เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 360 ศิษย์น้องเย่จะเป็นบุคคลที่ไร้เทียมทานเช่นนั้นหรือไม่
ตอนที่ 360 ศิษย์น้องเย่จะเป็นบุคคลที่ไร้เทียมทานเช่นนั้นหรือไม่
หลังเฝ้ามองจนชวี่เหวินเซี่ยหายลับตาไปแล้ว
หลี่ซิวหยวนก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางมองป้ายสีม่วงทองในมือของนักพรตชิงอวิ๋น ก่อนจะถามขึ้นอย่างสงสัยว่า
“อาจารย์ ป้ายสีม่วงนี้มีที่มาเช่นไรหรือขอรับ ดูมิธรรมดาเลย ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นนิ่งไปสักพัก พลางเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “ป้ายสีม่วงนี้… คงจะเป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะอย่างหนึ่งกระมัง”
“คงจะ ? ”
หลี่ซิวหยวนจึงถามต่ออีกว่า “อาจารย์ หรือว่าแม้แต่ท่านก็ยังมิทราบที่มาของศิษย์น้องชวี่หรือขอรับ ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นลูบหนวดสีขาวโพลนของตัวเองเบา ๆ และมิได้ตอบถามของหลี่ซิวหยวนตรง ๆ
พลางหันไปมองยังทิศทางที่ชวี่เหวินเซี่ยเดินจากไปอีกครั้ง
ต้องบอกว่าแท้จริงแล้วชวี่เหวินเซี่ยมีฐานะเช่นไรนั้น
เขาผู้เป็นอาจารย์เองก็ยังมิทราบเช่นกัน
จำได้ว่า…
ปีนั้น
ในคืนที่มืดมิดและลมกระโชกแรง
จู่ ๆ ผู้แข็งแกร่งสวมอาภรณ์สีดำลึกลับผู้หนึ่ง ก็ได้พาชวี่เหวินเซี่ยมายังสำนักชิงหยาง
ตอนนั้นสำนักชิงหยางเองก็เรียกได้ว่าถึงขั้นจนตรอกก็ว่าได้
แต่โชคดีที่ได้ชวี่เหวินเซี่ยมาเข้าร่วม จึงทำให้สำนักชิงหยางยังอยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้
และในค่ำคืนนั้นผู้แข็งแกร่งลึกลับยังได้บอกนักพรตชิงอวิ๋นด้วยว่า
ขอเพียงให้ชวี่เหวินเซี่ยบำเพ็ญเพียรอยู่ที่สำนักชิงหยาง เขาจะช่วยฟื้นฟูค่ายกลป้องภูผาของสำนักชิงหยางที่ใช้การมิได้มานับร้อยปีให้
และยังได้มอบศิลาวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อน รวมถึงยารวมจิตอันล้ำค่าเม็ดหนึ่งให้แก่สำนักชิงหยางอีกด้วย
ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้
นักพรตชิงอวิ๋นย่อมตอบรับโดยมิลังเลใด ๆ อยู่แล้ว
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดเขาถึงปล่อยให้ชวี่เหวินเซี่ยผู้ปากร้าย พูดจากระแนะกระแหนเขาตลอดเวลา ส่วนเขากลับมิโกรธนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ส่วนที่มาของชวี่เหวินเซี่ยนั้น
เขารู้ดีว่ามิใช่สิ่งที่เขาจะคาดเดาได้ และมิมีสิทธิ์ที่จะรู้อีกด้วย
หรือต่อให้รู้ก็อาจจะมิมีประโยชน์ใด ๆ มิหนำซ้ำยังอาจเป็นภัยต่อตัวเขาและสำนักชิงหยางเสียด้วยซ้ำ
ตอนนั้นเอง หลี่ซิวหยวนก็ยังคงถามต่ออย่างมิลดละ “อาจารย์ ข้าถามท่านอยู่นะขอรับ ! ”
หลังจากได้สตินักพรตชิงอวิ๋นก็ได้เปลี่ยนเรื่องทันที “ซิวหยวน ช่วงนี้อาจารย์จะต้องไปที่เมืองหลานซี เรื่องน้อยใหญ่ในสำนักชิงหยางคงต้องฝากเจ้าช่วยดูแลด้วยก็แล้วกันนะ”
หลี่ซิวหยวนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับคำสั่ง
หลังจากหลี่ซิวหยวนเอ่ยลานักพรตชิงอวิ๋นแล้ว ก็ได้กลับไปที่เขาด้านหลังอีกครั้ง
เมื่อมาถึงเขาด้านหลัง
เย่ฉางชิงที่ได้รออยู่นานก็รีบเดินเข้ามาหาทันที
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าสามารถดูดซับปราณวิญญาณธาตุต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายได้สำเร็จแล้วขอรับ”
จากนั้นเย่ฉางชิงก็ได้เอ่ยถามอย่างเป็นกังวลว่า “หลังจากนี้ มีสิ่งใดที่ข้าต้องระวังเป็นพิเศษหรือไม่ขอรับ ? ”
หลี่ซิวหยวนเอามือไพล่หลัง ใบหน้ายังคงเรียบนิ่ง
หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่
“ในเมื่อกำหนดปราณในร่างกายได้แล้ว ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ลองสร้างรากฐานปราณดู”
หลี่ซิวหยวนแสร้งทำเป็นพูดเกินจริงว่า “แต่ศิษย์น้องเย่ เวลาสร้างรากฐานปราณนั้น เจ้าต้องระวังเป็นพิเศษด้วยล่ะ เพราะต้องคอยควบคุมให้อยู่ในระดับที่พอดี”
“หากปราณวิญญาณที่ขัดเกลานั้นมีมากเกินไป และใช้เคล็ดวิชาขจัดออกไปมิทันจะทำให้เส้นลมปราณอุดตัน ถึงขนาดทำให้ร่างของเราระเบิดออกและตายได้”
“มิหนำซ้ำตัวเจ้านั้นยังจะต้องขัดเกลาปราณวิญญาณทุกธาตุ ซึ่งพิเศษกว่าคนอื่น ๆ เช่นนั้นขั้นตอนนี้ยิ่งต้องระมัดระวังให้มาก”
ได้ยินเช่นนั้น เย่ฉางชิงก็นิ่งไป ก่อนจะพยักหน้ารับรู้
“ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่ขอรับ”
“เจ้าทำไปเถอะ ข้าจะนั่งอยู่ตรงนี้หากเกิดอะไรขึ้น ศิษย์พี่จะคอยเตือนเจ้าเอง”
สิ้นเสียงเย่ฉางชิงก็กลับไปนั่งอีกครั้ง
ทว่าผ่านไปมิกี่อึดใจ
หลังจากเย่ฉางชิงเริ่มขัดเกลาปราณวิญญาณธาตุต่าง ๆ
ทันใดนั้น ทั่วทั้งเขาด้านหลังก็เกิดลมกระโชกแรง ปราณวิญญาณธาตุต่าง ๆ แทบระระเบิดออกภายในพริบตา
ขณะที่เย่ฉางชิงนั้นดูราวกับภูผาที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น เพื่อคอยดูดปราณวิญญาณธาตุต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายอย่างบ้าคลั่ง
เวลานี้มิเพียงแต่เขาด้านหลังเท่านั้น แต่ปราณวิญญาณฟ้าดินทั่วทั้งเขาอวิ๋นชางก็ล้วนปะทุขึ้นมา ก่อนจะพุ่งตรงไปยังด้านหลังเขาราวกับสายน้ำ
ขณะเดียวกัน แม้พวกศิษย์สำนักชิงหยางจะรู้สึกโกรธเคืองมากเพียงใด แต่เพราะเห็นแก่หน้าของศิษย์พี่รองชวี่เหวินเซี่ย พวกเขาจึงทำได้เพียงเก็บอาการนั้นไว้และมิมีใครกล้าพูดออกมา
และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมิสามารถบำเพ็ญเพียรได้ ศิษย์น้องเก้าจื่อเหยาจึงถูกพวกเขาเกลี้ยกล่อมให้ไปยังที่พักของชวี่เหวินเซี่ย เพื่อสืบเรื่องของศิษย์น้องเย่ผู้นี้
มินานจื่อเหยาก็มาถึงเรือนของชวี่เหวินเซี่ย
“จื่อเหยา พวกเศษสวะนั่นให้เจ้ามาหาข้างั้นหรือ ? ”
เนื่องจากมิสามารถบำเพ็ญเพียรได้ ชวี่เหวินเซี่ยที่นั่งกอดน้ำเต้าใส่สุราอยู่หน้าประตู จึงได้เอ่ยถามขึ้น
จื่อเหยานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ พยักหน้ารับ
มุมปากของชวี่เหวินเซี่ยปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา พลางถามต่อว่า “พวกเขาอยากรู้อะไรงั้นหรือ ? ”
จื่อเหยาชำเลืองมองชวี่เหวินเซี่ยเล็กน้อย ก่อนจะเดินมาข้างกายของชวี่เหวินเซี่ยและค่อย ๆ นั่งลง
“จริงสิ ศิษย์พี่ชวี่”
ดวงตาดำขลับของจื่อเหยาเป็นประกายขึ้นมา พร้อมกับเอ่ยถามด้วยใบหน้าใสซื่อว่า “ท่านมีเคล็ดวิชาลับอะไร ที่สามารถอ่านใจคนได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
ชวี่เหวินเซี่ยหัวเราะออกมาอย่างขำขัน พร้อมกับยื่นมือไปจิ้มที่หน้าผากของจื่อเหยาเบา ๆ ก่อนจะถามกลับว่า “เจ้าเศษสวะพวกนั้นวัน ๆ คิดได้แค่นี้ จะต้องใช้เคล็ดวิชาลับอะไรกันเล่า ? ”
จื่อเหยานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเห็นด้วย
“ศิษย์พี่ชวี่ ดูเหมือนว่าปราณวิญญาณทั่วทั้งเขาอวิ๋นชางจะเกิดการระเบิดขึ้น หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับศิษย์น้องเย่จริง ๆ หรือเจ้าคะ ? ”
จื่อเหยาเอ่ยถามขึ้นหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ชวี่เหวินเซี่ยยกสุราขึ้นดื่มอีกหนึ่งอึก แล้วจึงหันไปมองจื่อเหยา พลางเอ่ยถามว่า “เด็กน้อย ความเก่งกาจของศิษย์น้องเย่ผู้นั้น หาใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถคาดเดาได้”
“จริงสิ ศิษย์พี่ชวี่ ศิษย์พี่ลู่เคยมอบตำราโบราณของโลกมนุษย์ให้ข้าเล่มหนึ่ง”
จื่อเหยาพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสซื่อว่า “ในตำราเล่มนั้นได้บันทึกเอาไว้ว่าบุคคลไร้เทียมทานบางคน หลังจากบรรลุถึงระดับหนึ่งแล้ว มักจะรู้สึกเบื่อหน่ายเลยผนึกตบะบารมี และความทรงจำของตัวเองเอาไว้ จากนั้นก็ลงไปฝึกวิชาในโลกมนุษย์อีกครั้ง”
“ท่านว่า… ศิษย์น้องเย่ จะเป็นบุคคลที่ไร้เทียมทานเช่นนั้นหรือไม่เจ้าคะ ? ”
สิ้นเสียง ชวี่เหวินเซี่ยก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีอย่างอดมิได้ และเผยสีหน้าลังเลออกมา
“สิ่งที่เจ้าพูดมา มีความเป็นไปได้ที่ศิษย์น้องเย่อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้”
ชวี่เหวินเซี่ยแสร้งพูดด้วยท่าทางจริงจัง
ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าที่ยังดูอ่อนเยาว์ของจื่อเหยาก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก พลางกลืนน้ำลายลงคอทันที
หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ จื่อเหยาก็เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ด้วยดวงตาที่เป็นประกายว่า “ศิษย์พี่ชวี่ ตำราโบราณเล่มนั้นยังบันทึกไว้อีกว่า บนกายของบุคคลที่ไร้เทียมทานเช่นนี้จะแผ่ไอเซียนออกมา ขอเพียงสูดเข้าไปหนึ่งครา ก็จะเท่ากับได้รับโอกาสและวาสนาเลยนะเจ้าคะ”
เอ่ยถึงตรงนี้ จื่อเหยาก็เหมือนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“ศิษย์พี่ชวี่ ข้าคิดออกแล้ว”
จื่อเหยาเอ่ยด้วยความดีใจว่า “ที่ศิษย์พี่ใหญ่ได้รับวาสนามา อาจเป็นเพราะว่าตอนที่ศิษย์น้องเย่บำเพ็ญเพียรอยู่ ได้แผ่ไอเซียนออกมาโดยมิรู้ตัว และบังเอิญศิษย์ว่าพี่ใหญ่ก็ได้สูดเข้าไปพอดี”
ชวี่เหวินเซี่ย : “……”
ตอนนั้นเอง จื่อเหยาก็ลุกขึ้นยืน พลางประสานมือคาราวะ “ศิษย์พี่ชวี่ ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
หลังจากมองตามแผ่นของจื่อเหยาที่เดินจากไปแล้ว
มุมปากของชวี่เหวินเซี่ยก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ก่อนจะเผยท่าทางที่มีเลศนัยออกมา
เด็กน้อยใสซื่อผู้นี้ ช่างมีความคิดที่เพ้อฝันยิ่งนัก
บุคคลที่ไร้เทียมทานผนึกความทรงจำและตบะบารมี ลงไปท่องโลกมนุษย์
สุดท้ายกลับบังเอิญได้ขึ้นมาอยู่ในสำนักระดับเก้าเนี่ยนะ
แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ในความคิดของชวี่เหวินเซี่ย มิมีทางเป็นไปได้เด็ดขาด
เพราะการฝึกเซียนเป็นขั้นตอนที่ยาวนานและเต็มไปด้วยความยากลำบาก
ยิ่งการบำเพ็ญเพียรในช่วงท้าย ระยะเวลาก็ยิ่งยาวนานขึ้น
อีกทั้งหนทางการบำเพ็ญเพียรก็จะยากลำบากมากยิ่งขึ้น หากมิระวังอาจทำให้ดับสูญไปตลอดกาล
เช่นนั้นผู้ฝึกเซียนมากมายเมื่อบำเพ็ญเพียรถึงช่วงท้ายแล้ว มักจะตัดความรู้สึกหรือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ออกไป
หมายความว่าเมื่อบำเพ็ญเพียรจนถึงช่วงท้าย ผู้ฝึกเซียนส่วนใหญ่จึงมักจะมีนิสัยเย็นชาลง จนถึงขั้นเลือดเย็นก็ว่าได้
เพื่อโอกาสและวาสนา พวกเขามิสนใจว่าจะต้องสังหารสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งเมือง หรือจะมีผู้คนล้มตายมากเพียงใด
ถึงขนาดลงมือกับคนข้างกายได้ โดยมิมีความลังเลแม้แต่นิดเดียว
ซึ่งชวี่เหวินเซี่ยเองก็เคยประสบกับเรื่องเช่นนี้มาแล้ว
มิเช่นนั้นนางจะมาปรากฏตัวอยู่ที่หลิงโจว ในสำนักระดับเก้าอย่างสำนักชิงหยางได้เยี่ยงไร ?
ทว่าหลังจากที่จื่อเหยากลับไปแล้ว
เชื่อว่าศิษย์น้องเหล่านั้น จะต้องเลื่อมใสศรัทธาศิษย์น้องเย่ ราวกับเทพเซียนเป็นแน่
และคงจะมิเกิดความรู้สึกมิพอใจ ในการบำเพ็ญเพียรของศิษย์น้องเย่ผู้นี้อีก
คิดได้เช่นนั้น ชวี่เหวินเซี่ยก็ค่อย ๆ เอ่ยกับตัวเองว่า “ตอนนี้ดูท่าคงถึงเวลาทำความรู้จักกับศิษย์น้องเล็กผู้นี้อย่างเป็นทางการเสียแล้ว”
Comments