เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 369 มิเปรียบเทียบก็มิเสียใจ
ตอนที่ 369 มิเปรียบเทียบก็มิเสียใจ
ด้วยสายตาของจูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอแล้ว ย่อมมองออกตั้งแต่แวบแรกว่ากระบี่จื่อชิงเล่มนี้มีความพิเศษเช่นไร
และเมื่อมิกี่ชั่วยามก่อนหน้านี้
จูหวยเหรินยังได้พาเจี่ยเจิ้นเคอไปหอการค้าแปดทิศ อันเป็นหนึ่งในสี่หอการค้าใหญ่ของเมืองหลานซี
จุดประสงค์ของเขาก็เพื่อต้องการจะซื้อกระบี่วิเศษเล่มหนึ่ง ให้แก่ศิษย์สายสืบทอดของตน ที่ได้เป็นศิษย์สายนอกของนิกายกระบี่สวรรค์แล้ว
เพราะนอกจากศิษย์สายสืบทอดผู้นี้ของเขาจะมีคุณสมบัติที่มิธรรมดาแล้ว ยังนับว่าเป็นคนที่มีโชคอีกด้วย
ก่อนหน้านี้มินานก็ได้ยินมาว่าตอนฝึกอยู่ที่นอกสำนัก ศิษย์ของเขาได้รับวาสนาอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งมา
ตามข่าวที่เชื่อถือได้ ตบะบารมีของศิษย์สายสืบทอดผู้นี้ได้มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงมิกี่วันก็สามารถเข้าไปเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่สวรรค์ได้แล้ว
เช่นนั้นการที่จูหวยเหรินต้องการซื้อกระบี่วิเศษ ก็เพื่อต้องการให้ตำแหน่งของสำนักฉือเซี่ยะมั่นคงขึ้น โดยอาศัยศิษย์สายสืบทอดผู้นี้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้เห็นกระบี่จื่อชิงเล่มนี้มาก่อนแล้วที่หอการค้าแปดทิศ
แต่น่าเสียดายตามที่หอการค้าแปดทิศแนะนำเอาไว้ กระบี่จื่อชิงเล่มนี้มีที่มาจากแดนลับโบราณแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังเก็บรักษาเอาไว้ในสภาพที่สมบูรณ์
เช่นนั้นราคาอย่างต่ำ ๆ ก็อยู่ที่หนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณแล้ว
แต่สำหรับสำนักระดับเจ็ดแล้ว
การจะได้มาซึ่งหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณ เกรงว่าคงต้องขายสำนักฉือเซี่ยะทิ้งจึงจะสามารถรวบรวมได้ราว ๆ นั้น
เช่นนั้นเขาจึงทำได้ตัดใจยอมแพ้ไป
ทว่าสิ่งที่พวกเขาสองคนคาดมิถึงก็คือ
กระบี่จื่อชิงเล่มนี้กลับมาอยู่ในมือของเจ้าสำนักระดับเก้าอย่างนักพรตชิงอวิ๋นผู้นี้เสียได้
หนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณ !
หนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณเชียวนะ !
หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก จูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอก็ลอบสบตากันเล็กน้อย จากนั้นก็ส่งกระแสจิตถึงกันว่า
“พี่เจี่ย กระบี่เล่มนี้คงจะเป็นกระบี่จื่อชิง จากหอการค้าแปดทิศกระมัง ? ”
เจี่ยเจิ้นเคอหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางชำเลืองมองกระบี่จื่อชิงในมือนักพรตชิงอวิ๋น ก่อนจะเอ่ยอย่างเห็นด้วยว่า
“บนกระบี่จื่อชิงเล่มนี้แม้จะยังถูกผนึกเอาไว้ แต่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก รวมทั้งไอพลังที่ลอยอยู่บนตัวกระบี่แล้ว จะต้องเป็นกระบี่วิเศษจื่อชิเล่มนั้นอย่างแน่นอน”
“พี่เจี่ย ท่านรู้สึกหรือมิว่านักพรตชิงอวิ๋นผู้นี้ดูแปลกไป ท่านกับข้าต่างก็รู้ดีว่ากระบี่จื่อชิงเล่มนี้มีมูลค่าถึงหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณ อย่าว่าแต่สำนักที่ตกต่ำอย่างสำนักชิงหยางเลย แม้แต่พวกเราสองคนรวมกันก็ยังซื้อมิได้ด้วยซ้ำ”
“บอกตามตรงข้าเองก็รู้สึกแปลก ๆ เช่นกัน”
“พี่เจี่ย หากข้าเดามิผิดล่ะก็ สำนักชิงหยางคงจะพบซากโบราณหรือแดนลับอะไรเข้า และมิได้แจ้งแก่นิกายกระบี่สวรรค์ แต่แอบเก็บเอาไว้เองเป็นแน่”
“พี่จู หรือว่าท่านคิดที่จะนำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่นิกายกระบี่สวรรค์เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หึ รายงานเรื่องนี้ให้นิกายกระบี่สวรรค์ทราบ ก็คงได้เพียงรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่หากรอให้การประชุมครานี้จบลงแล้ว พวกเราสองคนร่วมมือกันโจมตีสำนักชิงหยางเสียเอง จะมิสนุกกว่าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“……”
“……”
หลังจากปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว
“พี่ชิงอวิ๋น คิดมิถึงว่าท่านจะมีของวิเศษเช่นนี้ด้วย คาดมิถึงจริง ๆ ”
จูหวยเหรินเผยรอยยิ้มเย็นออกมา พร้อมกับเอ่ยถามเชิงหยอกล้อว่า “เช่นนั้นท่านอยากเดิมพันเยี่ยงไรงั้นหรือ ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเรียบ ๆ ว่า “ง่ายมาก คืนนี้ข้าจะค้างที่หอสุราจุ้ยเซียนหนึ่งคืน หากพรุ่งนี้ข้าสามารถออกมาจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย และสามารถไปเข้าร่วมการประชุมที่จวนเจ้าเมืองได้ก็นับว่าข้าชนะ”
“ส่วนกระบี่ล้ำค่าเล่มนี้ของข้าหากข้าแพ้แล้วล่ะก็ ข้ายินดีจะมอบกระบี่ให้แก่ท่านทั้งสอง แต่หากข้าชนะล่ะก็ พวกท่านทั้งสองจะต้องจ่ายค่าห้องที่นี่ให้ข้าหนึ่งคืน”
ทันทีที่สิ้นเสียง จูหวยเหรินมุมปากถึงกับกระตุกเล็กน้อย
‘คิดมิถึงว่าตาเฒ่าผู้นี้จะเจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้’
‘นี่มิเท่ากับตัวเองได้นอนหอสุราจุ้ยเซียนฟรี ๆ หนึ่งคืนเลยเยี่ยงนั้นหรือ ทั้ง ๆ ที่พวกข้าสองคนเป็นคนจ่ายเงินแท้ ๆ ’
‘อีกทั้งพวกข้ายังต้องคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกหอสุรา เพื่อรอดูผลแพ้ชนะอีกด้วย’
‘ตาเฒ่า ! ’
‘เจ้ารอก่อนเถอะ ! ’
‘หลังการประชุมครานี้จบลง อีกมินานข้าจะไปบุกสำนักชิงหยางของเจ้า’
‘ถึงตอนนั้นมิเพียงทำลายสำนักของเจ้าซะ ข้ายังจะชิงซากโบราณที่พวกเจ้าขุดค้นพบมาด้วย หวังว่าตอนนั้นจ้าคงจะยังยิ้มได้เช่นนี้อยู่นะ’
“ดี ข้าตกลง ! ”
เพื่อป้องกันมิให้นักพรตชิงอวิ๋นเกิดความสงสัย จูหวยเหรินจึงตอบรับอย่างรวดเร็ว
ได้ยินเช่นนั้นนักพรตชิงอวิ๋นก็ปรายตามองจูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอ พร้อมกับหัวเราะเยาะภายในใจ
‘เจ้าเฒ่าสายตาตื้นเขิน ตอนนี้ที่ตัวของข้ามีศิลาวิญญาณหนึ่งล้านก้อน และโอสถขั้นห้าและขั้นหกถึงร้อยกว่าเม็ด หากเหวินเซี่ยมิว่าอะไรล่ะก็ ข้าจะอยู่ที่หอสุราจุ้ยเซียนแห่งนี้สักครึ่งเดือนก็ย่อมได้’
หลังจากนั้น จูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอก็ตั้งใจจับตามองโดยทันที
นักพรตชิงอวิ๋นจึงหมุนกาย พร้อมกับเดินเอามือไพล่หลังก้าวเข้าไปในหอสุราจุ้ยเซียนอย่างวางก้าม
ในเมื่อมีคนจ่ายให้เช่นนี้ เขาย่อมมิลังเลใด ๆ อีก
มินานเมื่อนักพรตชิงอวิ๋นก้าวเข้าไปในหอสุราจุ้ยเซียน ที่มีการตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา
สตรีที่มีใบหน้างดงาม อยู่ในชุดกี่เพ้าปักไหมสีทองเผยเรือนร่างอวบอัดนางหนึ่ง ก็เดินเข้ามาทักทายอย่างรวดเร็ว
อีกทั้งดูจากไอพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของสตรีผู้นี้แล้ว
ดูได้มิยากว่านางนั้นยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับรวมชีพจรขั้นกลางอีกด้วย
“ท่านเซียนอาวุโส มิทราบว่ามากันกี่ท่านเจ้าคะ?”
แม้นักพรตชิงอวิ๋นจะเป็นเพียงเจ้าสำนักระดับเก้า อีกทั้งตบะบารมีก็มิได้สูงส่งอะไรมากนัก
แต่ด้วยหนวดและผมอันขาวโพลน รวมทั้งใบหน้าขาวผ่องของเขา
โดยเฉพาะบุคลิกท่าทางที่แผ่ออกมาจากภายใน ต่อให้เขาจะสวมชุดคลุมเรียบ ๆ แต่ก็ยังคงให้ความรู้สึกถึงการเป็นเซียนผู้สูงส่งอยู่ดี
เช่นนั้นตั้งแต่แวบแรกที่สตรีนางนี้เห็นนักพรตชิงอวิ๋น
ก็เดาว่านักพรตชิงอวิ๋นจะต้องมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
แค่คิดก็รู้แล้วว่ารูปลักษณ์ภายนอกและลักษณะท่าทางของคน ๆ หนึ่งนั้น สำคัญมากเพียงใด
ขณะเดียวกัน เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้สตรีนางนั้นก็อดมิได้ที่จะเบนสายตาไปยังจูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอที่ยืนรออยู่ด้านนอก
ทว่าในสายตาของนางกลับเต็มไปด้วยความดูแคลน
นางมองว่าตาเฒ่าทั้งสองที่คนหนึ่งเตี้ยคนหนึ่งสูง คนหนึ่งผอมคนหนึ่งอ้วนนั่น ต่อให้ค้นทั่วทั้งตัวแล้วก็คงมีศิลาวิญญาณมิพอที่จะค้างที่นี่ได้หรอก ยิ่งกว่านั้นคนเช่นนี้นางเองเห็นมานักต่อนักแล้ว
ทว่าเมื่อจูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอสบตากับสตรีผู้นี้เข้า สีหน้าพลันมิสู้ดีลงทันที
นี่มันหลักการอะไรกัน !
ตัวเองจ่ายเงินให้คนอื่น ยังต้องมาโดนคนมองอย่างดูแคลนอีกเนี่ยนะ
ขณะเดียวกันนักพรตชิงอวิ๋นก็กวาดสายตา สำรวจภายในหอสุราอันหรูหรา
แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและยินดีมากเพียงใด แต่สีหน้าตอนนั้นกลับยังคงเรียบนิ่งดังเดิม
“ข้าต้องการจะค้างที่นี่หนึ่งคืน เจ้าไปจัดการให้ข้าที”
นักพรตชิงอวิ๋นถอนสายตากลับมา ก่อนจะแจ้งความต้องการกับสตรีนางนั้นไป
สิ้นเสียงดวงตาอันเย้ายวนของสตรีนางนั้นพลันเปล่งประกายขึ้น จากนั้นก็หันไปมองจูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคออีกครั้งอย่างอดมิได้
หากมิเปรียบเทียบก็จะมิเจ็บปวดจริง ๆ ด้วย !
บางครั้งคนเราแค่รูปลักษณ์และลักษณะท่าทาง ก็สามารถตัดสินอะไรหลาย ๆ อย่างได้แล้ว
ในเวลาเดียวกันนั้น เมื่อจูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอสังเกตเห็นสายตาของสตรีนางนั้นอีกครั้ง
สีหน้าของทั้งสองก็ย่ำแย่ลงไปกว่าเดิมอีกหลายเท่า
เพราะแม้สายตาของนางจะมิได้ดูแคลนอย่างในตอนแรก แต่กลับกลายเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามแทน !
ทันใดนั้น ทั้งสองคนก็อดมิได้ที่อยากจะเข้าไปค้างในหอสุราจุ้ยเซียนเสียให้รู้แล้วรู้รอด
แต่เมื่อพวกเขาคิดได้ว่าค้างหนึ่งคืน ต้องใช้สองพันศิลาวิญญาณ ก็จำต้องกัดฟันอดทนเอาไว้เท่านั้น
จนเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
นักพรตชิงอวิ๋นก็เดินไปตามทาง ที่สตรีผู้มีใบหน้างดงามนางนั้นนำไป
เมื่อทั้งสองเดินผ่านโถงขนาดใหญ่ จนมาถึงหน้าประตูเรือนหลังหนึ่งที่มีหมอกลอยวนอยู่รอบ ๆ และเหมือนมีค่ายกลมากมายวางอยู่
ตอนนั้นเองสตรีนางนั้นก็หยิบป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากเอวของตัวเอง ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาทำท่ามุรา และค่อย ๆ ประสานป้ายหยกกลางอากาศ
มินานประตูห้องที่ปิดสนิทก็ค่อย ๆ เปิดออกเอง
“ท่านเซียนอาวุโส ที่นี่เป็นหนึ่งในห้องพักที่ดีที่สุดของหอสุราจุ้ยเซียนของเราเจ้าค่ะ”
สตรีนางนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ฟังและไพเราะเสนาะหูยิ่ง “เรือนหลังนี้ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยค่ายกลรวมวิญญาณ ปราณวิญญาณภายในเข้มข้นเทียบเท่ากับดินแดนบำเพ็ญเพียรของสำนักระดับสอง ทั้งยังมีเตาหลอมโอสถ รวมถึงวารีทิพย์และยาวิเศษที่ใช้ในการฟื้นฟูการบาดเจ็บด้วยเจ้าค่ะ”
“อีกทั้งเซียนอาวุโสเช่นท่าน สตรีธรรมดาทั่วไปย่อมมิคู่ควรอยู่แล้ว เช่นนั้นหอสุราจุ้ยเซียนของเราจึงได้จัดเตรียมสาวงามระดับรวมชีพจรสองนาง เอาไว้ดูแลท่านเป็นพิเศษด้วยเจ้าค่ะ”
“และหากท่านเซียนอาวุโสยังต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม สามารถแจ้งให้สาวรับใช้ทั้งสองนางทราบได้เลยเจ้าค่ะ หอสุราจุ้ยเซียนของเราจะพยายามทำตามความต้องการของท่านอย่างเต็มที่เจ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นนักพรตชิงอวิ๋นก็อดที่จะใจสั่นขึ้นมามิได้ ก่อนจะพยักหน้าให้น้อย ๆ และเดินตรงเข้าไป
ทันใดนั้น เมื่อเห็นแผ่นหลังของนักพรตชิงอวิ๋นหายเข้าไปแล้ว สตรีนางนั้นก็อดมิได้ที่จะพึมพำกับตัวเองว่า
“มิรู้ว่าท่านเซียนอาวุโสท่านนี้มาจากสำนักเซียนใดกัน ข้าอยู่ที่หอสุราจุ้ยเซียนมาตั้งหลายปี เพิ่งจะเคยเห็นท่านเซียนอาวุโสที่ฟุ่มเฟือยเช่นนี้เป็นคราแรก”
Comments