อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร 615 ดื่มด่ำกับปัจจุบันก่อน 616 กำหมัดกันแล้ว

Now you are reading อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร Chapter 615 ดื่มด่ำกับปัจจุบันก่อน 616 กำหมัดกันแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 615 ดื่มด่ำกับปัจจุบันก่อน ตอนที่ 616 กำหมัดกันแล้ว

ตอนที่ 615 ดื่มด่ำกับปัจจุบันก่อน

เนื่องจากดื่มไวน์แดงที่บาร์ไปสองแก้ว มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนจึงเรียกใช้บริการคนขับรถมาพากลับโรงแรม

เดินกำลังภายในสองสามรอบก็ไม่รู้สึกแน่นท้องเลยสักนิด

“ซาลาเปาน้อย ช่วยอาบน้ำให้หน่อยสิ” ดวงตาของตี้อู๋เปียนฉายแววเจ้าเล่ห์

นับตั้งแต่ ‘เปิดเผยหมดเปลือก’ กันครั้งแรก หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เปิดห้องพักแค่ห้องเดียว แต่ก็ไม่กล้าพักที่โรงแรมของอวิ๋นไป๋

เพราะตี้อู๋เปียนกลัวน้าเล็กรู้เรื่องเข้าแล้วจะไปบอกน้าสะใภ้เล็ก น้าสะใภ้เล็กต้องไปเล่าให้คนอื่นๆ ในตระกูลเย่ว์ฟังแน่ สามพ่อลูกมีหวังได้รีบเหาะมาเอาชีวิตเขาถึงที่ชัวร์!

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการนองเลือด ดังนั้น ‘แอบลักลอบ’ กันไประยะหนึ่งก่อนแล้วกัน รอเที่ยวเสร็จค่อยว่ากัน

ถึงแม้บางเรื่องยังไงก็ต้องเกิด แต่ช้าหน่อยเขาก็มีผลพลอยได้มากขึ้น!

มู่เถาเยา “…” แน่ใจนะว่าแค่อาบน้ำไม่มีอย่างอื่นแถม

ตี้อู๋เปียนไม่หยิบแม้แต่เสื้อคลุมอาบน้ำของทั้งสองคน อุ้มมู่เถาเยาเดินเข้าห้องน้ำ

มู่เถาเยา “…ตอนนี้ดึกมากแล้ว”

ถึงแม้การอดหลับอดนอนหรือนอนน้อยจะไม่ได้ส่งผลต่อพวกเขาสักเท่าไร แต่เธอก็ยังหวังว่าจะกินกับนอนแบบคนทั่วไป

“พวกเราไม่ต้องรีบตื่นไปไหนเสียหน่อย”

“นอนดึกบ่อยๆ ไม่ดีต่อสุขภาพ ทำเรื่องอย่างว่า…มากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพด้วย”

นับตั้งแต่เกิดเรื่องอันแสนงดงามครั้งแรก พวกเขาก็ขึ้นสวรรค์กันทุกคืน นอนตีสามตีสี่ถือว่าเร็วแล้ว ส่วนใหญ่จะเล่นผีผ้าห่มกันทั้งคืน

“ไม่บ่อยหรอก เดี๋ยวกลับไป…” พอพูดถึงตรงนี้ตี้อู๋เปียนก็แอบเหม่อเล็กน้อย “ซาลาเปาน้อย พวกเราแต่งงานเร็วหน่อยไม่ได้จริงๆ เหรอ ฉันรับรองเลยนะว่าหลังแต่งงานชีวิตเธอจะเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิดเพี้ยน”

มู่เถาเยาก้มหน้ามองเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกปลดกระดุมออก เธอเถียงกลับ “เหมือนยังไง ตอนนี้ก็ไม่เหมือนแล้ว! ถ้าอดหลับอดนอนนานๆ จะส่งผลถึงสภาวะจิตใจ จากนั้นก็จะมีผลกระทบต่อการทำงาน”

ถึงแม้สังคมสมัยนี้การมีเซ็กซ์เป็นเรื่องปกติเหมือนการกินการนอน แต่มันก็กินเปอร์เซ็นต์ในชีวิตไม่สูง เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่สำคัญกว่า อีกทั้งจะมีมันหรือไม่มีก็ได้ ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอย่างการกิน การนอน การทำงาน

อีกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องปล่อยไปตามธรรมชาติ

มือของตี้อู๋เปียนที่กำลังเคลื่อนไปตรงเอวของมู่เถาเยาหยุดชะงัก พูดเหมือนร้อนตัว “พวกเรามาพักผ่อนกันไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวพอกลับไปใช้ชีวิตปกติก็ทำตามอำเภอใจแบบนี้ไม่ได้แล้ว”

มู่เถาเยาเลิกคิ้ว “ถ้าคุณเกลี้ยกล่อมพ่อฉันได้ฉันก็ไม่ว่าอะไรถ้าจะแต่งงานเร็ว”

เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องนี้จะสำเร็จ ดังนั้นรับปากไว้ก่อนไม่เป็นไรหรอก

ตี้อู๋เปียน “…” ช่างเถอะ ขอดื่มด่ำกับปัจจุบันก่อนแล้วกัน

ทั้งสองคนไม่ได้หยุดตั้งแต่ห้องน้ำไปจนถึงโซฟา ไปต่อที่ห้องนอน ทั้งคืนผ่านไปแบบนี้

โชคดีที่มู่เถาเยาไม่ใช่คนทั่วไป ไม่อย่างนั้นคงทน ‘ปริมาณงาน’ ที่มากขนาดนี้ไม่ได้ มันเป็นงานที่อาจตายในหน้าที่ได้!

เมื่อฟ้าเริ่มสว่าง ตี้อู๋เปียนก็อุ้มมู่เถาเยาไปชำระล้างร่างกายในห้องน้ำ จากนั้นก็นัวเนียกันอีกรอบถึงจะผละออกอย่างพอใจ

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จทั้งสองคนก็เช่ารถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจากโรงแรมขี่รอบทุ่งดอกคาโนล่า

ท้องฟ้าในเดือนมีนาคมแสงแดดสดใสเหมือนอารมณ์ของพวกเขา

ทุ่งดอกไม้สีเหลืองที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาแบบนี้แม้จะเป็นทัศนียภาพที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ก็ทำให้คนกลมกลืนกับธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกันได้

ช่วงหลายปีมานี้การเที่ยวไปตามสวนเกษตรเป็นที่นิยมมาก เป็นจุดไฮไลท์ของเมืองเยียนอวิ๋นแห่งนี้นอกจาก ‘หุบเขาทั้งสาม’

เมืองนี้ไม่มีอุตสาหกรรม รายได้ของผู้คนพึ่งพาทรัพยากรการท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์การเกษตรปศุสัตว์ที่คุณภาพสูง คนของเมืองเยียนอวิ๋นจึงไม่ได้รวยมาก แต่ก็ไม่ได้ยากจน อยู่ในระดับกลางๆ อีกทั้งช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนก็ไม่ได้มาก

คนที่นี่พึงพอใจในสิ่งต่างๆ ง่าย ไม่ขูดรีดนักท่องเที่ยว จิตใจดี

มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนขี่รถมอเตอร์ไซค์ผ่านท้องทุ่งสีเหลือง มื้อกลางวันกินปลาแม่น้ำทอด ข้าวเกรียบ ซุปโหยวฉา ที่ริมแม่น้ำชุ่ยจู๋ จากนั้นก็เลาะตามริมแม่น้ำต่อ

สองฝั่งของแม่น้ำส่วนใหญ่เป็นป่าไผ่ แม่น้ำแห่งนี้จึงชื่อว่าแม่น้ำชุ่ยจู๋[1]

มู่เถาเยาดวงตาเปล่งประกาย “มื้อเย็นกินหน่อไม้กันดีกว่า หน่อไม้ของต้นเดือนมีนาคมเนื้อนุ่มสดมาก”

ตี้อู๋เปียนย่อมพยักหน้า ขอแค่เธอชอบ เขาก็กินได้ทั้งนั้น

“เดือนกุมภามีนาเป็นช่วงกินหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิ พอเดือนเมษาก็ไม่เหมาะที่จะกินแล้ว พวกเราใช้เวลาช่วงนี้รีบหากินหน่อไม้ผัด ซุปไก่…” พูดไปพูดมาก็ชักน้ำลายสอ

ทั้งสองคนนั่งพูดอยู่ตรงหน้าหน่อไม้อยู่สักพักถึงเดินทางต่อ

สายน้ำไหลเอื่อยท่ามกลางเทือกเขาที่ซ้อนกัน มีแพไม้ไผ่ลอยมาบ้างเป็นครั้งคราว บรรยากาศสบายๆ และโรแมนติก

“ซาลาเปาน้อย เดี๋ยวพวกเราไปนั่งแพไม้ไผ่กัน”

“เอาสิ”

ทั้งสองคนขี่มอเตอร์ไซค์ไปไม่นานก็ถึงท่าเรือแพไม้ไผ่ ถามพนักงานก็ได้ทราบว่าถ้าเพิ่มเงินจะเอามอเตอร์ไซค์ขึ้นแพไปส่งที่ท่าต่อไปด้วยได้ แบบนี้พอพวกเขาขึ้นฝั่งก็ไม่ต้องกลับมาเอารถแล้ว

ทั้งสองคนย่อมไม่ลังเล ซื้อตั๋วเสร็จก็ถูกพาขึ้นไปบนแพ

สองฝั่งของริมแม่น้ำ ด้านหนึ่งเป็นป่าเขา อีกด้านเป็นทุ่งดอกไม้เหลืองอร่าม

ท้องทุ่งที่งดงามดุจแดนสวรรค์ หมู่บ้านที่แสนสงบเงียบ น้ำใสสะอาดบริสุทธิ์ ชาวบ้านที่เรียบง่ายใสซื่อ ทำให้มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนเกิดความรู้สึกเหมือนอยู่หมู่บ้านเถาหยวนซาน

[1] ชุ่ยจู๋ แปลว่า ไผ่เขียว

ตอนที่ 616 กำหมัดกันแล้ว

เที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกทั้งวัน สุดท้ายก็ไปกินข้าวที่ร้านอาหารชาวสวนที่ดูเรียบง่าย สั่งต้มหน่อไม้ซี่โครงหมูมากิน

กินเสร็จก็ขี่มอเตอร์ไซค์อย่างอารมณ์ดีไปเที่ยวถนนโบราณอายุพันปี

เวลานี้ยังเร็วเกินไป ถือว่าอยู่ในช่วงเวลากินข้าว คนที่มาเดินจึงยังมีไม่มาก

พอคนเริ่มเยอะพวกเขาก็ออก ขี่มอเตอร์ไซค์ไปจุดท่องเที่ยว ตกกลางคืนไปดูการแสดงที่ซื้อตั๋วไว้

เวลานี้ยังไม่ถึงเวลาเริ่ม ทั้งสองคนจึงเดินเล่นอยู่แถวแหล่งท่องเที่ยว

นอกจากการแสดงอันยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงแล้ว ที่นี่ยังมีการแสดงเล็กๆ มีเกมให้เล่นโดยที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อตั๋วต่างหาก มีหมู่บ้านคนท้องถิ่น มีร้านขายของกระจุกกระจิก ร้านกาแฟ ร้านหนังสือ เป็นต้น

มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนไม่สนใจพวกเกมต่างๆ พวกเขาไปดื่มกาแฟฆ่าเวลา

พอดูการแสดงเสร็จก็ไปตลาดกลางคืนที่ไปมาเมื่อวาน

เปลี่ยนร้านไปกินปลาจากช่องเขาแคบ

ปลาจากช่องเขาแคบแตกต่างจากปลาหุบเขาและปลาหุบเขาแม่น้ำ จับยากกว่า ราคาจึงแพงกว่า ร้านจึง…ไม่เต็ม

มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนยังคงสั่งปลาที่ก้างน้อยเช่นเคย

ปลาตัวไม่ใหญ่ ห่อกระดาษฟอยล์ย่าง ใส่เครื่องปรุงกับผักเคียงไม่เยอะ แต่สดใหม่ ถึงขั้นที่มีกลิ่นหอมเฉพาะของแม่น้ำในช่องเขาแคบ อร่อยจนมองข้ามฝีมือของเจ้าของร้านไปเสียสนิท

ตี้อู๋เปียนพยักหน้าพูดชม “ผักที่ปลูกในโรงเรือนของเมืองใหญ่ บวกกับมลพิษสภาพอากาศ สภาพแวดล้อม ยังไงก็สู้ผักผลไม้ที่ชาวสวนปลูกหรือเป็ดไก่ที่พวกเขาเลี้ยงกินเองไม่ได้!”

เมืองใหญ่ย่อมมีผลิตภัณฑ์สีเขียวที่ปลอดสารพิษ แต่ว่าแพงมาก ชาวบ้านธรรมดาที่ต้องกินสามมื้อซื้อไม่ไหว

มู่เถาเยายิ้มพูด “ก็เพราะของที่พวกคุณกินมาจากการคัดสรรโดยเฉพาะไงล่ะ”

“ประเทศเหยียนหวงคนเยอะ ผักที่ปลูกในโรงเรือนถึงจะพอกิน ผักที่ชาวสวนปลูกกระจัดกระจายทั่วไปก็พอแค่เก็บไว้กินเอง ส่วนที่เหลือก็เอาไปขายในตลาดใกล้เคียง”

“อืม กินเถอะ กินเสร็จรีบกลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้พวกเราต้องไปผจญภัยในช่องเขา”

“ได้”

ทั้งสองคนคีบเนื้อปลาขึ้นมา จากนั้นก็หยุดชะงักพร้อมกัน ทั้งยังขมวดคิ้ว

มู่เถาเยาอดทนไม่หันไป

กินปลาต่อ แต่หูกลับได้ยินเสียงด้านหลัง

พอกินไปได้ครึ่งทางก็ได้ยินเสียงตบ

เสียงตบดังสนั่นดึงดูดสายตาผู้คนที่อยู่รอบๆ

มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนถอนหายใจพร้อมกัน จากนั้นก็ยืนขึ้นแล้วหันไปพร้อมกันอีก

เห็นผู้หญิงหน้าตาดีแต่งหน้าสวยกำลังโกรธจนตัวสั่น

ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอถูกตบ เขาอึ้งก่อนแล้วง้างมือขึ้น อยากตบกลับผู้หญิงที่กำลังน้ำตาตกคนนั้น

ตี้อู๋เปียนสะบัดตะเกียบไปข้างหนึ่ง ทำเอามือของผู้ชายคนนั้นเปลี่ยนทิศทาง

ผู้ชายร้องโอดโอย เอามือซ้ายประคองมือขวาที่ถูกกระทำเมื่อครู่ แขนขาวอวบมีรอยตะเกียบสีแดง

“ใครลอบทำร้ายกูวะ”

ตี้อู๋เปียนค่อยๆ เดินเข้าไป “มีปัญหาหรือไง”

เมื่อครู่ตี้อู๋เปียนกับมู่เถาเยาได้ยินแล้วว่าผู้ชายคนนี้พูดเกลี้ยกล่อมจะให้ผู้หญิงคนนี้ไปเป็นเพื่อนแขกของเขา!

บอกว่าแขกคนนี้ชอบเธอมาตั้งแต่เจอกันครั้งแรกเมื่อสี่ปีก่อน ตอนนี้มาเที่ยวบ้านเกิดของเธอพอดี อยากให้เธอไปเป็น ‘ไกด์’ นำเที่ยวสักสองสามวัน

ผู้ชายโมโหอวดเบ่งมาก ด่าหยาบคายสารพัด คนแถวนั้นฟังจนเริ่มกำหมัดกันแล้ว

มีคนถ่ายคลิปวิดีโอจะเอาไปแฉ

ผู้ชายคนนั้นเห็นเข้าก็เลิกสนตี้อู๋เปียนพุ่งเข้าไปจะแย่งโทรศัพท์มือถือ

ตี้อู๋เปียนมีเหรอจะปล่อยให้เขาได้ใจ คว้าคอเสื้อด้านหลังไม่ให้เคลื่อนไปข้างหน้าได้

ผู้ชายคนนั้นหันมาด่า “ไอ้เวรตะไลเอ๊ย”

ตี้อู๋เปียนตบเข้าให้หนึ่งที ตบอีกด้านจนใบหน้าของอีกฝ่ายบวมเป่ง

ผู้ชายคนนั้นดวงตาแดงก่ำ มือเท้ากวัดแกว่งจะเล่นงานตี้อู๋เปียน

แต่น่าเสียดาย แม้เขาจะแรงเยอะ แต่กลับแตะไม่ถึงแม้แต่ชายเสื้อของอีกฝ่าย จึงรู้ว่าเจอคนมีฝีมือเข้าแล้ว โมโหยิ่งกว่าเดิม

“หลินหาวซุ่น เลิกอาละวาดได้แล้ว”

ผู้ชายคนนี้โมโหอยู่เป็นทุนเดิม พอได้ยินเสียงผู้หญิงก็ยิ่งโกรธจนตาแดงก่ำถมึงทึง หันไปจะตบผู้หญิง…

“แกมันนังสารเลว…”

ฝ่ายหญิงตะโกนเหมือนคนขาดสติ “หลินหาวซุ่น ฉันขอหย่ากับคุณ!”

“หย่าเหรอ ก็ลองหย่าดูสิ ฉันจะตีไอ้ลูกเฮงซวยของแกที่อยู่ในบ้านให้ตายเลย…”

คำด่าหยาบคายมาเป็นชุด เกินกว่าจะฟัง

“หลินหาวซุ่น นั่นลูกแท้ๆ ของคุณนะ! คุณมันเดรัจฉาน!” ผู้หญิงคนนั้นโมโหเกือบหมดสติ

มีคนด่าลูกตัวเองขนาดนี้เลยเหรอ! บอกว่าเขาเป็นเดรัจฉานก็ยังสูงส่งเกินไป!

นับตั้งแต่เธอตั้งท้อง คนคนนี้ก็เผยธาตุแท้ ไม่เพียงแต่จะไม่ดูแลเธอ ยังชอบไปเมาอยู่ที่ผับบาร์ทั้งคืน หรือไม่ก็พาเพื่อนพาลูกค้ามากินนอนที่บ้าน ทำให้เธอที่ตั้งท้องลูกแฝดต้องคอยบริการไม่ได้หยุดหย่อน ส่งผลต่อสุขภาพของเธอและเด็กในครรภ์

จนเธอจำต้องกลับไปรอคลอดที่บ้านแม่เพื่อไม่ให้โมโหจนแท้ง

พอคลอดลูกแฝดชายหญิงออกมาเขาก็ไม่มาดูเลยสักนิด

เธอจนปัญญา หลังจากอยู่ไฟครบเดือนเสร็จก็ขอให้พ่อแม่ช่วยเลี้ยงหลาน เพราะเธอต้องทำงานหาเงินค่านมลูก

ส่วนคนสารเลวคนนี้น่ะเหรอ ถ้าตอนนั้นเธอไม่แจ้งข่าวดี เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเธอคลอดเมื่อไร คลอดอะไรออกมา

จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อน ขาดการติดต่อไปหลายปีอยู่ๆ เขาก็มาบอกว่าอยากรับเธอกับลูกกลับบ้าน

หลายวันมานี้เขายังเอาอกเอาใจเธอเหมือนตอนเพิ่งคบกันเป็นแฟน

เธอคิดว่าเขากลับตัวแล้ว ปรากฏว่าที่แท้ก็กลับมาพร้อมกับความคิดโสมม

เธอมีชีวิตอยู่มายี่สิบเจ็ดปี เรื่องเดียวที่นึกเสียใจก็คือไม่ได้กลับเมืองเยียนอวิ๋นทันทีที่เรียนจบมหาวิทยาลัย แต่อยู่ทำงานที่เมืองขนาดกลาง ต่อมาก็เจอผู้ชายสารเลวที่เก็บซ่อนสันดานได้เก่งมาก ทำให้ต้องมาเกิดเรื่องโหดร้ายแบบนี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด