เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 368 ภาพลักษณ์
ตอนที่ 368 ภาพลักษณ์
เวลาผ่านไปอีกประมาณหนึ่งก้านธูป
ในที่สุดนักพรตชิงอวิ๋นก็ได้เดินออกมาจากจวนหลังใหญ่ แต่ภายในกลับรกร้างแห่งนี้
“ฟู่ ! ”
หลังจากประตูค่อย ๆ ปิดลง
นักพรตชิงอวิ๋นพลันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
การสนทนากับผู้แข็งแกร่งอย่างท่านเหยียนนั้น ทำให้เจ้าสำนักระดับเก้าอย่างเขารู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
ทว่าตอนนี้ความรู้สึกตื่นเต้นและดีใจกลับมีมากกว่า
เพราะเขามีศิลาวิญญาณมากถึงหนึ่งล้านก้อน โอสถขั้นห้าและขั้นหกอีกกว่าร้อยเม็ด
แม้แต่หอการค้าหรือตระกูลใหญ่ในเมืองหลานซีก็มีมิถึงหนึ่งในร้อยส่วน ที่จะมีของวิเศษมากมายเช่นนี้
โบราณกล่าวไว้ว่า ในกระเป๋ามีเงิน การเดินทางล้วนราบรื่น
อารมณ์ของนักพรตชิงอวิ๋นในตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
“แม้ว่าศิลาวิญญาณหนึ่งล้านก้อนและโอสถขั้นห้าและขั้นหกร้อยกว่าเม็ด จะเป็นของเหวินเซี่ยทั้งหมด อีกทั้งตบะบารมีและคุณสมบัติของข้าเองก็มีจำกัด แต่หลายปีมานี้ก็นับว่าข้าได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว”
นักพรตชิงอวิ๋นที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแจ่มใส พลางเอ่ยอย่างกระปรี้กระเปร่าว่า “ต่อให้ครานี้ข้าใช้ศิลาวิญญาณไปสักสองหรือสามหมื่นก้อน คิดว่าเหวินเซี่ยก็คงมิว่าอะไรข้าหรอก”
“อีกอย่างข้ายังเอามาใช้เพื่อซื้อทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรของฉางชิงด้วย”
เอ่ยจบนักพรตชิงอวิ๋นก็พยักหน้ากับตัวเองอย่างแน่วแน่ ก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้า
จนเวลาผ่านไปประมาณสองชั่วยาม
นักพรตชิงอวิ๋นก็ได้ตรงไปที่หอการค้าหลันเหอ เพื่อซื้อเสื้อผ้าให้กับตัวเองและบรรดาศิษย์ในสำนัก
แน่นอนว่าหาใช่เสื้อผ้าธรรมดาไม่
จะเรียกว่าอาภรณ์วิเศษก็ว่าได้
เพราะเสื้อผ้าเหล่านี้ล้วนทอมาจากเส้นไหมอัคนีเหมันต์ แม้จะมิสามารถต้านทานการโจมตีของผู้ฝึกเซียนได้ ทว่าก็จะมิมีฝุ่นผงใด ๆ สามารถจับตัวอาภรณ์หรือทำให้สกปรกได้ทั้งสิ้น เช่นนั้นเมื่อสวมบนกายจึงจะทำให้ดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ
อีกทั้งคุณสมบัติที่พิเศษที่สุดของไหมอัคนีเหมันต์ก็คือ จะทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอในฤดูหนาว และเพิ่มความเย็นสบายในฤดูร้อนให้แก่ผู้สวมใส่
แต่อาภรณ์วิเศษเช่นนี้ย่อมมีราคาที่สูงเป็นธรรมดา
อาภรณ์วิเศษหนึ่งชุดจะมีมูลค่าหนึ่งหมื่นตำลึงทอง ส่วนศิลาวิญญาณหนึ่งก้อนจะมีมูลค่าหนึ่งร้อยตำลึงทอง
หากคำนวณดูแล้ว แค่ซื้ออาภรณ์วิเศษเหล่านี้ เขาต้องใช้ศิลาวิญญาณถึงพันกว่าก้อน
เทียบเท่ากับค่าใช้จ่ายในสำนักชิงหยางหลายปีรวมกันเลยทีเดียว
แต่ต่อให้จะมีราคาแพง แต่นักพรตชิงอวิ๋นก็คิดว่าคุ้มค่าที่จะซื้อแล้ว
เพราะเมื่ออาภรณ์วิเศษเช่นนี้ได้อยู่บนกาย จะทำให้ผู้ที่สวมใส่มีภาพลักษณ์ที่ดูดีเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
แม้ว่าชวี่เหวินเซี่ยและเย่ฉางชิง ที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ ล้วนมีรูปลักษณ์ที่ดูดียากที่จะหาใครมาเปรียบได้ อีกทั้งคุณสมบัติในการฝึกเซียนก็ยังยอดเยี่ยมมิแพ้กัน เช่นนั้นการจะเข้านิกายกระบี่สวรรค์จึงมิใช่เรื่องยาก
ทว่าแค่นี้กลับยังมิเพียงพอ หากต้องการให้เป็นที่จับตามอง ก็จะต้องทำให้ภาพลักษณ์ดูโดดเด่น อย่างมิมีใครเทียบได้
ต้องทำให้ผู้คนจับจ้องตั้งแต่ก้าวแรก เป็นผู้ที่โดดเด่นมากที่สุดในบรรดาท่ามกลางคนมากมาย
เช่นนี้แล้วการทดสอบต่อจากนั้น ถึงจะได้รับการสนใจจากทุกคน
ถึงตอนนั้นขอแค่เพียงสอบผ่านด้านคุณสมบัติ ย่อมจะได้รับการจับตามองจากผู้อาวุโสในนิกายกระบี่สวรรค์อย่างแน่นอน
หลังจากนั้นนักพรตชิงอวิ๋นก็ได้ตระเวนไปยังหอการค้าอื่น ๆ ต่อ เพื่อซื้อของวิเศษที่ใช้ในการบำเพ็ญเพียรตามปกติของสำนักชิงหยาง รวมทั้งทรัพยากรที่จำเป็นในการบำเพ็ญเพียรของเย่ฉางชิง
และสุดท้ายนักพรตชิงอวิ๋นก็เดินมายังหน้าหอสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลานซี
ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ความปรารถนาสูงสุดของนักพรตชิงอวิ๋นก็คือ
ก่อนที่เขาจะถึงขีดจำกัดและละสังขารไป หากได้มาค้างที่หอสุราจุ้ยเซียนแห่งนี้สักคืนก็คงจะดีมิน้อย
ทว่าแม้บัดนี้ตัวเขาจะมีศิลาวิญญาณถึงล้านก้อน แต่เมื่อเขามาถึงหน้าประตูหอสุราจุ้ยเซียนจริง ๆ แล้ว ก็อดมิได้ที่จะเกิดความลังเลขึ้นมา
เพราะการค้างหอสุราจุ้ยเซียนหนึ่งคืน อย่างต่ำจะต้องใช้ศิลาวิญญาณนับพันก้อน เทียบเท่ากับแสนตำลึงทอง
สำหรับนักพรตชิงอวิ๋นที่ก่อนหน้านี้ตกอยู่ในสถานการณ์ยากจนข้นแค้นมานาน จึงอดมิได้ที่จะรู้สึกเสียดายขึ้นมา !
อย่าว่าแต่เจ้าสำนักระดับเก้าเช่นเขาเลย เกรงว่าแม้แต่เจ้าสำนักระดับสามระดับสี่เอง ก็คงมิมีใครยอมจ่ายถึงเพียงนี้แน่
“จะเอาเช่นไรดี ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองด้านบน ที่มีป้ายชื่อสีทองอันหรูหราติดอยู่ ก่อนจะพึมพำกับตัวเองขึ้นอย่างอดมิได้ “ข้าควรเข้าไปดี… หรือว่ามิควรเข้าไปดีนะ ? ”
“ช่างเถอะ ขอแค่ได้ค้างที่หอสุราจุ้ยเซียนแม้เพียงคืนเดียว ก็นับว่าข้าได้ทำในสิ่งที่ใจปรารถนาแล้ว อีกทั้งหากพลาดโอกาสนี้ไป เกรงว่าภายภาคหน้าก็คงยากที่จะเป็นจริงได้แล้ว”
เอ่ยจบในขณะที่นักพรตชิงอวิ๋นเตรียมจะก้าวเข้าไปในหอสุราจุ้ยเซียนนั้น ข้างกายพลันมีเสียงที่ดูคลุมเคลือเสียงหนึ่งดังขึ้น
“โอ๊ะ นี่พี่ชิงอวิ๋นแห่งสำนักชิงหยางนี่นา ? ”
ได้ยินเช่นนั้น นักพรตชิงอวิ๋นก็ชะงักฝีเท้าลงกะทันหัน ก่อนจะหันไปมองตามเสียงนั้น
ก็พบว่าเป็นชายชรารูปร่างเตี้ยไว้หนวดยาวสองข้าง และชายชรารูปร่างผอมอีกคนหนึ่งกำลังมองเขาด้วยสีหน้าหยอกเย้า
ใช่แล้ว !
ทั้งสองคนก็คือคู่ปรับเก่าของนักพรตชิงอวิ๋น
เจ้าสำนักฉือเซี่ยะ จูหวยเหริน
เจ้าสำนักงูศักดิ์สิทธิ์ เจี่ยเจิ้นเคอ
เพียงแต่เวลานี้ทั้งสำนักฉือเซี่ยะและสำนักงูศักดิ์สิทธิ์ ต่างก็มิเหมือนเดิมอีกแล้ว
เนื่องจากทั้งสองสำนักต่างก็มีศิษย์ที่เข้าไปเป็นศิษย์สายนอกของนิกายกระบี่สวรรค์ได้สำเร็จ
เช่นนั้นทั้งสองสำนักต่างจึงได้รับการเลื่อนลำดับ จากสำนักระดับเก้าขึ้นไปเป็นสำนักระดับเจ็ดแล้ว
ทว่าเมื่อหันกลับมามองสำนักชิงหยาง มิเพียงยังหยุดอยู่กับที่เท่านั้น แต่หลายปีมานี้กลับยิ่งเสื่อมโทรมลงไปทุกวัน
เช่นนี้จึงทำให้ทุกครั้งที่คู่ปรับเก่าทั้งสองเห็นนักพรตชิงอวิ๋น จึงอดมิได้ที่จะพูดจากระแนะกระแหน
มิหนำซ้ำเวลานี้เมื่อทั้งสองเห็นนักพรตชิงอวิ๋นจะเข้าไปในหอสุราจุ้ยเซียน ที่แม้แต่พวกเขายังมิกล้าเข้า ย่อมต้องพูดจากระแหนหระแหนอย่างห้ามมิได้อยู่แล้ว
“เป็นพวกเจ้าสองคนนี่เอง ! ”
นักพรตชิงอวิ๋นขมวดคิ้วเบา ๆ ดวงตาเกิดประกายบางอย่างแวบผ่าน
ทว่าเวลานี้เขากลับมิมีทีท่าว่าจะหลบเลี่ยงดังเช่นเมื่อก่อนอีก แต่กลับหมุนกายไปเผชิญหน้ากับทั้งสองคนตรง ๆ
เห็นเช่นนั้นจูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอก็ถึงกับผงะไป ก่อนจะสบตากันเล็กน้อย
และกลับมาแสดงกริยาดูถูกเหยียดหยามอีกครั้ง
“พี่ชิงอวิ๋น ท่านคงมิได้บำเพ็ญเพียรจนเกิดธาตุไฟเข้าแทรกหรอกนะ ? ”
จูหวยเหรินมองนักพรตชิงอวิ๋นด้วยสายตาล้อเลียน พร้อมกับพูดถากถางว่า “สถานที่เช่นหอสุราจุ้ยเซียน เป็นที่ที่เจ้าสำนักระดับเก้าเล็ก ๆ อย่างท่าน เข้าไปได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เจี่ยเจิ้นเคอดวงตาหรี่ลง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายว่า “ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าคนอย่างเจ้ากล้าเข้าไปด้วยหรือ แต่คาดว่าเข้าไปได้มินานก็คงถูกโยนออกมาแล้วกระมัง ? ”
“พี่ชิงอวิ๋น ต่อให้ท่านจะตกต่ำเพียงใด แต่เยี่ยงไรเสียก็ยังเป็นเจ้าสำนักระดับเก้าผู้หนึ่ง จะมาทำตัวกินแล้วมิจ่ายมิได้นะ ? ”
ได้ยินเช่นนั้น แม้ใบหน้าของนักพรตชิงอวิ๋นจะยังคงเรียบนิ่งเช่นเดิม ทว่ามุมปากกลับกระตุกขึ้นอย่างห้ามมิได้
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก ดวงตาพลันเกิดประกายวาวโรจน์ขึ้น ก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า “หากวันนี้ข้าเข้าไปในหอสุราจุ้ยเซียนและค้างที่นี่สักคืน พวกเจ้าสองคนคิดว่าเช่นไร ? ”
จูหวยเหรินหัวเราะออกมาอย่างมิแยแส พลางเอ่ยว่า “พี่ชิงอวิ๋น ฟังจากน้ำเสียงของท่านแล้ว เหมือนต้องการจะพนันกับพวกเราสองคนเลยนะ ? ”
“พี่จู ท่านจริงจังเกินไปแล้ว”
เจี่ยเจิ้นเคอส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มเยาะออกมา “สำนักชิงหยางแต่ก่อนยังนับว่าพอมีดีกับเขาอยู่บ้าง แต่บัดนี้ยังมีอะไรเหลืออีกเล่า ? ”
“ข้าว่าหากสำนักชิงหยางมิมีนิกายกระบี่สวรรค์ให้พึ่งพิงล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่โจรภูเขามิกี่คนก็คงสามารถยึดครองเขาอวิ๋นชางได้แล้วกระมัง”
“พี่เจี่ย ฟังท่านพูดแล้ว ก็คงจะจริง”
จูหวยเหรินนิ่งงันไป ก่อนจะรีบยิ้มออกมา “พี่ชิงอวิ๋น ข้ามิพนันด้วยหรอกนะ และเมื่อครู่ข้าคงจะเลอะเทอะไปหน่อย”
ได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของนักพรตชิงอวิ๋นก็ยังคงเรียบนิ่งเช่นเคย
จากนั้นก็เพ่งสมาธิ ก่อนจะหยิบกระบี่ขาวยาวสามเชียะเล่มหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ
ตัวกระบี่สลักสัญลักษณ์ซับซ้อนมากมายเอาไว้ อีกทั้งบนตัวกระบี่สีขาวบริสุทธิ์นั้น ยังมีแสงสีม่วงเปล่งประกายระยิบระยับออกมา ดูพิเศษเป็นอย่างมาก
“กระบี่จื่อชิงเล่มนี้เป็นกระบี่ที่ข้าจะซื้อไปให้ศิษย์คนหนึ่ง หากท่านทั้งสองคิดว่ามิเลว ข้าขอใช้กระบี่เล่มนี้เดิมพัน ท่านทั้งสองเห็นเป็นเช่นไรบ้าง?”
นักพรตชิงอวิ๋นเอ่ยถามด้วยดวงตาคมกริบราวกับกระบี่
“หา ! ”
เมื่อจูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอเห็นกระบี่จื่อชิงที่มีมูลค่ามิน้อยเล่มนี้
คนทั้งสองพลันเบิกตากว้าง ท่าทางเต็มไปด้วยความประหลาดใจขึ้นมาทันที
Comments