อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร 646 หนึ่งในแสน 647 วิจัยโรคระบาด

Now you are reading อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร Chapter 646 หนึ่งในแสน 647 วิจัยโรคระบาด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 646 หนึ่งในแสน ตอนที่ 647 วิจัยโรคระบาด

ตอนที่ 646 หนึ่งในแสน

วันอาทิตย์พวกหนุ่มๆ สาวๆ รบเร้ามู่เถาเยาให้ออกไปเที่ยวด้วยกัน

ตี้อู๋เปียนโมโหไม่ไหว แต่ก็แสดงออกไม่ได้ กลัวผู้ชายพวกนั้นจะหัวเราะเยาะหาว่าเขาใจแคบ

ดีที่เดี๋ยวตอนบ่ายคนพวกนี้ก็ไปแล้ว เขาจะทน!

คนที่ตามติดมู่เถาเยานอกจากหนุ่มสาวแล้วยังมีพวกเด็กๆ รวมถึงเจ้าขาวปุยกับเสี่ยวเฮยเฮย

ตี้อู๋เปียนรู้สึกว่าพออยู่หมู่บ้านเถาหยวนเขาก็กลายเป็นหนึ่งในแสนของเธอ

เป็นครั้งแรกที่เกิดความรู้สึกว่าหมู่บ้านเถาหยวนไม่ดี!

อดทนจนถึงตอนบ่ายอย่างยากลำบาก ส่งหนุ่มสาวพวกนั้นขึ้นเครื่องบินเสร็จตี้อู๋เปียนก็รีบลากมู่เถาเยามาอย่างที่แทบทนรอไม่ไหว พาไปหาฝูงม้าป่าที่นับวันจะยิ่งเหมือนสวนสัตว์ธรรมชาติเข้าทุกวัน

แน่นอนว่านี่ก็แค่ข้ออ้าง หลักๆ คืออยากอยู่ด้วยกันสองต่อสองตามลำพัง

มู่เถาเยาพูดด้วยความจนปัญญา “ฉันเคยบอกแล้วว่าฉันจะยุ่งมาก เลยบอกให้คุณกลับเมืองหลวงไปทำงาน” คบกันก็ส่วนคบกัน แต่ห้ามส่งผลกระทบต่องาน

เขาติดหนึบเกินไป จุดนี้ที่ไม่ดีเอามากๆ!

ตี้อู๋เปียนบ่น “ซาลาเปาน้อย พอใส่กางเกงเธอก็ทำเมินเฉยเลยนะ”

“แค่ก…” มู่เถาเยาเกือบสำลักน้ำลายตัวเองตาย “จริงจังหน่อย อย่าทำเป็นเล่น”

ตอนนี้กลับมาแล้ว เธอยังมีอีกหลายเรื่องต้องทำ ไม่ได้มีเวลานั่งง้อมากมายเหมือนก่อนหน้านี้ที่อยู่ข้างนอก

“ทำเป็นเล่นที่ไหน ยังไม่ทันเริ่มกลิ้งเลยนะ!”

“…”

“ซาลาเปาน้อย พวกเราป่าวประกาศเถอะ ไม่อย่างนั้นพวกผู้ชายเถื่อนนั่น…”

“พูดจายังไง พวกเขาไม่ใช่ผู้ชายเถื่อน อีกอย่างเกมแบบนี้ไม่มีทางเล่นเป็นครั้งที่สองแล้ว”

ไม่เห็นจะสนุกตรงไหน เธอไม่รู้สึกตลกด้วย ต่อให้ทุกคนหัวเราะอย่างมีความสุข แถมปกติทุกคนก็มีงานต้องทำ จะมัวเล่นได้ยังไง!

ตี้อู๋เปียนหมดคำจะพูด นี่เธอคิดว่ามันเป็นแค่เกมเหรอ!

แต่แบบนี้ก็ดี เธอไม่ต้องลำบากใจ

“จี๊ดๆ”

เจ้าขาวปุยชักไม่สบอารมณ์ ตะกุยเสื้อผ้าของมู่เถาเยา เจ้านายไม่เล่นเป็นเพื่อนนานแล้วนะ!

ตี้อู๋เปียนหิ้วเจ้าขาวปุยที่อยู่ในอ้อมอกมู่เถาเยาโยนทิ้ง

เขาคุยเรื่องสำคัญอยู่ อย่ามาก่อกวน!

เจ้าขาวปุยโกรธมาก วิ่งกลับเข้าอ้อมอกมู่เถาเยาเร็วประหนึ่งฟ้าแลบ จากนั้นก็ส่งเสียงใส่ตี้อู๋เปียน “จี๊ดๆ จิ๊บๆ…” โวยวายใหญ่

มู่เถาเยาไม่เข้าใจว่ามันพูดอะไร รู้แค่ว่ามันไม่พอใจ จึงลูบหลังปลอบมัน “ขาวปุยเด็กดี ไม่ต้องโมโหนะ ระยะนี้ฉันไม่ออกไปไหนแล้ว ถ้าออกไปจะเอาเราไปด้วย”

ถึงแม้เจ้าขาวปุยจะเก่งมาก ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มาแล้วกี่ปี แต่มันอยู่ในเขาเทพจันทรามาตลอด ไม่มีสัตว์อื่นเป็นเพื่อน ดังนั้นในสายตาของเธอมันเป็นเพียงสัตว์ตัวน้อยที่ติด ‘แม่’ นี่ก็เรื่องปกติ

ครั้งนี้เธอกับเขาออกไปเที่ยวค่อนข้างนานจริงๆ พวกผู้ใหญ่บอกว่าตอนกลางวันมันไม่ชอบออกไปเที่ยวไหนแล้ว กินอะไรก็ไม่อร่อย ชอบขลุกตัวอยู่ที่หัวเตียงของเธอ ส่งเสียงร้องอยู่บ่อยๆ

เธอฟังแล้วก็สงสาร เห็นตี้อู๋เปียนจะยื่นมือเข้ามาอีกจึงอุ้มเจ้าขาวปุยหันหนีไม่ให้เขาแตะถูก พลางรีบพูดขึ้น “ห้ามโยนมัน”

ตี้อู๋เปียน “…ทำไมไม่เห็นเธอสงสารฉันบ้าง ฉันก็เสียใจมากนะ!”

พอกลับมาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป!

อยากเดินทางท่องเที่ยวไปตลอดชีวิต!

มู่เถาเยา “คุณเสียใจอะไร”

“ทำไมฉันจะไม่เสียใจ ฉันไม่ใช่ที่หนึ่งในใจเธอแล้ว”

“…น้ำเน่ามากนะ”

“…” อยู่ ๆ มู่เถาเยาก็รู้สึกว่าอยู่กับเขานานๆ เธอก็ชักจะไร้เดียงสาไปด้วยแล้ว

“เอาล่ะๆ คำพูดที่ฉันเคยพูดกับคุณไม่มีทางเปลี่ยน คุณเองก็อย่ามัวแต่คิดเล็กคิดน้อย พวกเรามีอะไรต้องทำก็ไปทำ อย่าปล่อยให้เรื่องเล็กน้อยมาทำลายความรู้สึก พวกเราต้องทำงานใหญ่กันนะ!”

“หลังบ้านมั่นคงแล้ว หน้าบ้านถึงจะมีเรี่ยวแรง”

“มั่นคงๆ พายุทอร์นาโดระดับรุนแรงที่สุดก็ยังทำลายความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ได้” มือข้างหนึ่งของมู่เถาเยากอดเจ้าขาวปุย มืออีกข้างจับศีรษะตี้อู๋เปียนลงมาจูบมุมปาก

ตี้อู๋เปียนได้รับการเยียวยาแล้ว ใบหน้ามีรอยยิ้ม “ซาลาเปาน้อย ตอนนี้เธอยี่สิบสาม รอเธออายุยี่สิบห้าพวกเราก็แต่งงานกันดีไหม” เธอเคยบอกว่าจะใช้เวลาสองปีทุ่มเทให้กับงานวิจัย

เขาจำคำพูดที่เธอเคยพูดได้หมด

“หลังอายุยี่สิบห้าฉันจะไปใช้เวลาที่เผ่าค่อนข้างมาก ต้องเรียนเรื่องการปกครองแล้ว”

ยุคสมัยไม่เหมือนกัน เงื่อนไขก็ต่างกัน ความสัมพันธ์กับแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน ย่อมใช้วิธีสมัยเธอเป็นจักรพรรดินีไม่ได้ จึงมีหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้ตั้งแต่แรก

“น้าสะใภ้เล็กยังปกครองได้อีกสิบกว่าปี รอพวกเราแต่งงานมีลูกเสร็จค่อยเรียนก็ยังไม่สาย เธอออกจะฉลาด เรียนไม่นานก็เป็นแล้ว”

“ตัวเองอยากเกษียณเร็ว แต่กลับจะให้คนอื่นทำงานถึงอายุหกสิบเหรอ” เธอก็อยากให้เสด็จแม่ของเธอได้ใช้ชีวิตของตัวเองเหมือนกันนะ!

ตี้อู๋เปียนถึงกับจุก

เขาอยากเกษียณไวๆ จริง จะได้ใช้ชีวิตในโลกที่มีกันแค่สองคนกับมู่เถาเยา

มู่เถาเยาลูบหัวตี้อู๋เปียนกับเจ้าขาวปุย “อย่าคิดเยอะเลย ปล่อยไปตามธรรมชาติเถอะ”

“…ก็ได้”

“ไปหาเกาหม่ากับพวกเสี่ยวเหยี่ยกัน”

“อึม”

มีเจ้าขาวปุยอยู่ ตี้อู๋เปียนไม่ต้องใช้พลังวิเศษก็เจอฝูงม้าป่าได้อย่างรวดเร็ว และยังมีจิ้งจอกห้าสีกับพวกช้างป่าด้วย

เล่นกับพวกสัตว์สักพักมู่เถาเยา ตี้อู๋เปียน และเจ้าขาวปุยก็กลับ

ตกดึกราตรีเงียบสงบ มู่เถาเยาแอบย่องออกจากบ้านไปหาใครบางคนที่บ้านตระกูลอวิ๋น

ห้องเดิมที่ตี้อู๋เปียนเคยพักบ้านหยวนเหยี่ยตอนนี้ปรับเปลี่ยนเป็นเตียงสองชั้นแล้ว พอถึงปิดเทอมหน้าร้อนและหน้าหนาว หยางรุ่ยหรานกับซูรุ่ยเซวียนลูกชายสองคนของศิษย์พี่เจ็ดซูเฟยหลวนก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนหยวนเหยี่ย จากนี้ตี้อู๋เปียนจึงต้องไปพักที่บ้านตระกูลอวิ๋น

ตอนนี้บ้านตระกูลอวิ๋นไม่มีคน เหมาะพอดี…

ตอนที่ 647 วิจัยโรคระบาด

การนัดพบทุกคืนทำให้ตี้อู๋เปียนสุขสบายทั้งกายและใจ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะไปไหน เจอใคร ใบหน้าก็ยิ้มแฉ่ง เล่นเอาหญิงชาย คนแก่ เด็กในหมู่บ้านเถาหยวนต่างหลงในรอยยิ้มของเขา

แต่น่าเสียดายที่สถานการณ์แบบนี้คงอยู่แค่หนึ่งสัปดาห์

พอถึงสุดสัปดาห์มีผู้ชายอีกกลุ่มก็คือนักกีฬาอย่างเซียวถง เฉินหมิ่น เป็นต้น มาที่หมู่บ้าน ใบหน้าของเขาก็ดำถมึงทึงเสียยิ่งกว่าถ่าน เจอใครก็หน้าบูดหน้าบึ้ง

เขาตัดสินใจแล้ว ต่อไปทุกสุดสัปดาห์จะพามู่เถาเยาออกไปเที่ยว หรือไม่ก็เข้าเขตป่าชั้นในของป่าเซียนโหยว ‘เก็บสมุนไพร’ !

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เริ่มแผน มู่เถาเยากับถังถังก็ตอบรับคำเชิญ พาเฉิงอันนั่วกับปาอินไปห้องทดลองชื่อดังของประเทศที่ระบบสาธารณสุขดีที่สุด (เนื่องจากเมื่อก่อนเผ่าหมาป่าพระจันทร์ถ่อมตัวมาก จึงไม่ได้เข้าร่วมการจัดอันดับ) เพื่อเข้าร่วมงานวิจัยโรคระบาด

เมืองเย่ว์ตูเป็นศูนย์กลางการแพทย์ของโลกก็จริง แต่ระบบสาธารณสุขไม่ได้ดีที่สุด

คุณภาพของระบบสาธารณสุขเป็นหนึ่งในปัจจัยที่บ่งชี้คุณภาพชีวิต

ประเทศที่คุณภาพชีวิตสูงส่วนใหญ่จะมีระบบประกันสุขภาพเป็นของตัวเอง ให้รัฐบาลจ่ายได้หมด หรืออาศัยบริษัทประกันเอกชน หรือไม่ก็ทั้งสองแบบร่วมกัน

ประเทศเหยียนหวงเป็นประเทศใหญ่ที่ประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ขณะนี้ยังไปไม่ถึงมาตรฐานนั้น

มู่เถาเยาตอบรับคำเชิญไปเขาร่วม ประการแรกเพราะผู้รับผิดชอบห้องทดลองนี้เป็นเพื่อนสูงวัยของเธอในแพลตฟอร์ม ‘กำจัดสารพัดพิษ’

อาจารย์ที่เสียชีวิตไปแล้วของเพื่อนคนนี้ก็คือผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม ‘กำจัดสารพัดพิษ’ ตอนนี้เขารับช่วงดูแลต่อแล้ว

ประการสองเพราะเธอสนใจโรคระบาดมาก และก็อยากให้ว่าที่ผู้สืบทอดสำนักแพทย์โบราณอย่างเฉิงอันนั่วรวมถึงปาอินไปคลุกคลีกับคนเก่งบ่อยๆ จะได้เรียนรู้อะไรที่แตกต่างออกไป

ต่อให้เธอกับอาจารย์จะเก่งแค่ไหนความรู้ก็มีจำกัด อีกทั้งแต่ละแขนงก็มีความเฉพาะ ใช่ว่าด้านอื่นจะไม่มีคนเก่งกว่าเธอ

เหนือฟ้ายังมีฟ้า การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด

ศาสตราจารย์ดอว์สันผู้รับผิดชอบห้องทดลองพอเห็นสองสาวที่อยู่อันดับหนึ่งและสองของชาร์ต ‘กำจัดสารพัดพิษ’ เขาก็ตกใจอ้าปากค้าง

ในแพลตฟอร์มใช้นามแฝงกันทั้งนั้น ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

หลังจากยืนยันตัวตนแล้ว ศาสตราจารย์ดอว์สันก็พูดด้วยภาษาประเทศเหยียนหวงอย่างไม่หยุดหย่อนว่าเด็กรุ่นใหม่มาแรงจริงๆ อีกทั้งยังบอกว่าชอบประเทศเหยียนหวง เลื่อมใสหมอเทวดาหยวนเหยี่ยกับอธิการบดีเจียงมาก บอกว่าพวกเขาเป็นหมอที่ยิ่งใหญ่ บลา ๆ ๆ

เมืองเย่ว์ตูเป็นศูนย์กลางการแพทย์ ศาสตราจารย์ดอว์สันในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดย่อมไปเมืองเย่ว์ตูบ่อย ย่อมรู้จักหมอเทวดาหยวนกับอธิการบดีเจียงที่โด่งดังที่สุดในประเทศเหยียนหวง

มู่เถาเยายิ้มพูด “ถ้าอาจารย์ใหญ่กับอาจารย์อาเล็กได้ยินศาสตราจารย์ดอว์สันชมพวกเขาหนักขนาดนี้จะต้องดีใจมากแน่นอนค่ะ”

ศาสตราจารย์ดอว์สันตะลึงก่อน จากนั้นถึงถาม “ผมจำได้ว่าหมอเทวดาหยวนมีลูกศิษย์หลักๆ แค่แปดคน แถมไม่มีคนไหนอายุน้อยขนาดนี้ด้วย”

“ฉันคนที่เก้าค่ะ เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย อาจารย์เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเป็นทารก แต่ไม่ได้ประกาศออกไป”

“ที่แท้ก็แบบนี้ แต่ทำไมผมรู้สึกคุ้นหน้าคุณจัง”

สมิธผู้ชายของศาสตราจารย์ดอว์สันตื่นเต้นมาก “ศาสตราจารย์ครับ นี่มู่เถาเยาที่เป็นดาวนักกีฬาไงครับ!” เมื่อกี้ตอนเห็นหน้าเขาก็ว่าเธอหน้าเหมือน พอลงทะเบียนถึงได้รู้ว่าตัวจริงมาเอง!

ศาสตราจารย์ดอว์สันไม่ได้สนใจวงการกีฬา เพราะความสนใจของเขาไปอยู่ที่การวิจัยทางการแพทย์ทั้งหมด แต่คนในครอบครัวกับพวกผู้ช่วยของเขามักพูดถึงชื่อนี้ เขาถึงได้รู้จัก แต่ไม่รู้ว่าคนไหน เขาถามด้วยความตกใจ “คุณเป็นนักกีฬาด้วยเหรอ”

“เคยเป็นค่ะ แต่งานหลักของฉันคือวิจัยทางการแพทย์ค่ะ”

“งั้นก็ดี งั้นก็ดี”

ศาสตราจารย์ดอว์สันไม่ได้ดูถูกอาชีพนักกีฬา ก็แค่รู้สึกว่าการแพทย์สร้างคุณูปการให้มนุษย์ได้มากกว่านักกีฬา เพราะการแพทย์เกี่ยวพันถึงการพัฒนาของทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์

หากพูดถึงด้านความเชี่ยวชาญ การเติบโตในอาชีพนักกีฬามีขีดจำกัด แต่การแพทย์สามารถวิจัยได้ตลอดชีวิต

อายุที่นักกีฬาเกษียณเป็นวัยที่นักวิจัยทางการแพทย์กำลังรุ่งเรืองที่สุด

ไม่ว่าจะมองจากด้านไหนศาสตราจารย์ดอว์สันก็รู้สึกว่ามู่เถาเยาเลือกถูกแล้ว

อันที่จริงเขาก็สนับสนุนให้นักวิทยาศาสตร์รักการเล่นกีฬา เพราะการออกกำลังกายทำให้คนได้รับพลังอย่างเต็มที่ สมองปลอดโปร่ง

สมัยก่อนกับสมัยนี้ล้วนมีนักกีฬาที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือนักวิทยาศาสตร์ที่ทักษะทางด้านกีฬาสูงถึงขั้นเป็นนักกีฬาอาชีพได้

อีกทั้งการเล่นกีฬายังช่วยบ่มเพาะการวิเคราะห์และความสามารถในการตัดสินใจของมนุษย์ การเล่นกีฬาก็ช่วยให้สุขภาพดี มีประโยชน์ต่อคนทุกอาชีพ เพราะมันช่วยสร้างให้คนมีจิตใจแข็งแกร่ง สู้ไม่ยอมถอย พัฒนาตนเองอยู่เสมอ

คนทำงานวิจัยสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการยืนหยัดอดทน

แม้ศาสตราจารย์ดอว์สันจะไม่ได้สนใจวงการกีฬา แต่เขาก็ออกกำลังกายวันละหนึ่งชั่วโมงอย่างขาดไม่ได้

มีสุขภาพดีถึงจะสามารถทำเรื่องที่ตัวเองชอบได้ดีและนานยิ่งขึ้น

หลังจากทั้งสองฝ่ายทำความรู้จักและพูดคุยกันสักพัก พวกมู่เถาเยาก็ถูกสมิธพาไปส่งเข้าพักที่โรงแรมใกล้ๆ ห้องทดลอง

ก่อนแยกกันผู้ช่วยสมิธยังได้ยิ้มหวานถาม “ลูกสาวเซ็นชื่อให้หน่อยได้ไหม”

เฉิงอันนั่ว ปาอิน ถังถัง ต่างหัวเราะออกมา

มู่เถาเยาก็อดขำไม่ได้ “คุณสมิธเรียนภาษาประเทศเหยียนหวงเก่งจังเลยค่ะ แม้แต่คำว่า ‘ลูกสาว’ ก็เข้าใจ

สมิธพูดอย่างอารมณ์ดี “คุณปู่ผมเป็นคนเหยียนหวงครับ ศาสตราจารย์ดอว์สันพูดภาษาประเทศเหเหยียนหวงได้ก็เพราะคุณปู่ผมสอนครับ”

“มิน่าล่ะ เอาปากกามาสิคะ”

สมิธหยิบสมุดกับปากกาในกระเป๋าออกมา มู่เถาเยาเซ็นชื่อลงบนหน้าปก

“ขอบคุณนะลูกสาว พวกเธอไปปรับเวลากันเถอะ เดี๋ยวเย็นหน่อยจะมารับไปกินข้าวนะ”

“ค่ะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด