อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร 416 อ่อนโยนเข้าเลือดเนื้อ
ตอนที่ 416 อ่อนโยนเข้าเลือดเนื้อ
เดือนมีนาคมเป็นฤดูเปิดเทอม
ไม่ว่านักศึกษาคนไหนจะอาลัยอาวรณ์บ้านอย่างไรก็ยังคงต้องเดินทางกลับมามหาวิทยาลัย
การดำเนินชีวิตของมู่เถาเยาก็เช่นกัน แต่ละวันอยู่กับการเรียนและทดลอง
เมื่อถึงสุดสัปดาห์ถ้าไม่กลับเผ่าก็กลับหมู่บ้านเถาหยวนซาน
ตอนนี้นอกจากอาจารย์ใหญ่ อาจารย์รอง อาจารย์แม่รอง รวมปู่ทวดถังอีกคนที่ยังอยู่หมู่บ้านเถาหยวนซาน คนอื่นๆ ก็ไม่ค่อยมาแล้ว ราวกับกลับไปใช้ชีวิตแบบเมื่อก่อน
คนตระกูลเย่ว์หยุดมาพักที่นี่ชั่วคราวเพราะเย่ว์เลี่ยงท้อง
สองผู้อาวุโสตระกูลตี้ก็มาหมู่บ้านเถาหยวนซานน้อยลงเพราะสุขภาพของตี้อู๋เปียนกลับมาเหมือนคนปกติ แถมยังมีจินเหยี่ยน้อยมาช่วยเพิ่มสีสัน อย่างไรเสียแต่ละคนก็มีเส้นทางหลักในการใช้ชีวิต
แต่ทุกคนก็ยังชวนพวกอาจารย์ของมู่เถาเยาและปู่ทวดถังไปอยู่ด้วย แต่พวกผู้อาวุโสต่างชอบหมู่บ้านเถาหยวนซาน ด้วยเหตุนี้เวลาว่างๆ พวกเขาจึงไม่ได้ไปเมืองหลวงหรือเผ่าหมาป่าพระจันทร์
หยวนเหยี่ยกลับจากเมืองหลวงมาเย่ว์ตูหลังจากมู่เถาเยาเปิดเทอม ช่วยเลี้ยงเยี่ยจั๋วน้อยอยู่หลายวันก็กลับหมู่บ้านเถาหยวนซาน
ไม่มีผู้อาวุโสครอบครัวอื่นไปที่นู่นแล้ว แต่มู่เถาเยาก็ไม่กังวลว่าพวกอาจารย์จะเหงา
ห้องสมุดมีเรื่องให้ทำ พวกเขาไปขุดสมุนไพร เก็บผลไม้ป่า หรือหาพวกเกาหม่าที่เขตป่าชั้นนอกของป่าเซียนโหยวได้ หรือจะไปตระเวนเขากับพวกชาวบ้านก็ได้ มีเรื่องต่างๆ ให้ทำมากมาย แบบที่คนแก่ไม่เหนื่อยและไม่เบื่อ
ชีวิตดำเนินเช่นนี้ไปจนกระทั่งวันศุกร์ที่สิบเก้ามีนาคม
พอพวกมู่เถาเยา ปาอิน ถังถัง ตี้อู่หลันฉือ ลู่หันซูเลิกเรียนก็ไปกินข้าวกับลู่จือฉิน เหลียงจี อาจารย์อาเล็ก จากนั้นก็นั่งเครื่องบินกลับหมู่บ้านเถาหยวนซาน
ตอนพวกเขาไปถึงคนตระกูลเย่ว์ก็มาถึงกันหมดแล้ว รวมถึงตาเป่ยยายเป่ย ยกเว้นเย่ว์เลี่ยงที่ตั้งท้อง อวิ๋นไป๋ที่ต้องดูแลเธอ และเย่ว์จือเหิงที่งานยุ่งจนปลีกตัวมาไม่ได้
คนตระกูลตี้ที่จะมามีตี้อู๋เปียน ผู้อาวุโสทั้งสอง เจ้าถุงลมน้อย คุณนายอวิ๋นเหอ แต่ยังมาไม่ถึง เพราะพวกเขาต้องรอมู่หว่าน เจียงเฟิงเหมียน อวิ๋นสุ่ยเหยา น่าหลานอวิ๋นไคเลิกเรียนแล้วมาด้วยกัน
สองผู้อาวุโสตระกูลอวิ๋น หยางชิงเฉวียน อวิ๋นสุ่ยเหยา และน่าหลานอวิ๋นหร่านมาถึงกันแล้ว
เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนมู่เถาเยาได้ฝากให้หยางชิงเฉวียนรับอวิ๋นหร่านมาด้วยกัน
คนตระกูลอวิ๋นกับตระกูลตี้จะกลับเผ่าหมาป่าพระจันทร์พร้อมคนตระกูลเย่ว์เพื่อไปเยี่ยมเย่ว์เลี่ยงหลังกินเลี้ยงเสร็จ
เย่ว์เลี่ยงมีกำหนดคลอดเดือนมิถุนายน ตอนนี้เข้าสู่ช่วงปลายของการตั้งครรภ์แล้ว ทุกคนจึงค่อนข้างตื่นเต้น
นอกจากพวกเด็กสาวของตระกูลตี้อู่ ตระกูลน่าหลาน และตระกูลถังที่เรียนมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูเหมือนมู่เถาเยาแล้ว ยังมีตี้อู่เหลียนจิง อวี้อวี๋ สวีเสี่ยวเจิง ถังหง และถังเซิ่งที่มาด้วย
ตายาย ย่า และแม่ของลู่หันซูก็มาถึงแล้ว
พวกเขาวางแผนไว้ว่าวันอาทิตย์จะตามไปพักที่เมืองเย่ว์ตูด้วยระยะหนึ่ง
บ้านที่ชานเมืองสร้างเสร็จแล้ว แต่ยังไม่เคยไปอยู่ จึงอยากไปสร้างกลิ่นอายคนเข้าพักสักหน่อย
พวกมู่เถาเยาเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน คนตระกูลตี้กับพวกมู่หว่านก็มาถึง
ขณะที่กำลังครึกครื้นกันอยู่นั้น ไป๋เฮ่าอวี๋ว่าที่เจ้าบ่าวสุดหล่อกับมู่จิ้งว่าที่เจ้าสาวสุดสวย และยังมีอดีตผู้ใหญ่บ้านกับภรรยา ผู้ใหญ่บ้านกับภรรยา ปู่ย่ากับพ่อแม่ครอบครัวไป๋ พวกเด็กๆ ก็พากันมาถึง
หลังจากทำความรู้จักกันแล้ว หยวนเหยี่ยกับผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลตี้ก็ให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนอย่างเต็มที่เพื่อเตรียมพร้อมมาร่วมงานในวันรุ่งขึ้น
งานแต่งของคนในหมู่บ้านเถาหยวนซานจะเชิญคนทั้งหมู่บ้าน
อาหารการกินทั้งหมดในงานมงคลก็เชิญพ่อครัวที่เก่งที่สุดจากทั้งหมู่บ้านมาช่วยกันทำ ให้คนหนุ่มคนสาวช่วยเสิร์ฟ เก็บจาน ล้างจาน
กลุ่มหนึ่งกินเสร็จ เก็บกวาดเอากับข้าวที่เหลือกลับ เปลี่ยนอีกกลุ่มเข้ามากิน โดยให้นั่งครอบครัวละโต๊ะ
มู่เถาเยาชอบบรรยากาศแบบนี้มาก
วันรุ่งขึ้น ตื่นแต่เช้าสวมเสื้อผ้าสีมงคลไปช่วยงานที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน
เธอทำอาหารไม่เก่ง แต่เรื่องล้างผักล้างชามไม่ใช่งานยาก
จางเฟยมองสาวน้อยที่ขยันขันแข็งเหมือนผึ้งงานด้วยความจนปัญญา อดดึงตัวจูงไปทางบ้านพ่อแม่กับน้องสาวสามีไม่ได้
“เสี่ยวเยาเยา ดูสิคนที่ทำงานอยู่ตรงนี้มีเด็กวัยเดียวกันกับหนูบ้างไหม เสี่ยวหว่าน เสี่ยวเหมียน พวกเด็กสาวไปอยู่ในห้องเจ้าสาวกันหมด”
มู่เถาเยากะพริบตาปริบๆ “หนูทำได้ค่ะ”
จางเฟยอดขำไม่ได้ “ป้ารู้ว่าหนูทำได้ แต่งานจิปาถะพวกนี้ไม่ต้องให้เด็กสาวอย่างพวกหนูทำหรอกจ้ะ รีบไปดูเจ้าสาวกับพวกเสี่ยวหว่าน เสี่ยวเหมียนเสี่ยวอินเถอะนะ”
อวี้อวี๋ สวีเสี่ยวเจิง น่าหลานอวิ๋นไค อวิ๋นหร่านเดินเล่นมาได้ยินเข้าพอดีก็อดขำไม่ได้
สวีเสี่ยวเจิงยิ้มตาโค้ง “เสี่ยวเยาเยา พวกเราไปดูเจ้าสาวกันนะ”
พวกเขาเป็นแขก ถ้าปกติคงไม่เป็นไร แต่เวลาแบบนี้ต้องแยกแขกกับเจ้าบ้าน สวีเสี่ยวเจิงจึงไม่ถามอะไรตามมารยาทอย่าง ‘มีอะไรให้ช่วยไหมคะ’
จางเฟยยิ้มกว้างรีบส่ายมือ “ไปเถอะๆ รีบไปดูเจ้าสาวเร็วเข้า”
มู่เถาเยาจึงถูกลากไปแบบนี้
น่าหลานอวิ๋นหร่านคล้องแขนมู่เถาเยา ถามด้วยความสงสัย “พี่เยาเยาคะ คนที่นี่จัดงานแต่งดูแปลกใหม่ดีนะคะ”
“หมู่บ้านเธอไม่จัดแบบนี้เหรอ” มู่เถาเยาก็ชักแปลกใจ หมู่บ้านชนบทหลายแห่งก็จัดกันประมาณนี้
น่าหลานอวิ๋นหร่านส่ายหน้า “ไม่ค่ะ คนในหมู่บ้านเราอยู่กันกระจัดกระจาย อีกทั้งส่วนใหญ่เป็นคนแก่กับเด็ก พวกหนุ่มสาวเข้าไปทำงานในเมืองกัน หมู่บ้านเราเลยไม่ค่อยได้จัดงานมงคล”
“หมู่บ้านของพวกเธอสวยก็จริง แต่เงียบเกินไป นักท่องเที่ยวไปอยู่ระยะหนึ่งพอไหว แต่อยู่นานเข้าอาจรู้สึกเหงาได้ ใครที่ชอบความครึกครื้นหน่อยก็จะอยู่ไม่ได้นาน”
อวี้อวี๋ยิ้มพูด “ใช่จ้ะ แต่ถ้าชินแล้วก็อยู่ได้นะ ผู้อาวุโสสองคนของบ้านเราไม่ชอบออกไปข้างนอก แต่ไปสุ่ยเซียงครั้งนี้ พอกลับมากลับดูแตกต่างออกไป”
“คนแก่ก็จำเป็นต้องมีคนวัยเดียวกันไว้พูดคุยค่ะ น้าอวี้ น้าเจิงคะ ถ้าท่านผู้เฒ่ากับคุณนายผู้เฒ่ายินดี รับมาพักที่หมู่บ้านเถาหยวนซานได้นะคะ ก็พอดีกับที่ช่วงสองปีนี้คุณอาของหนูคลอดลูก ปู่ย่าคงไม่ค่อยได้มา พวกอาจารย์ของหนูตอนเย็นเลยมีคนคุยด้วยน้อยลง”
แม้สำนักซย่าโหวจะมีคนอยู่ที่นี่ไม่น้อย แต่คนเราแก่ตัวลงก็ย่อมอยากคุยกับคนวัยเดียวกัน
“งั้นพวกเรากลับไปจะคุยกับพวกท่านให้นะ มีผู้อาวุโสซย่าโหวกับหมอเทวดาหยวนอยู่ พวกท่านน่าจะยินดีมา” สวีเสี่ยวเจิงยิ้มกว้าง
น่าหลานอวิ๋นไคที่บุคลิกงามสง่ายิ้มแล้วพูดขึ้น “ชาวหมู่บ้านเถาหยวนซานต่อสู้เป็นกันทุกคน อีกทั้งยังมีห้องสมุด คุณปู่คุณย่ามาอยู่จะต้องมีความสุขแน่ครับ”
อวี้อวี๋อมยิ้ม “เสี่ยวเยาเยา ขอบใจหนูมากนะจ๊ะ”
มู่เถาเยายิ้มพลางส่ายมือ “การได้พบกันคือวาสนา แต่ความสัมพันธ์เกิดจากเราสร้าง คนเราให้อะไรก็จะได้แบบนั้นค่ะ”
สวีเสี่ยวเจิงยิ้มเห็นด้วย “เสี่ยวเยาเยาอายุเท่านี้แต่กลับมองโลกได้ทะลุปรุโปร่ง หาได้ยากจริงๆ !”
อวี้อวี๋พยักหน้า “เป็นเพราะหมอเทวดาหยวนกับผู้อาวุโสซย่าโหวสอนมาดี! ถ้าเสี่ยวเยาเยาเติบโตมาในตระกูลเย่ว์อาจไม่ใช่แบบนี้ แน่ล่ะว่าต้องได้ดีเหมือนกัน เพียงแต่จะแตกต่างออกไป”
มู่เถาเยายิ้มมุมปากเล็กน้อย “แต่ละครอบครัวเลี้ยงลูกออกมาได้ไม่เหมือนกัน ดูอย่างตระกูลน่าหลาน ลูกๆ แต่ละคนมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป แต่กลับสุภาพอ่อนโยนเหมือนกันหมด ใครอยู่ด้วยก็สบายใจค่ะ”
ตระกูลน่าหลาน ตระกูลตี้อู่ หรือแม้กระทั่งตระกูลจั่วต่างมีผูกมิตรกันอยู่บ้าง แสดงให้เห็นว่าเป็นตระกูลที่รู้จักวางตัว ไม่ใช่แค่เพราะพวกเขาทำแต่เรื่องที่เป็นกุศลเท่านั้น
เศรษฐีคนมีหน้ามีตาหลายคนชอบทำการกุศล แต่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นที่น่าประทับใจแบบตระกูลน่าหลาน
ความอ่อนโยนของตระกูลน่าหลานได้แทรกซึมเข้าไปอยู่ในเลือดเนื้อของพวกเขา
Comments