เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 359 การตัดสินใจของชวี่เหวินเซี่ย
ตอนที่ 359 การตัดสินใจของชวี่เหวินเซี่ย
หลังจากนั่งลง
เย่ฉางชิงก็เริ่มสัมผัสปราณวิญญาณธาตุต่าง ๆ โดยรอบใหม่อีกครั้ง
มินานปราณวิญญาณฟ้าดินทั่วทั้งเขาด้านหลัง ก็เกิดการแปรปรวนอย่างรุนแรงขึ้น
ขณะเดียวกันเย่ฉางชิงก็ค่อย ๆ นำปราณวิญญาณเข้าสู่ร่าง ตามคำแนะนำบนตำราคู่มือการบำเพ็ญเพียรโดยมิลังเล
เวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
ปราณวิญญาณธาตุต่าง ๆ รอบกายก็เกิดการแปรปรวน ก่อนจะไหลเข้าสู่ภายในร่างของเขา ตามจังหวะการหายใจของเย่ฉางชิง
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวอันน่าสะพรึงกลัวรอบกาย
หลี่ซิวหยวนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ริมหน้าผา และหันหลังให้กับเย่ฉางชิงพลันก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
เมื่อเขาหันไปมองเย่ฉางชิงที่นั่งอยู่มิไกลอีกครั้ง
วินาทีต่อมา ร่างทั้งร่างก็ต้องแข็งค้างราวกับหินก็มิปาน
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มันดูน่ากลัวเกินไปแล้วกระมัง ! ’
‘ศิษย์น้องเย่เพียงแค่กำหนดลมปราณในร่างกายจริงหรือ ? ’
‘ทว่านี่มันเป็นการดูดกลืนปราณวิญญาณฟ้าดินที่บริเวณเขาด้านหลังจนหมดเกลี้ยงเลยต่างหากเล่า ! ’
‘และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าปราณวิญญาณฟ้าดินทั่วทั้งเขาอวิ๋นชาง จะต้องถูกดูดกลืนไปจนหมดอย่างแน่นอน ! ’
‘ข้าควรจะทำเช่นไรดี ? ’
หลังจากได้สติ
หลี่ซิวหยวนก็รีบลุกขึ้นและจากไปทันที
จนเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
เมื่อหลี่ซิวหยวนปรากฏตัวขึ้น ณ สำนักชิงหยาง
เนื่องจากการกำหนดลมปราณของเย่ฉางชิง ทำให้ปราณวิญญาณฟ้าดินของสำนักชิงหยางได้รับผลกระทบไปด้วย
“ศิษย์น้องเย่ผู้นี้ช่างเก่งกาจจนมิอาจคาดเดาได้จริง ๆ เพียงแค่กำหนดลมปราณในร่าง ก็สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงได้ถึงเพียงนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ”
หลี่ซิวหยวนหันไปทางเขาด้านหลังอีกครั้ง ก่อนจะทอดถอนใจออกมาอย่างห้ามมิได้ “ผู้ที่เก่งกาจเช่นนี้ เกรงว่าคงมีเพียงสำนักเซียนอย่างนิกายกระบี่สวรรค์เท่านั้นกระมัง ที่จะสามารถสอนเขาได้ ! ”
เอ่ยเพียงเท่านั้นหลี่ซิวหยวนก็ต้องถอนหายใจอีกครั้งอย่างจนปัญญา ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังที่พักของนักพรตชิงอวิ๋นต่อ
มินานเมื่อหลี่ซิวหยวนมาถึงที่พักของนักพรตชิงอวิ๋น
ก็พบว่าบรรดาศิษย์น้องที่เหลือ ต่างก็ได้ยืนล้อมด้านหน้าของนักพรตชิงอวิ๋นอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาแต่ละคนต่างทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ท่าทางมิพอใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่ากำลังร้องทุกข์กันอยู่
“อาจารย์ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ปราณวิญญาณฟ้าดินแปรปรวนเช่นนี้ พวกเรามิสามารถบำเพ็ญเพียรได้เลย ! ”
“หนักกว่านั้นอีก ! ”
“เมื่อครู่ข้ากำลังกลั่นโอสถบำรุงปราณอยู่ ทว่าเมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญ ปราณวิญญาณฟ้าดินกลับแปรปรวน จนทำให้เตาหลอมยาถึงกับระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ ! ”
“เจ้าแค่เตาหลอมยาระเบิด ข้านี่สิกำลังจะทะลวงระดับย่อยอยู่แล้ว ทว่าเพราะปราณวิญญาณฟ้าดินเกิดแปรปรวนขึ้นมา จนข้าเกือบจะธาตุไฟเข้าแทรกไปแล้ว ! ”
“อาจารย์ ท่านต้องให้คำอธิบายแก่ข้านะขอรับ มิเช่นนั้นพวกเราจะมิไปไหนทั้งนั้น”
“……”
“……”
เมื่อบรรดาศิษย์ทุกคนต่างมาร้องทุกข์เช่นนี้ ทว่าสีหน้าของนักพรตชิงอวิ๋นกลับยังคงเรียบนิ่ง เขาเพียงแค่กวาดสายตามองศิษย์ของตัวเองอย่างเงียบ ๆ
เห็นได้ชัดว่าเขารู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าการที่ปราณวิญญาณฟ้าดินแปรปรวนเช่นนี้ เป็นเพราะการบำเพ็ญเพียรของเย่ฉางชิง
และการที่สามารถทำให้ฟ้าดินเกิดการแปรปรวนเช่นนี้ได้
ก็พอจะอธิบายได้แล้วว่า คุณสมบัติการฝึกเซียนของเย่ฉางชิงนั้น แท้จริงแล้วน่ากลัวเพียงใด !
เช่นนี้แล้วขอเพียงอีกครึ่งปี เมื่อเย่ฉางชิงเข้าร่วมการคัดเลือกของนิกายกระบี่สวรรค์ ถึงตอนนั้นเขาจะต้องได้เข้าเป็นศิษย์สายในอย่างแน่นอน
ส่วนสำนักชิงหยางก็จะสามารถอาศัยความสัมพันธ์ในครั้งนี้ ในการเลื่อนระดับได้อีกด้วย
อีกทั้งคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ภายภาคหน้าอาจได้เป็นถึงศิษย์สายสืบทอด ของผู้อาวุโสท่านใดท่านหนึ่งก็เป็นได้
หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ นักพรตชิงอวิ๋นก็โบกมือเบา ๆ พลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนว่า “พวกเจ้ามิต้องใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้หรอก และอาจารย์กล้ารับปากพวกเจ้าทุกคนว่า”
“ขอเพียงอีกครึ่งปีสำนักชิงหยางของเราได้เลื่อนขั้น เมื่อนั้นก็จะมีทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรให้พวกเจ้าใช้อย่างมิจำกัดแน่นอน”
สิ้นเสียง หลี่ซิวหยวนก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“อาจารย์”
หลี่ซิวหยวนประสานมือคารวะนักพรตชิงอวิ๋นเล็กน้อย
ทั้งสองสบตากับนิ่ง ๆ
นักพรตชิงอวิ๋นจึงส่งกระแสจิตไปถามว่า “ซิวหยวน การแปรปรวนของปราณวิญญาณฟ้าดิน เกี่ยวข้องกับฉางชิงใช่หรือไม่ ? ”
หลี่ซิวหยวนชำเลืองมองคนที่อยู่โดยรอบเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับน้อย ๆ
ตอนนั้นเอง
“อาจารย์ ท่านมิต้องโกหกพวกเราแล้ว”
ลู่ซานหยางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย อดมิได้ที่จะเอ่ยออกมาว่า “การที่สำนักชิงหยางของเราต้องการจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นสำนักอันดับสาม ใช่เรื่องง่ายที่ไหนกัน”
“คุณสมบัติของศิษย์พี่รองสูงที่สุดในบรรดาพวกเราก็จริง แต่ท่านเคยบอกไว้ตั้งนานแล้วว่า ศิษย์พี่รองจะมิเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์”
เอ่ยถึงตรงนี้ ลู่ซานหยางก็เหลือบมองหลี่ซิวหยวนเล็กน้อย “ศิษย์พี่ใหญ่แม้จะได้รับวาสนาคราใหญ่มาก็จริง ทว่าเงื่อนไขในการเข้านิกายกระบี่สวรรค์นั้นเคร่งครัดอย่างมาก ศิษย์พี่ใหญ่เองก็อาจจะมิผ่านการทดสอบก็ได้”
“ยังมีศิษย์น้องเล็กอีกคน แม้ท่านจะบอกว่าเขามีคุณสมบัติที่โดดเด่น แต่เยี่ยงไรเสียเขาก็เพิ่งเริ่มบำเพ็ญเพียรเท่านั้น และอีกครึ่งปีก็ต้องเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์แล้ว เช่นนั้นอาจจะมิผ่านก็เป็นได้”
ศิษย์คนที่ห้าฉีชางหยวน ก็ได้เอ่ยเสริมขึ้นว่า “อาจารย์ ที่ศิษย์พี่ลู่กล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นนักพรตชิงอวิ๋นและชวี่เหวินเซี่ยที่อยู่ข้าง ๆ ก็หันไปสบตากัน ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ
“ในเมื่อพวกเจ้ากล่าวถึงขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นวันนี้อาจารย์ก็จะบอกความจริงให้พวกเจ้ารู้ก็แล้วกัน”
นักพรตชิงอวิ๋นกวาดตามองศิษย์ทุกคนด้วยท่าทางจริงจัง พลางลูบหนวดของตัวเอง ไปด้วย “ความจริงแล้วเหตุที่ปราณวิญญาณฟ้าดินแปรปรวนเช่นนี้ ล้วนมีสาเหตุมาจากการที่ฉางชิงเริ่มบำเพ็ญเพียรทั้งสิ้น”
“และที่อาจารย์พูดมาหมายความเยี่ยงไรนั้น คิดว่าคงมิต้องให้อาจารย์อธิบายหรอกกระมัง ? ”
เมื่อเอ่ยจบ ทันใดนั้นนอกจากนักพรตชิงอวิ๋น ชวี่เหวินเซี่ย และหลี่ซิวหยวนแล้ว
คนที่เหลือพลันดวงตาถึงกับเบิกโพลง ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
‘อะไรนะ ! ’
‘สาเหตุที่ปราณวิญญาณทั่วทั้งสำนักชิงหยางแปรปรวน เป็นเพราะศิษย์น้องเล็กที่กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ด้านหลังเขาเยี่ยงนั้นหรือ’
‘แต่ศิษย์น้องเล็กผู้นั้นเพิ่งจะเริ่มบำเพ็ญเพียรเองนะ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่ยังเป็นเรื่องที่คนทั่วไปทำกันเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘นี่มันเรื่องเหนือธรรมชาติชัด ๆ ! ’
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
“อาจารย์ ท่านอย่ามาหลอกพวกเราหน่อยเลย”
ศิษย์คนที่เก้าจื่อเหยากระพริบตาปริบ ๆ และเอ่ยอย่างมิอยากจะเชื่อว่า “คุณสมบัติการฝึกเซียนของศิษย์น้องเล็ก น่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ ? ”
ได้ยินเช่นนั้น คนที่เหลือต่างก็ทำสีหน้าสงสัยใคร่รู้ไปตาม ๆ กัน
ใช่แล้ว !
หากเป็นเช่นนั้นจริง
พวกเขาเองก็รู้สึกแปลกใจมิน้อยเช่นกัน
ยอดอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติอันน่าตกตะลึงเพียงนี้ เหตุใดถึงเลือกเป็นศิษย์สำนักระดับเก้าอย่างสำนักชิงหยางด้วยเล่า ?
หรือว่าสวรรค์เห็นใจสำนักชิงหยางของพวกเขางั้นหรือ ?
นักพรตชิงอวิ๋นมิได้พูดสิ่งใดอีก เพียงแค่หันไปมองชวี่เหวินเซี่ยเท่านั้น
จากนั้นมุมปากชวี่เหวินเซี่ยก็กระตุกเล็กน้อย พลางกวาดตามองทุกคน “คุณสมบัติของศิษย์น้องเย่มิใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะสามารถคาดเดาได้จริง ๆ เช่นนั้นพวกเจ้ากลับไปที่พักของตัวเองเสียเถอะ”
“และหากมิมีสิ่งใดผิดพลาด วันนี้เขาเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น และนับจากนี้ไปก็จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก และอาจทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย”
พวกลู่ซานหยางสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะพากันแยกย้ายกลับไป
คำพูดของนักพรตชิงอวิ๋นแม้จะมิน่าเชื่อถือ แต่คำพูดของศิษย์พี่รองนั้นพวกเขาจำต้องเชื่อฟัง
ที่สำคัญก็คือหากศิษย์พี่รองผู้นี้เกิดโมโหขึ้นมา อาจจะลงมืออย่างมิลังเลก็เป็นได้
เวลาผ่านไปอีกครึ่งก้านธูป
หลังจากพวกลู่ซานหยางกลับไปหมดแล้ว
นักพรตชิงอวิ๋นก็หันไปมองชวี่เหวินเซี่ย พลางเอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “เหวินเซี่ย ตอนนี้ดูท่าพวกเราคงต้องหาวิธีหาทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรมาให้ฉางชิงซะแล้ว”
ชวี่เหวินเซี่ยเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
หลักจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เพ่งสมาธิ จากนั้นก็หยิบป้ายสีม่วงทองชิ้นหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ ก่อนจะโยนให้กับนักพรตชิงอวิ๋น
“ตาเฒ่าชิงอวิ๋น เจ้าฟังข้าให้ดี”
ชวี่เหวินเซี่ยเอ่ยเสียงเรียบ “นับจากนี้ต่อไป พวกเรามิมีอะไรติดค้างต่อกันอีก”
“อีกอย่างข้าได้ตัดสินใจแล้วว่า อีกครึ่งปีข้าจะเข้าร่วมการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์”
นักพรตชิงอวิ๋นจึงฉีกยิ้มออกมาทันที “ขอเพียงเจ้าเข้าร่วมการทดสอบในนามของสำนักชิงหยาง เรื่องนี้มิใช่ปัญหา”
ชวี่เหวินเซี่ยกลอกตาอย่างเอือมระอา พร้อมหมุนกายจากไปทันที
Comments