เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 383 เรื่องนี้ข้ามิมีทางปล่อยไปง่าย ๆ เด็ดขาด
ตอนที่ 383 เรื่องนี้ข้ามิมีทางปล่อยไปง่าย ๆ เด็ดขาด
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า
พวกจูหวยเหรินที่อยู่มิไกลต่างก็เริ่มถกเถียงกันขึ้นทันที
“ท่านเจ้าสำนัก ตาเฒ่าผู้นี้จะทำอะไรกันแน่ ? ”
“จริงด้วย เหตุใดจู่ ๆ จึงคุกเข่าลงกับพื้น อีกทั้งยังทำท่าทางเช่นนี้อีก หรือว่าจะตัดใจแล้ว ? ”
“ท่านเจ้าสำนัก ก่อนหน้านี้ข้าก็รู้สึกอยู่แล้วว่าตาเฒ่าผู้นี้เชื่อถือมิได้ ตอนนี้ดูแล้วคงจะมีดีแค่ชื่อจริง ๆ ”
“พวกเจ้ามิต้องพูดอะไรแล้ว ข้าจะตัดสินใจเอง”
“พี่จู ท่านมั่นใจว่าตาเฒ่าผู้นี้คือท่านจางแห่งเมืองหลานซีผู้นั้นจริง ๆ มิใช่นักต้นตุ๋นที่มาสวมรอยแน่นะ ? ”
“พี่เจี่ย คนผู้นี้คือนักสร้างค่ายกลท่านนั้นจริง ๆ และข้าขอบอกตามตรงว่านี่มิใช่คราแรก ที่ข้าและเขาร่วมมือกัน”
“แต่ตอนนี้เขากลับคุกและหมอบลงกับพื้น ไข่มุกลึกลับก่อนหน้านี้ก็หายไปแล้ว แสดงว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ ”
“เรื่องนี้ข้ารู้ดี หากเขาเดินกลับมา เชื่อว่าเขาต้องมีเหตุผลให้ข้าอย่างแน่นอน”
“ขอให้เป็นเช่นนั้นก็แล้วกัน และอย่าให้พวกเราต้องกลับไปมือเปล่าเป็นอันขาด”
“……”
“……”
ระหว่างที่ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น
นักพรตชิงอวิ๋นและลู่ซานหยางสองคนศิษย์อาจารย์ ก็กลับมายังริมหน้าผาอีกครั้ง
หลังจากที่ลู่ซานหยางกลับมาควบคุมค่ายกลได้อีกครั้ง
มินานเสียงที่เต็มไปด้วยความศรัทธาของจางเฉิงเจิ้น ก็ดังขึ้นที่ข้างหูของคนทั้งสอง
“อาจารย์ ตอนนี้ดูท่าผู้ที่มีนามว่าจางเฉิงเจิ้นผู้นี้ คงเตรียมที่จะถอยกลับไปแล้วขอรับ”
ลู่ซานหยางหันไปถามนักพรตชิงอวิ๋นด้วยความสงสัยว่า “จริงสิ จางเฉิงเจิ้นผู้นี้มีที่มาที่ไปเยี่ยงไรกันแน่ ถึงได้มีสุดยอดของวิเศษอย่างมุกสารพัดนึกได้เล่าขอรับ ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นลูบหนวดด้วยท่าทีสบาย ๆ “คนผู้นี้ก็คือนักสร้างค่ายกลที่มีชื่อเสียงของเมืองหลานซี ทั้งยังเป็นแขกคนหนึ่งของจวนเจ้าเมืองอีกด้วย”
‘นักสร้างค่ายกล ? ’
‘แขกของจวนเจ้าเมือง ? ’
ลู่ซานหยางลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ เช่นนั้นก็มิสามารถให้ตาเฒ่าผู้นี้มาตายที่นี่ได้น่ะสิขอรับ ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นพยักหน้ารับ “เยี่ยงไรเสียเวลานี้สำนักชิงหยางของเราก็ยังเป็นเพียงสำนักระดับเก้าสำนักหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้ยังมิสามารถจัดการพวกจูหวยเหรินทั้งหมดได้ เช่นนั้นจางเฉิงเจิ้นผู้นี้ย่อมมิอาจแตะต้องได้เช่นกัน”
ลู่ซานหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “อาจารย์ขอรับ ในเมื่อตาเฒ่าผู้นี้คิดว่าศิษย์น้องเย่เป็นผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทาน เช่นนั้นศิษย์ขอยืมชื่อของศิษย์น้องเย่ ลงโทษตาเฒ่าผู้นี้สักครั้งได้หรือไม่ขอรับ ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นยกยิ้มออกมา แล้วเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า “แม้จางเฉิงเจิ้นจะเป็นแขกของจวนเข้าเมือง แต่ในเมื่อเขาเข้าร่วมศึกระหว่างสำนัก ที่จวนเจ้าเมืองมิอนุญาต เช่นนั้นต่อให้เขากลับไปก็คงมิกล้าปริปากพูดอะไรอยู่ดี”
ลู่ซานหยางยิ้มอย่างเข้าใจในความหมายนั้นทันที “อาจารย์ ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ”
มินาน ในระหว่างที่จางเฉิงเจิ้นที่อยู่ตรงเชิงเขากำลังคำนับลงกับพื้นอยู่นั้น
จู่ ๆ ก็มีเสียงที่ฟังดูแหบเล็กน้อย ดังขึ้นในโสตประสาทของเขา
“รบกวนความสงบของข้า แล้วคิดจะจากไปง่าย ๆ เช่นนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ทันทีที่สิ้นเสียง จางเฉิงเจิ้นที่เพิ่งจะลุกขึ้นยืนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ก่อนจะหมอบลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง
“เรียนผู้อาวุโส ผู้น้อยมิได้มีเจตนาที่จะล่วงเกินจริง ๆ ขอรับ ขอผู้อาวุโสอย่าได้ถือสาผู้น้อยเลยขอรับ”
จางเฉิงเจิ้นก้มหน้าลงกับพื้น ร่างผอมบางสั่นเทาอย่างห้ามมิได้ ขณะเอ่ยขึ้นด้วยความหวาดหวั่น
มินานเสียงที่ค่อนข้างชราเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็จะมิถือสาผู้น้อยเช่นเจ้า วันนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักครา”
“โทษตายเว้นได้ แต่โทษเป็นยังอยู่ ข้าขอสั่งให้เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่เป็นเวลาสามวันสามคืน เจ้ามีสิ่งใดจะโต้แย้งหรือไม่ ? ”
ได้ยินเช่นนั้น จางเฉิงเจิ้นก็นิ่งไปทันที ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“เรียนผู้อาวุโส ผู้น้อยมิกล้าโต้แย้งใด ๆ ขอรับ”
จางเฉิงเจิ้นรีบตอบกลับไป
ทว่าทันทีที่สิ้นเสียง ลู่ซานหยางที่อยู่ริมหน้าผาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ มือทั้งสองข้างทำท่ามุทราเกิดเป็นรอยตราประทับโบราณ ผสานเข้ากับอากาศอย่างรวดเร็ว
วินาทีต่อมา จางเฉิงเจิ้นที่คุกเข่าอยู่กับพื้นก็เกิดสั่นเทาขึ้นมา ก่อนที่แรงกดันอันน่ากลัวกลุ่มหนึ่ง จะปกคลุมร่างของเขาเอาไว้
ซึ่งเขาก็ทำได้เพียงกัดฟันทนเอาไว้ มิกล้าโต้แย้งใด ๆ
“อาจารย์ ศิษย์ทำเช่นนี้มิมีปัญหาอะไรใช่หรือไม่ขอรับ ? ”
ลู่ซานหยางเหลือบมองจางเฉิงเจิ้นที่ร่างกายสั่นเทา ก่อนจะถอนสายตากลับมาถามนักพรตชิงอวิ๋นพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย
บนใบหน้าของนักพรตชิงอวิ๋นมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา เพียงแค่ยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ ก่อนจะหมุนตัวจากไป
ทว่าในวินาทีที่เขากำลังหมุนตัวนั้น
ใบหน้าชราพลันปรากฏรอยยิ้มกว้างออกมา
เพราะก่อนหน้านี้เวลาที่ไปจวนเจ้าเมือง เขาก็เคยบังเอิญเจอจางเฉิงเจิ้นนักสร้างค่ายกลผู้นี้ แต่อีกฝ่ายกลับมองเขาด้วยสายตาดูแคลน
แต่เวลานี้แขกจวนเจ้าเมือง กลับถูกศิษย์ของเขาลงโทษได้
แค่คิดก็รู้แล้วว่าอารมณ์ของนักพรตชิงอวิ๋นในเวลานี้จะเป็นเช่นไร ?
แต่ในฐานะอาจารย์ของลู่ซานหยาง
เขารู้ดีว่าลู่ซานหยางนั้นชอบหลงตัวเองได้ง่าย
เช่นนั้นต่อหน้าของลู่ซานหยาง เขาจึงมิสามารถเผยสีหน้าดีใจออกได้
และแล้วเวลาสามวันก็ผ่านไปราวกับกระพริบตา
แน่นอนว่าจางเฉิงเจิ้นนักสร้างค่ายกลผู้นี้
ก็ได้รักษาสัญญาคุกเข่าอยู่ที่เชิงเขาเป็นเวลาสามวันสามคืนจริง ๆ ท่ามกลางการจับตามองของพวกจูหวยเหริน
ยามหัวค่ำของวันนี้
หลังจากลู่ซานหยางคลายแรงกดดัน ที่ปกคลุมร่างของจางเฉิงเจิ้นออกไป
จางเฉิงเจิ้นจึงคิดว่า
ในที่สุดผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ที่เร้นกายอยู่ในสำนักชิงหยางท่านนั้น ยอมให้เขาจากไปได้แล้ว
จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ก่อนจะหมุนกายเดินขากะเผลกไปทางจูหวยเหรินที่มีสีหน้ามิพอใจเป็นอย่างมาก
“ท่านจาง ท่านคงมีคำอธิบายให้พวกข้าใช่หรือไม่ ? ”
เมื่อเห็นจางเฉิงเจิ้นเดินขากะเผลกเข้ามา
จูหวยเหรินก็เดินเอามือไพล่หลัง ตรงเข้าไปหาเขาด้วยหน้าตาขึงขังในทันที พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นเรียบ ๆ
“คำอธิบายงั้นหรือ ? ”
จางเฉิงเจิ้นหัวเราะเยาะออกมา ก่อนจะมีท่าทีบึงตึ้ง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งออกมาว่า “เจ้าสำนักจู ข้าเองก็อยากได้คำอธิบายจากท่านเช่นกัน ! ”
“ก่อนหน้านี้ท่านบอกให้ข้ามาเป็นเพื่อน หากเกิดเหตุการณ์มิคาดฝันขึ้นเท่านั้น แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าสำนักชิงหยางแห่งนี้ มีผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทานท่านหนึ่งเร้นกายอยู่ หากมิใช่เพราะผู้อาวุโสท่านนั้นมิถือสาหาความข้าแล้วล่ะก็ สามวันก่อนข้าคงจะดับสูญไปแล้ว ! ”
ผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทาน ?
จางเฉิงเจิ้นเอ่ยจบ
พวกจูหวยเหรินพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างห้ามมิได้
“ท่านจาง ท่านรู้ได้เยี่ยงไรว่าสำนักชิงหยางมีผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทานเร้นกายอยู่ ? ”
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งของสำนักฉือเซี่ยะขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยถามขึ้น
จางเฉิงเจิ้นหันไปปรายตามองผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ พร้อมกับแค่นหัวเราะเสียงเย็นมา “พวกเจ้าควรรู้เอาไว้ว่าข้านั้นมิได้มีความแตกฉานแต่เพียงด้านค่ายกลเท่านั้น แต่ยังมีตบะบารมีอยู่ในขั้นสูงสุดของแดนก่อกำเนิดอีกด้วย”
“และการที่ข้ายอมคุกเข่าอยู่ในค่ายกลนั้นเป็นเวลาถึงสามวันสามคืน พวกเจ้าคิดว่าข้ากำลังล้อพวกเจ้าเล่นอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จางเฉิงเจิ้นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางจูหวยเหรินพลางเอ่ยเสียงเข้มว่า “อีกทั้งมุกสารพัดนึกที่สื่อสารกับข้าได้ ก็ยังถูกผู้อาวุโสท่านนั้นช่วงชิงไปอีกด้วย”
“ห๊ะ ! ”
ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
ขณะเดียวกันก็อดมิได้ที่จะมองหน้ากันด้วยความตกใจ
จนเวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
เมื่อเห็นจูหวยเหรินยังคงมิพูดอะไร ท่าทางเหมือนจะปัดความรับผิดชอบ
“เจ้าสำนักจู มุกสารพัดนึกมีความหมายเช่นไรสำหรับข้า คิดว่าคงมิต้องให้ข้าอธิบายหรอกกระมัง ? ”
จางเฉิงเจิ้นเอ่ยด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งตึง “อีกอย่างนับตั้งแต่นี้ต่อไป ข้ามิอยากคบค้าสมาคมใด ๆ กันเจ้าอีกแล้ว และหวังว่าเจ้าจะมีคำอธิบายให้ข้าโดยเร็วที่สุด”
จูหวยเหรินพลันมีสีหน้าดำคล้ำ ก่อนจะฉีกยิ้มที่ดูย่ำแย่ราวกับจะร้องไห้ออกมา
“ท่านจาง มีอะไรพวกเราคุยกันดี ๆ ก็ได้นี่นา มิเห็นจะต้องทำลายมิตรภาพเช่นนี้เลยนี่”
จูหวยเหรินเอ่ยด้วยรอยยิ้มกับจางเฉิงเจิ้น
“ข้ามิมีอะไรจะพูดกับเจ้าอีก”
จางเฉิงเจิ้นส่งเสียง “หึ” ออกมา พร้อมกับสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นก็ทะยานขึ้นฟ้าแปลงเป็นลำแสงเหาะไปทันที
ทันใดนั้น กลุ่มคนนับสิบที่ยังอยู่ ณ ที่นั้นต่างก็มองหน้ากัน พร้อมกับมีสีหน้าย่ำแย่ลงไปอีก
ผ่านไปครู่หนึ่ง
“พี่จู ตอนนี้ดูเหมือนว่าการจะทำลายสำนักชิงหยางคงจะเป็นไปมิได้แล้ว”
เจี่ยเจิ้นเคอดวงตาเป็นประกายขึ้น ก่อนจะรีบเดินไปตรงหน้าของจูหวยเหริน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ “ถ้าเช่นนั้นข้าและยอดฝีมือของสำนักงูศักดิ์สิทธิ์คงต้องขอตัวก่อน”
เอ่ยจบเจี่ยเจิ้นเคอก็หันไปส่งสัญญาณให้กับผู้อาวุโสท่านหนึ่งในสำนัก จากนั้นก็พากันจากไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านเจ้าสำนัก ตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรกันดีขอรับ ? ”
เมื่อเห็นพวกเจี่ยเจิ้นเคอจากไปแล้ว ผู้อาวุโสท่านหนึ่งของสำนักฉือเซี่ยะ ก็ได้เอ่ยถามขึ้นอย่างหงุดหงิด
“เรื่องนี้ข้ามิมีทางปล่อยไปง่าย ๆ เด็ดขาด ! ”
จูหวยเหรินเอ่ยด้วยท่าทางดุดัน “ในเมื่อสำนักชิงหยางมีผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทานเร้นกายอยู่ เช่นนั้นตอนนี้พวกเราคงยังมิสามารถทำอะไรได้ แต่หากระหว่างการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์ หากข้านำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่นิกายกระบี่สวรรค์ แล้วขัดขวางพวกเขาเล่า ? ”
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด “ท่านเจ้าสำนัก เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงสำนักฉือเซี่ยะ เราต้องวางแผนให้ละเอียดรอบคอบก่อนนะขอรับ ! ”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของสำนักฉือเซี่ยะ ข้าย่อมรู้ดีถึงผลที่จะตามมา”
Comments