เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 364 ข้าเก่งกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

Now you are reading เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน Chapter 364 ข้าเก่งกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 364 ข้าเก่งกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

เวลาเดียวกันนี้เอง จู่ ๆ เย่ฉางชิงก็แบมือข้างหนึ่งออก

คำพูดของฉีชางหยวนเมื่อครู่ ดังก้องอยู่ในโสตประสาทของเขามิหยุด

เขาจึงเหมือนตกอยู่ในภวังค์อะไรบางอย่างอีกครั้ง

วิถีโอสถก็คือการสกัดแก่นแท้ของสมุนไพรวิเศษ โดยใช้เปลวไฟอันลุกโชน หลอมรวมออกมาเป็นสุดยอดโอสถ

ส่วนระดับสูงสุดของวิถีโอสถนั้น ก็คือการที่ไฟหลอมยาอยู่ในใจ เพียงแค่คิดก็สามารถรวบรวมจิตวิญญาณฟ้าดินต่าง ๆ มาอยู่ในมือ จากนั้นก็ใช้ไฟหลอมโอสถที่ไร้รูปร่าง หลอมออกมาเป็นโอสถขั้นสุดยอดที่จับต้องได้…

ขณะเดียวกันฝ่ามือข้างที่เขาแบอยู่ จู่ ๆ ก็เกิดพายุหมุนขึ้น

พายุหมุนมีขนาดมิใหญ่มากนัก ทว่ากลับหมุนด้วยความเร็วสูง จนทำให้ปราณวิญญาณฟ้าดินบริเวณนั้น เกิดการระเบิดขึ้นอีกครั้ง

มิกี่อึดใจต่อมา

ตรงใจกลางของพายุหมุนก็ก่อเกิดเป็นมุกหยกเนื้อใสเม็ดหนึ่งขึ้นอย่างคาดมิถึง อีกทั้งยังส่งกลิ่นหอมที่ซึมซาบเข้าสู่จิตใจคนอีกด้วย

เมื่อได้เห็นภาพที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้

ฉีชางหยวนถึงกับตกตะลึงจนตาค้างไปในทันที

‘ศิษย์น้องเย่กำลังทำอะไรอยู่กันแน่’

‘นั่นมันวิถีโอสถระดับสูงสุด ที่ข้าพูดขึ้นมาอย่างมั่วซั่วเมื่อครู่นี้นี่นา ! ’

‘แต่ที่สำคัญมันสามารถทำได้จริง ๆ ด้วย’

ฉีชางหยวนกลืนน้ำลายลงคออย่างอดมิได้ พร้อมกับเหลือบไปมองเย่ฉางชิง

‘ศิษย์น้องเย่ เหตุใดเจ้าต้องทำกับข้าถึงเพียงนี้ด้วย ! ’

‘ข้าสาบานได้ว่า’

‘เมื่อครู่สิ่งที่พูดออกไป ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าคิดเองเออเองขึ้นมาทั้งสิ้น’

‘ข้าบำเพ็ญเพียรวิถีโอสถมาหลายปี แม้แต่การหลอมโอสถขั้นหนึ่ง ยังแทบจะทำมิได้เลยด้วยซ้ำ’

‘แล้วเช่นนี้ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าวิถีโอสถนั้นคืออะไร’

ฉีชางหยวนจ้องเขม็งไปที่เย่ฉางชิง

ทว่าเย่ฉางชิงกลับจมดิ่งอยู่ในภวังค์บางอย่าง

ขณะที่มิทันรู้ตัวนั้น

“ครื้น ! ”

หลังจากเสียงฟ้าร้องดังขึ้น

ในที่สุดเย่ฉางชิงก็ตื่นขึ้นจากภวังค์

แต่มิรู้เพราะเหตุใดตอนนี้ในมือของเขา กลับมีมุกหยกเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเม็ด

มิใช่สิ !

พูดให้ถูกก็คือ

นี่คือโอสถวิเศษเม็ดหนึ่งต่างหาก

ลวดลายมากมายบนโอสถดูซับซ้อนและโบราณ มีแสงหลากสีสันลอยวนและมีไอพลังบางอย่างไหลเวียนอยู่บางเบา ทั้งยังมีสายฟ้าเปล่งแสงวูบวาบขึ้นมาด้วย

ขณะเดียวกันกลิ่นหอมที่ทำให้คนเคลิบเคลิ้มกลิ่นหนึ่งก็ลอยมาเตะจมูก

เมื่อเห็นโอสถพิสดารที่อยู่ในมือเม็ดนี้

ใบหน้าของเย่ฉางชิง พลันเต็มไปด้วยความงุนงง

‘มุกลึกลับเม็ดนี้มันคืออะไรกัน ? ’

‘หรือระหว่างที่ข้าตกอยู่ในภวังค์อันลึกลับนั่น ก็เกิดหลอมโอสถออกมาได้เองเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘หากนี่คือเรื่องจริง’

‘ก็หมายความว่าข้าสามารถบรรลุจนถึงระดับสูงสุดของวิถีโอสถแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘มิใช่หรอกกระมัง ! ’

‘เป็นไปมิได้เด็ดขาด ! ’

‘ข้าเก่งกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ? ’

ขณะที่เย่ฉางชิงลอบตื่นเต้นและยินดีอยู่ภายในใจนั้น เขาก็เพิ่งสังเกตเห็นฉีชางหยวนที่ยืนหันหลังให้เขา ราวกับศิษย์พี่ใหญ่หลี่ซิวหยวนมิผิดเพี้ยน

“ศิษย์พี่ฉี เช่นนี้นับว่าข้าหลอมโอสถสำเร็จแล้วใช่หรือไม่ขอรับ ? ”

เย่ฉางชิงมองไปยังฉีชางหยวน พร้อมกับเอ่ยถามขึ้น

ทว่าหลังจากเย่ฉางชิงเอ่ยจบแล้ว ฉีชางหยวนก็ยังคงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่ง ๆ เช่นเดิม

แน่นอนว่าเวลานี้มิใช่ว่าฉีชางหยวนมิอยากจะตอบคำถามของเย่ฉางชิง ทว่าเขาที่มีใบหน้าซีดเผือดและเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกนั้น ยังมิได้สติ

เพราะเมื่อครู่นี้ห้วงอากาศด้านบนศีรษะของเย่ฉางชิง ได้เกิดรอยแยกเป็นทางยาวหลายจั้งขึ้นสายหนึ่ง

จากนั้นสายฟ้าที่เต็มไปด้วยด้วยพลังทำลายล้างอันน่ากลัวสายหนึ่ง ก็แลบแปลบปลาบออกมาจากรอยแยกกลางอากาศนั้น

ทันใดนั้นพลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวจำนวนมหาศาลกลุ่มหนึ่ง พลันเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ ราวกับจะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างจนสิ้น

และในวินาทีนั้นเอง ฉีชางหยวนที่มีตบะบารมีต่ำต้อยและเป็นคนขี้ขลาดอยู่แล้ว ก็ราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งความเป็นและความตาย

จินตนาการดูก็รู้แล้วว่าเขานั้นกำลังประสบกับอะไรอยู่

แต่สิ่งที่ทำให้เขายังยืนอยู่ตรงนี้ได้

เพราะเขาพอจะเดาได้ว่าสายฟ้าอันน่ากลัวสายนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นทัณฑ์โอสถในตำนาน

ซึ่งทัณฑ์โอสถนั้นจะส่งผลต่อโอสถเท่านั้น ซึ่งจะมิกระทบกับผู้คน

มิเช่นนั้นเขาที่ประสบกับเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ เกรงว่าคงโดดลงจากหน้าผาอย่างมิลังเลไปแล้ว

น่ากลัว !

ช่างน่ากลัวยิ่งนัก !

“สูด ! ”

มิกี่อึดใจต่อมา

ฉีชางหยวนพลันสูดหายใจเข้าด้วยความหวาดหวั่น จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาแรง ๆ อย่างอดมิได้ พยายามสงบสติอารมณ์ของตนเองลง

“ศิษย์น้องเย่ ต้องยอมรับว่าความสามารถในวิถีโอสถของเจ้านั้นมิเลวทีเดียว”

หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดฉีชางหยวนก็ปริปากขึ้นอีกครั้ง

“แต่ว่าเวลาที่เจ้าใช้ในการหลอมโอสถวิเศษเม็ดนี้นานเกินไป”

ฉีชางหยวนในที่สุดก็หมุนกายกลับมา ก่อนจะเอ่ยอย่างไร้ความรู้สึกใด ๆ ว่า “เพราะตอนที่ข้าหลอมโอสถวิเศษเม็ดแรกในชีวิตนั้น ใช้เวลาเพียงแค่ 4 ชั่วยามเท่านั้น แต่เจ้ากลับใช้เวลาถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ๆ ”

ได้ยินเช่นนั้น เย่ฉางชิงก็มีท่าทีสลดลงทันที

แต่เมื่อฉีชางหยวนเหลือบเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของเย่ฉางชิง ภายในใจก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา

ความจริงแล้วเขารู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก หากอยู่ดี ๆ ศิษย์น้องเย่ผู้นี้จะมาขอเรียนวิถีโอสถกับเขา แล้วเขาจะทำเช่นไรเล่า

เพราะเขารู้ดีว่าตนเองนั้น มีความสามารถอยู่ในระดับใด

ขนาดโอสถขั้นหนึ่งยังมิสามารถที่จะหลอมให้สำเร็จได้ ยิ่งมิต้องพูดถึงการจะสอนผู้ที่เก่งกาจกว่าตน

และการสอนผู้ที่เก่งกาจเช่นนี้บำเพ็ญเพียรวิถีโอสถ ความกดดันคงมิต่างอะไรกับการต้องแบกภูเขาลูกใหญ่เดินไปเดินมาอย่างแน่นอน

วินาทีนี้เขาต้องยอมรับว่าศิษย์พี่ใหญ่หลี่ซิวหยวนนั้น ช่างมีความอดทนมากจริง ๆ

คิดได้เช่นนั้น ฉีชางหยวนก็พ่นลมหายใจออกมาอีกครั้งอย่างอดมิได้ ก่อนจะเอ่ยว่า “อีกอย่าง ข้าได้ยินศิษย์พี่ใหญ่บอกว่าเจ้าเริ่มบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่แล้ว และคุณสมบัติของเจ้ายังสูงมากอีกด้วย”

“เช่นนั้นเจ้าก็มิควรโลภจนเกินไป จงตั้งใจบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่กับศิษย์พี่ใหญ่ไปเถอะ”

สิ้นเสียง เย่ฉางชิงจึงไตร่ตรองอยู่สักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับน้อย ๆ

“จริงสิ ศิษย์พี่ฉีขอรับ”

เย่ฉางชิงเหมือนคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จู่ ๆ จึงเอ่ยถามว่า “ข้าสามารถกินโอสถเม็ดนี้ได้หรือไม่ขอรับ ? ”

“ย่อมได้”

ฉีชางหยวนนิ่งไปสักพัก ก่อนจะตอบกลับไป

แม้เขาจะมิรู้ว่าในมือของเย่ฉางชิงนั้นคือโอสถอะไร หรือเป็นโอสถขั้นไหน แต่เยี่ยงไรเสียโอสถเม็ดนี้ เขาก็มิได้เป็นคนหลอมขึ้นมา

หากเกิดอะไรขึ้น ก็มิเกี่ยวกับเขา ฉีชางหยวน อยู่แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนต่างก็รู้ดีว่า เขานั้นสามารถหลอมโอสถได้เพียงขั้นหนึ่งเท่านั้น

อีกทั้งโอสถเม็ดนี้ยังพิเศษเพียงนี้ ถึงขนาดอัญเชิญทัณฑ์โอสถในตำนานได้ คิดว่าคงจะมิมีปัญหาอะไรมากหรอกกระมัง

“ศิษย์น้องเย่ เจ้าจงตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ต่อไปก็แล้วกัน ส่วนข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน”

ฉีชางหยวนโบกมือให้กับเย่ฉางชิง ก่อนจะหมุนตัวจากไป

เย่ฉางชิงคาราวะให้แก่ฉีชางหยวนเล็กน้อย ก่อนจะก็ยืนส่งฉีชางหยวนอีกพักใหญ่

และหลังจากฉีชางหยวนหายลับไปจากสายตาแล้ว

เย่ฉางชิงจึงพิจารณาโอสถที่อยู่ในมืออีกครั้ง จากนั้นก็หยิบใส่ปากอย่างมิลังเลใด ๆ อีก

จากนั้นก็ได้นั่งสมาธิลงกับพื้นอีกครั้ง พลางท่องเคล็ดวิชาเทพปีศาจโบราณ เปิดจุดเซินฉางตำแหน่งที่หนึ่งต่อ

ทว่าผ่านไปมิกี่อึดใจ

ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นของเย่ฉางชิงพลันเบิกกว้างขึ้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปิติยินดี

เพราะหลังจากที่เขากลืนโอสถลึกลับเม็ดนั้นเข้าไปแล้ว

ตอนแรกแม้จะมิได้รู้สึกอะไรมากนัก รู้เพียงว่าโอสถเม็ดที่กลืนเข้าไปนั้น มีความอบอุ่นบางอย่างแผ่ซ่านออกมา ก่อนจะไหลเวียนไปทั่วร่างกาย

แต่ทันทีที่เขาเริ่มท่องเคล็ดวิชาเทพปีศาจโบราณ

โอสถลึกลับเม็ดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นไอความร้อนขึ้น

อีกทั้งไอความร้อนนี้ยังเหมือนถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยพลังงานบางอย่าง ก่อนพุ่งเข้าใส่พายุหมุนที่กำลังเปิดจุดเซินฉางอย่างบ้าคลั่ง

วินาทีต่อมา หลังจากพายุหมุนดูดกลืนพลังงานอันน่ากลัวกลุ่มนั้นเข้าไป พลันก็ทวีความแรงและขยายใหญ่ขึ้น

จนเวลาผ่านไปมิถึงหนึ่งก้านธูป

หลังจากพลังงานมหาศาลกลุ่มนี้ถูกใช้ไปเกือบครึ่ง พายุหมุนที่เปิดจุดเซิงฉางก็เหมือนถูกเติมเต็มจนสมบูรณ์

หมายความว่าจุดเซินฉางตำแหน่งที่หนึ่งได้ถูกเปิดออกแล้ว

ทว่าในวินาทีที่เย่ฉางชิงเปิดจุดเซินฉางตำแหน่งที่หนึ่งได้สำเร็จนั้น

“เปรี้ยงงงงงง ! ”

จู่ ๆ ห้วงอากาศรอบกายของเย่ฉางชิงก็เกิดการสั่นสะเทือน จนกลายเป็นระลอกคลื่นขึ้นเป็นชั้น ๆ

เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นทุกทิศทุกทาง

ขณะเดียวกันหลังจากที่รอบกายของเขาแผ่คลื่นพลังประหลาดออกมา ไอพลังลึกลับมหาศาลกลุ่มหนึ่งก็ถูกแผ่ออกมาด้วยเช่นกัน

เวลานี้มิเพียงแต่บริเวณเขาด้านหลังและสำนักชิงหยางเท่านั้น ทว่าทั่วทั้งเขาอวิ๋นชางก็เหมือนถูกไอพลังลึกลับนี้ปกคลุมและหล่อเลี้ยง

เพียงพริบตามิว่าจะเป็น ต้นไม้โบราณ พืชพรรณ สมุนไพรวิเศษ และยาวิเศษ รวมถึงสิ่งอื่น ๆ

หลังจากได้รับการหล่อเลี้ยงจากไอพลังลึกลับนี้ ก็เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น ทั่วทั้งสำนักชิงหยางพลันเกิดความโกลาหลขึ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด