย่อมเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง พวกเขารู้สึกว่าเหมิงจื้อเฉิงไม่มีค่าพอจะแทนที่ผู้อาวุโสสกุลหมิงได้ และยิ่งเคารพเหมิงลู่มากยิ่งขึ้น เพราะเห็นว่าเขาไม่ได้อยู่ข้างเหมิงจื้อเฉิงที่ทำเรื่องชั่วร้าย เพื่อความชอบธรรมของชาวเหมิง
ชาวเหมิงเพิ่งผ่านเหตุการณ์ใหญ่มา หลายคนยังไม่กล้าแม้แต่จะออกจากบ้าน หวังเพียงให้เรื่องวุ่นวายนี้ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น
โชคดีที่เหมิงลู่ได้เตรียมการเรื่องนี้ไว้แล้ว แผนการของเหมิงจื้อเฉิงยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง และถูกทำลายลงแล้ว ไม่เช่นนั้นจะมีผู้บริสุทธิ์ได้รับอันตรายแน่นอน และอาจเรียกได้ว่าถึงขั้นต้องนองเลือดเลยทีเดียว
แน่นอนว่าอวี้ชิงลั่วไม่ได้คิดถามเรื่องเหล่านี้ นางไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ
นางเหน็ดเหนื่อยมาสองสามวันแล้ว และเมื่อนางตื่นขึ้นอีกครั้งก็เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี
เมื่อมองไปยังท้องฟ้าด้านนอก และคิดถึงแม่นมเก๋อที่ยังนอนอยู่บนเตียง นางก็แอบลูบศีรษะของตน
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น นางก็รู้สึกว่ามีมือกำลังจับเอวนางไว้ แล้วรัดนางไว้แน่น
“เย่…” ทันทีที่นางเปล่งเสียงออกมา นางก็รู้สึกว่ามีมือยื่นเข้าไปใต้เสื้อ
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลาเตรียมใจนานๆ เลย เพราะสุดท้ายแล้วความลับมันก็จะไม่มีทางเป็นความลับตลอดไป
ไหหม่า(海馬)
Comments