เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 384 ค่ำคืนก่อนจากลา
ตอนที่ 384 ค่ำคืนก่อนจากลา
หลังจากเหล่ายอดฝีมือของสำนักงูศักดิ์สิทธิ์ และสำนักฉือเซี่ยะทยอยกลับไปอย่างจำยอมแล้ว
เวลาสิบกว่าวันก็ผ่านไปไวราวกับโกหก
ยามค่ำของวันนี้
เขาอวิ๋นชางยังคงถูกปกคลุมไปด้วยหมอกบาง ๆ เช่นเคย
ขณะเดียวกัน แสงสีแดงที่สาดส่องลงมา
กลับทำให้สำนักชิงหยางที่เป็นสำนักระดับล่างสุดของหลิงโจว ดูราวกับเป็นแดนเซียนขึ้นมา
และนับตั้งแต่เย่ฉางชิงได้เริ่มฝึกภาพกระบี่ไร้สิ้นสุด (พระเอกยังเปิดจุดเซินชางมิครบจึงยังฝึกเคล็ดเทพปีศาจโบราณไม่ได้)
หรืออาจเป็นเพราะเขามุ่งมั่นที่เปิดจุดเซินชางทั้งหกตำแหน่ง
จึงทำให้ปราณวิญญาณธาตุต่าง ๆ ภายในรัศมีสิบลี้ของเขาอวิ๋นชาง จึงไหลมารวมกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้แทบจะทั้งหมด
และบรรดาศิษย์ทุกคนของสำนักชิงหยาง ล้วนหวังว่าจะได้รับโอกาสและวาสนาจากเย่ฉางชิงกันทั้งสิ้น
พวกเขาต่างก็ทยอยแวะเวียนไปหาเย่ฉางชิง และพูดโอ้อวดในสิ่งที่ตนเองเข้าใจในวิถีต่าง ๆ ให้เย่ฉางชิงฟัง
ทว่าสิ่งที่พวกเขาคาดมิถึงก็คือ
ศิษย์น้องเย่ผู้นี้กลับเก่งกาจเป็นอย่างมาก
เพราะสิ่งที่พวกเขาพูดออกไป ศิษย์น้องเย่ผู้นี้กลับสามารถรู้แจ้งในคำพูดเหล่านั้น และสามารถทำได้จริง ๆ
พวกเขาที่เดิมทีมีคุณสมบัติอยู่ในระดับกลาง ๆ
ทว่าด้วยการหล่อเลี้ยงของไอพลังเต๋า ที่แผ่ออกมาจากกายของเย่ฉางชิง กลับทำให้รากปราณของพวกเขาเกิดการพัฒนา กลายเป็นอัจฉริยะในการฝึกเซียนไปตาม ๆ กัน
มิเพียงเท่านั้น บัดนี้ทั่วทั้งสำนักชิงหยางยังมีไอพลังเต๋าแผ่ออกมาจาง ๆ อีกด้วย
สำนักชิงหยางในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่า กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในการฝึกเซียนอย่างแท้จริงไปแล้ว
“ฟิ้ว ! ”
ตอนนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีเสียง ๆ หนึ่งดังมาจากฟากฟ้า
ลำแสงที่เจิดจ้าราวกับเปลวไฟสายหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยพลังอันรุนแรงได้ทะยานขึ้นสู่ฟ้า
ทันใดนั้น สำนักชิงหยางก็ถูกปกคลุมไปแสงหลากสีสันมากมาย งดงามอย่างไร้ที่เปรียบ
พร้อมกับมีไอพลังบางอย่างแผ่ออกมาด้วยเช่นกัน
ใช่แล้ว !
ปรากฏการณ์เช่นนี้หมายความว่าชวี่เหวินเซี่ยที่เข้าฌานมานาน ในที่สุดก็สามารถก้าวเข้าสู่แดนก่อกำเนิดได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เวลาผ่านไปมิถึงหนึ่งก้านธูป
นอกจากเย่ฉางชิงที่ยังคงมุ่งมั่นในการบำเพ็ญเพียร และหวังที่จะเปิดจุดเซินชางตำแหน่งที่หกให้ได้ ก่อนไปจากสำนักชิงหยางแล้ว
คนที่เหลือต่างมารวมตัวกันยังบริเวณด้านนอก ที่ชวี่เหวินเซี่ยเข้าฌานอยู่
“อาจารย์ เกิดปรากฏการณ์ที่ทรงพลังเช่นนี้ หรือว่าศิษย์พี่ชวี่จะทำสำเร็จแล้วหรือเจ้าคะ ? ”
ดวงตาดำขลับของจื่อเหยาเป็นประกายขึ้น พลางเอ่ยถามนักพรตชิงอวิ๋นด้วยความสงสัย
ได้ยินเช่นนั้น คนที่เหลือต่างก็หันไปมองนักพรตชิงอวิ๋นด้วยเช่นกัน
“ถูกต้อง เหวินเซี่ยก้าวเข้าสู่แดนก่อกำเนิดได้สำเร็จแล้วจริง ๆ”
นักพรตชิงอวิ๋นพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังทุกคน พลางลูบหนวดของตนเอง “พวกเจ้าเองก็มิต้องท้อใจไป ด้วยคุณสมบัติของพวกเจ้าในตอนนี้ ภายภาคหน้าย่อมสามารถก้าวเข้าสู่แดนก่อกำเนิดได้อย่างแน่นอน”
ทันทีที่สิ้นเสียง
“อาจารย์ ศิษย์พี่ชวี่ก้าวเข้าสู่แดนก่อกำเนิดแล้วก็จะไปจากสำนักชิงหยาง เพื่อไปฝึกที่นิกายกระบี่สวรรค์”
จื่อเหยาถามต่อด้วยความสงสัย “ถ้าเช่นนั้นเมื่อพวกเราก้าวสู่แดนก่อกำเนิดได้แล้ว ก็ต้องไปฝึกที่นิกายกระบี่สวรรค์ด้วยอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ? ”
“ห๊ะ ? ”
ได้ยินเช่นนั้น มิเพียงแต่นักพรตชิงอวิ๋นที่มีท่าทางนิ่งไป แม้แต่คนที่เหลือเองก็อดที่จะมีสีหน้าเปลี่ยนไปมิได้เช่นกัน
“ศิษย์น้องเล็ก อย่าได้พูดจาเหลวไหล ! ”
หลี่ซิวหยวนถลึงตาใส่จื่อเหยาที่ยังคงมีสีหน้าสงสัย พร้อมกับเอ่ยขัดขึ้นมาทันที
แต่ที่จื่อเหยาถือพูดออกมานั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างคิดอยู่ในใจเช่นกัน ทว่าพวกเขามิอาจเอ่ยออกมาตรง ๆ ต่อหน้าของอาจารย์ได้
“ใช่แล้ว ต่อให้ภายภาคหน้าสำนักชิงหยางจะสามารถเลื่อนขึ้นเป็นสำนักระดับสาม หรือสำนักระดับสองได้ และมีทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรเพิ่มมากขึ้น ทว่าเมื่อเทียบกับนิกายกระบี่สวรรค์แล้ว ยังถือว่ายังห่างไกลกันอีกมาก”
นักพรตชิงอวิ๋นโบกมือไปมาให้กับหลี่ซิวหยวน พร้อมเอ่ยอย่างปล่อยวางว่า “ด้วยคุณสมบัติของพวกเจ้าในตอนนี้ เชื่อว่าคราหน้าพวกเจ้าคงจะสามารถเข้าร่วม และผ่านการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์ได้อย่างแน่นอน”
“เช่นนี้แล้วก็จะพลอยทำให้สำนักชิงหยางก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นข้ามั่นใจว่าด้วยหยวนอิงที่เกิดการพัฒนาของข้า ความสำเร็จในภายภาคหน้าย่อมมิด้อยไปกว่าผู้ใดอย่างแน่นอน”
เอ่ยถึงตรงนี้ ทุกคนต่างก็มีสีหน้าสับสนขึ้นมาอีกครั้ง
นักพรตชิงอวิ๋นจึงเอ่ยต่ออีกว่า “แน่นอนว่าพวกเจ้าเองก็มิต้องรู้สึกแย่ไปหรอก การที่พวกเจ้าได้รับวาสนาเช่นนี้ นับว่าเป็นบุญของพวกเจ้าแล้ว”
ทันทีที่นักพรตชิงอวิ๋นพูดจบ จู่ ๆ ก็มีเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ทางด้านหลังของนักพรตชิงอวิ๋น
“ตาเฒ่าชิงอวิ๋น เจ้าเลิกแสดงละครได้แล้ว”
“แม้ว่าภายภาคหน้าสำนักชิงหยางจะสามารถขึ้นเป็นสำนักระดับสองของหลิงโจวเพราะพวกเราได้ก็จริง แต่เยี่ยงไรเสียสำนักชิงหยางก็เป็นสำนักที่ต้องพึ่งพิงนิกายกระบี่สวรรค์อยู่ดี หาได้เป็นสุดยอดสำนักเซียนอะไรไม่ และคงยากที่จะก้าวข้ามความจริงข้อนี้ไปได้”
เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มาก็คือชวี่เหวินเซี่ย ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่แดนก่อกำเนิดนั่นเอง
แต่เพราะบัดนี้นางได้ก้าวเข้าสู่แดนก่อกำเนิดแล้ว แม้รูปร่างของชวี่เหวินเซี่ยจะยังคงอวบอัดดูเย้ายวนเช่นเคย ทว่าลักษณะท่าทางกลับดูเย็นชาลงมากกว่าเดิมหลายเท่า
“ยินดีกับศิษย์พี่ชวี่ที่ก้าวเข้าสู่แดนก่อกำเนิดได้สำเร็จ ! ”
เมื่อเห็นชวี่เหวินเซี่ยเดินเข้ามาช้า ๆ คนที่เหลือต่างก็รีบแสดงความยินดีในทันที
นักพรตชิงอวิ๋นเผยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนออกมา ก่อนจะหันไปเอ่ยคล้ายตำหนิชวี่เหวินเซี่ยว่า
“เหวินเซี่ย เจ้าและฉางชิงอีกมินานก็ต้องออกเดินทางไปนิกายกระบี่สวรรค์แล้ว ยิ่งกว่านั้นวันนี้ยังเป็นวันที่เจ้าก้าวเข้าสู่แดนก่อกำเนิดได้สำเร็จ ฉะนั้นเจ้าเลิกพูดจาเหน็บแนมข้าได้แล้วกระมัง ? ”
ชวี่เหวินเซี่ยแค่นเสียง หึ ออกมาเบา ๆ พลางเอ่ยแย้งว่า “หรือว่ามิใช่เรื่องจริง ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นเม้มริมฝีปากเล็กน้อย มิกล้าพูดสิ่งใดออกมาอีก
“ศิษย์พี่ชวี่ ได้ยินอาจารย์บอกว่าคุณสมบัติของท่านนั้นสูงส่งยิ่ง”
ศิษย์น้องเจ็ดผู้มีนิสัยชอบสอดรู้สอดเห็น เอ่ยถามขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ตอนนี้ท่านก้าวเข้าสู่แดนก่อกำเนิดแล้ว มิรู้ว่าท่านกับอาจารย์ตอนนี้ใครเก่งกว่ากันหรือขอรับ ? ”
ชวี่เหวินเซี่ยปรายตามองนักพรตชิงอวิ๋นที่ถลึงตาใส่เสี่ยวฉี ก่อนจะเอ่ยเรียบ ๆ ว่า “เสี่ยวฉี หากเจ้าตกลง ข้าก็อยากที่จะประลองกับเจ้าดูเหมือนกัน”
เถียนเสี่ยวฉีมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะก้มหน้าลงและมิกล้าพูดอะไรอีก
ตอนนั้นเองลู่ซานหยางก็ได้กวาดตามองทุกคนด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า พร้อมเอ่ยแนะนำชวี่เหวินเซี่ย
“ศิษย์พี่ชวี่ วันนี้ท่านก้าวเข้าสู่แดนก่อกำเนิดได้สำเร็จ เช่นนั้นวันนี้พวกเราก็ควรฉลองกันสักหน่อยดีหรือไม่”
ยังมิทันสิ้นเสียงดี ชวี่เหวินเซี่ยก็กลอกตาใส่ลู่ซานหยางทันที พลางแค่นเสียงเย็นว่า “แซ่ลู่ เจ้าอย่าคิดว่าข้ามิรู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ เจ้าก็แค่อยากจะดื่มสุราชิงอี่อีกจอกก็เท่านั้น”
ลู่ซานหยางเกาท้ายทอยอย่างเก้อเขิน ก่อนจะหัวเราะแฮะ ๆ ออกมา
ชวี่เหวินเซี่ยมิได้สนใจลู่ซานหยางอีก แต่กลับหันไปมองนักพรตชิงอวิ๋น พลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ตาเฒ่าชิงอวิ๋น ข้าและศิษย์น้องเย่จะต้องออกเดินทางไปนิกายกระบี่สวรรค์เมื่อใด ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเนิบ ๆ ว่า “พรุ่งนี้”
ชวี่เหวินเซี่ยจึงถามขึ้นอีกว่า “พวกเราไปกันเพียงสองคนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นจึงตอบกลับไปทันทีว่า “ด้วยฐานะของเจ้าและฉางชิงนั่นค่อนข้างพิเศษ เพื่อเป็นการเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นโดยมิจำเป็น พวกเจ้าจึงต้องไปกันเพียงลำพังสองคน”
ชวี่เหวินเซี่ยพยักหน้ารับ “ก็ดีเหมือนกัน”
เอ่ยเพียงเท่านั้นชวี่เหวินเซี่ยก็หันมามองลู่ซานหยางอีกเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับทุกคนว่า “เห็นแก่พรุ่งนี้ข้าและศิษย์น้องฉางชิงต้องออกเดินทางแล้ว คืนนี้พวกเจ้าจะได้ดื่มสุราชิงอี่อีกคนละหนึ่งจอก”
สิ้นเสียงทุกคนต่างก็นิ่งงันไป ก่อนที่ใบหน้าจะเผยรอยยิ้มยินดีออกมา
จากนั้นนักพรตชิงอวิ๋นรวมทั้งศิษย์ทั้งเก้าคนของเขา ก็มารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งนัก
พวกเขาต่างพูดคุยกันออย่างสนุกสนาน ราวกับบิดาพูดคุยกับบรรดาลูก ๆ ของเขา
ไร้ซึ่งสิ่งที่เรียกว่ากฎสำนักมาคอยกดดัน ทุกคนต่างเปิดอกพูดคุยกันอย่างสบายอารมณ์
ทว่าในตอนเช้ามืด
ทั่วทั้งเขาอวิ๋นชาง
จู่ ๆ ก็มีพายุโหมกระหน่ำ ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง ปราณวิญญาณธาตุต่าง ๆ กลับพลุ่งพล่านขึ้นมา
มินานก็มีลำแสงอันเจิดจ้าหลายสายทะยานขึ้นจากเขาด้านหลัง ทำให้ทั่วบริเวณนั้นสว่างไสวขึ้นในพริบตา
เป็นปรากฏการณ์ที่ตระการตาอย่างมาก ราวกับมีปาฏิหาริย์บางอย่างเกิดขึ้น
ตอนนั้นเองนักพรตชิงอวิ๋นและชวี่เหวินเซี่ย ที่นั่งเผชิญหน้ากันอยู่ ราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงลุกขึ้นยืนในทันที
“พลังมหาศาลเช่นนี้ หรือว่าศิษย์น้องเย่จะเกิดการบรรลุขึ้น ? ”
ชวี่เหวินเซี่ยเอ่ยออกมาตามที่ตนคาดเดา
“แต่หาใช่การบรรลุระดับไม่”
นักพรตชิงอวิ๋นหลับตาลง ก่อนจะเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ ฉางชิงคงจะเปิดจุดเซินชางตำแหน่งที่หกสำเร็จแล้วกระมัง”
“จุดเซินชางตำแหน่งที่หกงั้นหรือ ? ”
Comments