อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด 293 อันโหรวไม่กลับมา
ตอนที่ 293 อันโหรวไม่กลับมา
อันโหรวไม่ยอมกลับมา!
เขาคิดอยากจะถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เมื่อตอนเย็น แต่เธอกลับซ่อนตัวอยู่ที่ห้องของลูกสาวเสียได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเขาก็ดูเคร่งเครียดมากขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไปด้านนอก
ที่ชั้นสามบริเวณด้านนอกห้องของหน่วนหน่วน จิ่งเป่ยเฉินที่สวมชุดนอนกำลังยืนอยู่หน้าประตู เขาลังเลเล็กน้อยว่าควรจะเปิดประตูและเดินเข้าไปดีหรือเปล่า
วันนี้เขาทนสายตาของโหรวโหรวที่มองเขาแบบนั้นไม่ได้ แต่ดูเหมือนประตูห้องจะถูกล็อกเอาไว้
ขณะที่เขาเอื้อมมือจะไปบิดลูกบิดประตูก็พบว่าประตูนั้นถูกล็อกไว้จริง ๆ
เธอรู้สินะว่าเขาจะมาแบบนี้
ขณะจะนอนยังมาคิดเรื่องพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าเรื่องพวกนี้เธอค่อนข้างฉลาดหลักแหลมพอสมควร
ขณะที่เขากำลังยืนอยู่ที่ประตูและมองดูประตูที่เปิดไม่ออก ในใจก็แอบคิดว่าควรแงะมันเลยดีไหม ก่อนจะยืนอยู่ตรงนั้นราว ๆ ชั่วโมงสองชั่วโมง
จนแสงอาทิตย์ได้สาดส่องเข้ามา….
เขาได้ยินเสียงกึกกัก ๆ จากด้านใน เขาที่ยืนอยู่ตรงประตูพยายามที่จะเดินขยับออก แต่ก็พบว่าขาของเขานั้นไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้
ไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดออกจากด้านใน อันโหรวจูงมือหน่วนหน่วนเดินออกมานอกห้อง เขาเหลือบสายตามองไปที่เธอ “โหรวโหรว……”
“พ่อจ๋า!” หน่วนหน่วนเงยหน้าขึ้นพลางพูดด้วยเสียงหวาน
อันโหรวเห็นดวงตาของเขามีรอยแดงปรากฏขึ้นมาเป็นเส้น ๆ ราวกับว่าไม่ได้นอนหลับมาทั้งคืน ภาพที่เขายืนอยู่ตรงนี้ทั้งคืนปรากฏขึ้นมาในหัวของเธอ
เธอก้มลงไปอุ้มหน่วนหน่วนและเดินผ่านตัวเขาไป “พวกเราลงไปก่อนนะ นายตามสบายเลย”
“ที่รัก!” จิ่งเป่ยเฉินเอื้อมมือไปดึงเสื้อของเธอไว้ “ขาของฉันมันชา…”
“นวด ๆ มันก็หายแล้ว!” อันโหรวเหลือบมองไปที่มือของเขาที่กำลังดึงเสื้อของเธอ “หน่วนหน่วนต้องกินข้าวเช้านะ ช่วยปล่อยก่อนได้ไหม?”
จิ่งเป่ยเฉินสังเกตเห็นเธอยังสวมเสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อคืน ช่วงนั้นเธอไม่ได้พูดเลยสักคำว่าจะกลับมาที่ห้อง ก็อาจเป็นไปได้ที่เธอนั้นจะกลับไปที่ห้องแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
เขาจึงปล่อยมือออก ก่อนจะพูดว่า “หน่วนหน่วนกินเยอะ ๆ นะ”
“พ่อจ๋ารีบลงมาด้วยนะคะ!” หน่วนหน่วนยิ้มหวานใส่ ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของจิ่งเป่ยเฉินเลยสักนิดเดียว ก่อนจะถูกอันโหรวอุ้มและเดินออกไป
เมื่ออันโหรวและหน่วนหน่วนเดินออกไปแล้ว เขาก็ยังไม่มีท่าทีที่จะเดินออกไป ส่วนทางด้านหยางหยางก็เดินออกมาจากห้องของตนเอง
เด็กตัวเล็ก ๆ เดินมาหาเขาด้วยใบหน้าที่เย็นชา ก่อนจะสังเกตเห็นเส้นรอยแดงเต็มดวงตาของเขา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ดูเหมือนแม่จ๋าจะยังไม่ยกโทษให้พ่อสินะ ผมชักอยากจะรู้แล้วสิว่าพ่อไปทำอะไรให้แม่จ๋าโกรธกัน แบบนี้ควรรีบไปขอโทษนะครับ ถ้าหากพ่อสะดวกที่จะพูดเหตุผลก็ลองพูดให้ผมฟังก็ได้นะ”
“พ่อเองก็อยากรู้มากกว่าลูกอีกนะ” เขารู้สึกอาการชาที่ขาค่อย ๆ จางหายไป แต่เขาก็ยังไม่มีท่าทีที่จะเดินออกไป ถ้าหากเขาล้มลงละก็ ภาพลักษณ์ที่เขาสร้างต่อหน้าลูกชายมาตลอดคงจะหายไปแน่ ๆ
เขารู้สึกราวกับถูกลงโทษ แต่เขาไม่รู้อะไรเลยสักนิด มันน่าดูเกลียดตรงที่โหรวโหรวไม่อธิบายให้เขาเข้าใจเลยสักนิดเดียว
ทางด้านหยางหยางเมื่อมองเขาสักพักก็เดินออกไป ก่อนจะเหลือบสายตามองมาที่พ่อของเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ จากท่าทางแบบนั้นราวกับว่ากำลังคุกเข่าขอร้องอะไรบางอย่างเลย
ทางด้านจิ่งเป่ยเฉินเมื่อจัดแจงทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เดินกลับไปที่ห้อง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะนั่งรอให้อันโหรวกลับมาที่ห้อง
เมื่อรอไปได้สักพักหนึ่ง จนเวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไป เขาก็คิดว่าอันโหรวคงจะไม่กลับมาแน่ ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงรถที่ขับออกไป
“ให้ตายสิ!”
เขาลุกขึ้นจากโซฟาและเดินไปที่หน้าต่าง มองเห็นรถสีดำที่ขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ที่บริษัทจิ่ง
วันนี้ฉีเซิ่งเทียนรู้สึกตัวเองคิดผิดยังไงก็ไม่รู้ที่มาบริษัท บรรยากาศดูผิดปกติแปลก ๆ ราวกับว่ามีแรงกดดันบางอย่างเกิดขึ้นยังไงไม่รู้
เขารีบเดินไปที่ห้องทำงานของหลินจือเซี๋ยว ก่อนจะเห็นเธอที่กำลังดูยุ่ง ๆ เขาเลยเดินไปตรงหน้าและเคาะที่โต๊ะเบา ๆ “ดูให้หน่อย ผมของฉันยาวขึ้นมาบ้างหรือเปล่า?”
หลินจือเซี๋ยวเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ฉันรู้สึกว่าคุณน่าจะลองตัดให้สั้นลงสักนิ้วหนึ่งนะ”
ผมยาวเร็วขนาดนี้ แต่ฉีเซิ่งเทียนกลับมีกระจอนผมตรงกลางหายไป ซึ่งหากมองดูดี ๆ ละก็ แอบดูตลกไม่ใช่น้อย
“หลินจือเซี๋ยว เดือนนี้เธอจะจ่ายหนี้ฉันเลยหรือเปล่า? จะจ่ายแบบต้นเดือนหรือสิ้นเดือนดี?” เขาเผยรอยยิ้มออกมา รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าหนี้ที่ใจกว้างที่สุดแล้ว
“ถ้าหากเธอไม่คิดอยากจะเอาเงินมาใช้หนี้ก็ลองวิธีอื่นดูก็ได้นะ สนใจอยากลองดูไหม?” หลินจือเซี๋ยวไม่ตอบกลับสักประโยค นั่นทำให้ฉีเซิ่งเทียนต้องเอ่ยอีกประโยคหนึ่งแทน
“วิธีอะไร?” หลินจือเซี๋ยวเริ่มเอ่ยถามอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย
“ด้วยตัวไง”
“เดี๋ยวตอนพักกลางวันฉันจะรีบไปถอนเงินให้เลยค่ะ” หลินจือเซี๋ยวก้มหน้าทำงานต่อ ทำเหมือนกับไม่เห็นฉีเซิ่งเทียนอยู่ที่นี่
ฉีเซิ่งเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะคิดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่กินข้าวไม่กินเนื้อหรือยังไง กินแต่น้ำค้าง[1]อะไรอย่างนั้นเหรอ?
“ฉันไม่รับเงินสดหรอกนะ”
“ผู้จัดการฉี รบกวนคุณช่วยทิ้งเลขบัญชีธนาคารไว้ให้ฉันทีจะได้ไหมคะ?” หลินจือเซี๋ยวเงยหน้าขึ้นมองด้วยรอยยิ้ม
ฉีเซิ่งเทียนหยิบบัตรธนาคารออกมาแล้ววางไว้ตรงหน้าของเธอ ก่อนจะพูดว่า “รหัสเป็นหกถึงหก”
หลังจากนั้นก็เดินออกไป………
หลินจือเซี๋ยวมองไปที่บัตรสีทองที่อยู่บนโต๊ะ พระเจ้า! ให้ตายสิ ช่วยบอกได้ไหมว่านี่คือการปลดปล่อยหนี้แล้วจริง ๆ งั้นเหรอ?
เธอต้องการเลขบัญชีธนาคารนะไม่ใช่บัตร!!
โชคดีที่ฉีเซิ่งเทียนรีบกลับเข้ามาทันที แต่กลับไม่ได้สนใจที่จะพูดเรื่องบัตรเลยสักนิด “เมื่อคืนเธอได้คุยกับอันโหรวบ้างหรือเปล่า?”
“ทำไมเหรอ?” หลินจือเซี๋ยวถามอย่างงุนงง
“ช่างเถอะ ไม่มีอะไร” เขาเดาว่าหลินจือเซี๋ยวเองก็ไม่น่าจะรู้อะไรแน่ ๆ จะตรวจสอบจากเธอก็คงไม่ได้ความอะไร ก่อนจะคิดว่าควรไปถามอวี๋กุ่ยห่าว บางทีเธออาจจะรู้อะไรมากกว่าก็ได้
ที่ห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉิน
อันโหรวยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานพลางมองลงไปที่มือของเขาที่กำลังค้างอยู่ตรงตำแหน่งที่ต้องเซ็นเป็นเวลาห้าวินาทีแล้ว แม้แต่ตัวอักษรคำว่าจิ่งยังไม่มีร่องรอยการเขียนใด ๆ
ความอดทนของเธอค่อย ๆ หมดลง สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือเธอไม่คิดอยากจะมาเสียเวลาอยู่ในที่แห่งนี้อีกต่อไป
“ประธานจิ่ง ถ้าหากมือของคุณมีปัญหาก็ลงประทับตราก็ได้ค่ะ” เธอพูดอย่างเฉยเมยออกมา
วินาทีต่อมาปากกาในมือของจิ่งเป่ยเฉินก็หล่นลงไปที่เท้าของเธอ
อันโหรวมองเขาที่ดูแปลก ๆ เล็กน้อย ภายในใจก็เริ่มที่จะรู้สึกหดหู่ขึ้นมา ก่อนจะพูดว่า “เอกสารไม่ต้องรีบเซ็นก็ได้ คุณจะเซ็นตอนไหนก็เซ็นได้เลย”
เธอหยิบปากกาที่หล่นบนพื้นขึ้นมา ดูเหมือนตัวปลายปากกาจะหักเสียแล้ว หักแบบนี้ดูท่าเขาไม่อยากได้แน่ ๆ
ด้วยเหตุนี้เองเธอจึงโยนมันลงไปที่ถังขยะ ก่อนจะหันหลังและเดินออกไป
ในขณะที่ตัวเธอกำลังจะเดินออกไปนั้น คนที่อยู่ด้านหลังของเธอก็รีบลุกขึ้นและรีบเดินไปล็อกประตูห้องทำงานทันที
เขาเผยบรรยากาศเย็นชามาที่ข้างหน้าของเธอ ดันเธอให้แนบชิดติดกับกำแพง แม้ว่าตัวเธอจะสวมเสื้อผ้าหนา ๆ แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงไอเย็นที่หนาวเหน็บจากเขา
“จิ่งเป่ยเฉิน นายคิดจะทำอะไร?” เธอเอ่ยถามออกมา เมื่อคืนที่เกิดเรื่องพวกนั้นขึ้น เธอก็ไม่คิดอยากจะพูดอะไรให้มากความ
“โหรวโหรว……” เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำเบา ๆ ใบหน้าที่หล่อเหลาเริ่มแนบชิดขยับเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น “มีเรื่องอะไรกันแน่ ช่วยบอกให้ฉันเข้าใจหน่อยได้ไหม?”
น้ำเสียงเชิงอ้อนวอนดังขึ้น ซึ่งคงมีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่จะได้เห็น
จะต้องให้เธอพูดเรื่องอะไรกัน?
พูดเรื่องที่แม่ของเธอไม่อนุญาตให้แต่งงานกับเขางั้นเหรอ?
ถ้าหากพูดเรื่องนี้ออกไป เกรงว่าเขาคงได้เป็นบ้ามากกว่าเธอแน่ ๆ
“ฉันแค่รู้สึกไม่สบายนิดหน่อย”
“ไม่สบายตรงไหน?” เขาตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวและพิจารณามองเธอทั่วทั้งตัว ดูเหมือนเธอจะสวมเสื้อผ้าที่เปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว
เขาลืมไปเลยว่านอกจากเสื้อผ้าที่อยู่ในห้องของพวกเขา ที่ชั้นสองก็ยังมีห้องเก็บเสื้อผ้าขนาดใหญ่อยู่ ซึ่งข้าวของของเธอบางส่วนก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน
“ประจำเดือนมา” ประจำเดือนเจ้าปัญหามาเมื่อตอนเช้า นี่ถือว่าเป็นข้อแก้ตัวที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว
“ประจำเดือนของเธอมาแล้วถึงได้ทำกับฉันแบบนี้?” ประจำเดือนมาเหรอ เขาไม่มีทางเชื่อเรื่องแบบนี้แน่ ๆ
“เวลาประจำเดือนมาทีไร ประธานจิ่งก็ลองคิดดูเอาละกัน ทุก ๆ เดือนช่วงเวลานี้มา อารมณ์ของผู้หญิงจะเปลี่ยนไปขนาดไหน? ฉันพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น จะได้เป็นหนึ่งสัปดาห์ที่ดีที่สุดแล้วนะ” เธอพูดโกหกออกมาโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาเลยสักนิด
“อา…” อันโหรวเผลอครางเสียงต่ำ ก่อนจะก้มลงมองมือใหญ่ของเขาที่ยื่นไปตรงหว่างขาของเธอ แถมยังดูเหมือนจะขยับเล็กน้อยตรงนั้นอีกด้วย
“ตอนนี้นายเชื่อบ้างแล้วหรือยัง?” ทันใดนั้นเธอก็เอื้อมมือออกไปผลักเขา “นายไม่ต้องคิดมากหรอก มันเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงในเรื่องอารมณ์อยู่แล้ว”
“อืม”
[1] เปรียบเปรยคล้ายกับว่าไม่สนใจเรื่องทางโลก
Comments