เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 385 อาจารย์ พวกเขาไปแล้วหรือขอรับ ?
ตอนที่ 385 อาจารย์ พวกเขาไปแล้วหรือขอรับ ?
วินาทีต่อมา นักพรตชิงอวิ๋นและชวี่เหวินเซี่ยก็สบตากันเล็กน้อย ก่อนจะแปลงเป็นลำแสงสองสาย เหาะตรงไปทางด้านหลังเขา
เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป
นักพรตชิงอวิ๋นและชวี่เหวินเซี่ย กลับมิได้เข้าไปหาเย่ฉางชิงในทันที แต่เลือกที่จะหยุดอยู่ตรงหน้าผาด้านหลังของเย่ฉางชิงก่อน เพื่อประเมินสถานการณ์
ทว่าเมื่อพวกเขาทั้งสองคนได้เห็นนิมิตที่ปกคลุมร่างของเย่ฉางชิง ก็ถึงกับแข็งค้างราวกับหินในพริบตา
ในนิมิตปรากฎร่างอันใหญ่โต นั่งสมาธิหันหลังให้กับผู้คนอยู่กลางอากาศ
ถ้ำสวรรค์ที่มีธาตุต่างกันทั้งห้าธาตุลอยวนอยู่รอบกาย และมีหมอกแสงอันเจิดจ้าพวยพุ่งออกมาอย่างหนาแน่น
ส่วนตรงกลางของร่างกายที่เป็นจุดเซินชางตำแหน่งที่หกนั้น ในที่สุดก็ปรากฏโครงร่างขึ้นมา
ทว่าแม้จะเป็นเพียงโครงร่าง แต่ภาพที่ปรากฏขึ้นมานั้นกลับน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
เพราะจุดเซินชางตำแหน่งที่หกนี้ เมื่อเทียบกับจุดเซินชางอีกห้าตำแหน่งแล้ว กลับมีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก
ทำให้ภาพของจุดเซินชางทั้งหกตำแหน่งในเวลานี้ ดูคล้ายกับดาวล้อมเดือนก็มิปาน
อีกทั้งจุดเซินชางตำแหน่งที่หกนี้ ยังดูคล้ายกับเตาหลอมฟ้าดินขนาดย่อมอีกด้วย
มีหมอกที่มีสีสันหลากพวยพุ่งออกมามิหยุด อบอวลไปด้วยพลังอันโกลาหลบางเบาที่ออกมาจากภายใน
อีกทั้งยังมีสัญลักษณ์เต๋ามากมายซ่อนอยู่ภายในอีกด้วย
แค่ดูก็รู้แล้วว่าเวลานี้ นิมิตที่ปกคลุมร่างของเย่ฉางชิงนั้น น่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด
ส่วนเย่ฉางชิง
รอบกายของเขามีแสงหลากสีสันไหลเวียนอยู่ มีถ้ำสวรรค์ขนาดใหญ่ถ้ำหนึ่งลอยอยู่ด้านหน้า
ส่วนภายในถ้ำสวรรค์ก็ได้มีสัญลักษณ์โบราณมากมายลอยวนไปมา เกิดเป็นพายุหมุนหลากสีสันที่หมุนด้วยความเร็วลูกหนึ่งขึ้น ก่อนจะดูดเอาปราณวิญญาณฟ้าดินธาตุต่าง ๆ เข้าไปภายในมิหยุด
ภาพที่เกิดขึ้นนั้นชวนให้ผู้พบเห็นตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก !
“ตาเฒ่าชิงอวิ๋น เคล็ดเทพปีศาจโบราณที่ศิษย์น้องเย่ฝึกฝนอยู่ แท้จริงแล้วเป็นเคล็ดวิชาเช่นไรกันแน่ ? ”
หลังจากที่ได้สติขึ้นมา ชวี่เหวินเซี่ยก็ได้หันไปถามกับนักพรตชิงอวิ๋น “หากดึงปราณวิญญาณธาตุต่าง ๆ เข้าไปภายในร่างกายอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ หากเป็นคนอื่นเกรงว่ากายคงระเบิดจนดับสูญไปนานแล้วกระมัง ! ”
“ใช่ เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ”
นักพรตชิงอวิ๋นพยักหน้าเห็นด้วย “เคล็ดวิชาที่ทรงพลานุภาพเช่นนี้ อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลย แม้แต่ตบะบารมีของข้าในตอนนี้ก็มิอาจจะทานทนได้เช่นกัน ยิ่งกว่านั้นปราณวิญญาณที่ดูดเข้าไป ยังเป็นปราณวิญญาณของทั้งห้าธาตุอีกด้วย”
ทันทีที่สิ้นเสียง ดวงตาของชวี่เหวินเซี่ยเป็นประกาย ก่อนจะถามว่า “ตาเฒ่าชิงอวิ๋น ศิษย์น้องเย่มีพรสวรรค์อันน่าตกตะลึงเช่นนี้ เจ้ายอมให้เขาไปเข้าร่วมการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์จริง ๆ น่ะหรือ ? ”
“ต่อให้ข้ามิอยากให้เขาไป แล้วจะทำเช่นไรได้เล่า ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะถอนหายใจออกมา “เยี่ยงไรเสียสำนักชิงหยางก็เป็นเพียงสำนักระดับล่างสำนักหนึ่งเท่านั้น ส่วนฐานะของฉางชิงนั้นก็น่ากลัวเกินไป เช่นนั้นหากให้เขาอยู่บำเพ็ญเพียรที่สำนักชิงหยางต่อ ก็เหมือนกับการถือเผือกร้อนเอาไว้ในมือ”
“อีกอย่างพวกเราต่างก็รู้ว่าฐานะของฉางชิงนั้น หาใช่สิ่งที่พวกเราจะสามารถคาดเดาได้ หากวันหนึ่งเขาเกิดจำทุกอย่างขึ้นมาได้ เกรงว่าเพียงแค่คิดก็คงสามารถทำลายสำนักชิงหยางให้ราบเป็นหน้ากลองได้แล้วกระมัง”
เอ่ยถึงตรงนี้สีหน้าของนักพรตชิงอวิ๋นก็อ่อนลง พลางเอ่ยอย่างภูมิใจว่า “และนี่ก็คือเหตุผลว่าเหตุใดตอนที่ข้าพบหน้าฉางชิงคราแรก มิได้รีบรับเขาเข้าเป็นศิษย์ แต่เพียงอนุญาตให้เขาบำเพ็ญเพียรอยู่ที่สำนักชิงหยางเท่านั้น”
ชวี่เหวินเซี่ยมุมปากค่อย ๆ โค้งขึ้น ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ตาเฒ่า การที่สามารถพาศิษย์น้องเย่มาบำเพ็ญเพียรที่สำนักชิงหยางได้ เกรงว่าเจ้าคงใช้โชคของเจ้าทั้งชีวิตนี้หมดแล้วกระมัง”
ได้ยินเช่นนั้น
“เหวินเซี่ย ครานี้เจ้าพูดผิดแล้ว”
นักพรตชิงอวิ๋นหัวเราะร่า พลางส่ายหน้าและโบกมือไปมา “เจ้ารู้หรือไม่ตอนที่ข้าพบฉางชิงคราแรกนั้น มีหมอกสีม่วงแผ่ไปไกลถึงสามหมื่นลี้ ถือเป็นลางดีที่หาได้ยากยิ่งนัก”
“อีกทั้งหากข้าเดามิผิดแล้วล่ะก็ โชคของข้าเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น”
ชวี่เหวินเซี่ยยิ้มออกมาอย่างมิใส่ใจ
สองคนศิษย์อาจารย์ยืนคุยกันอยู่ที่ริมหน้าผาพักใหญ่
จนแสงตะวันค่อย ๆ โผล่พ้นขอบฟ้า
ส่วนเย่ฉางชิงที่อยู่ด้านล่าง ตอนนี้นิมิตรอบกายของเขาได้หายไปแล้ว เหมือนว่าในที่สุดเขาก็เปิดจุดเซินชางตำแหน่งที่หกสำเร็จแล้ว
“เหวินเซี่ยได้เวลาแล้ว เจ้ากลับไปเตรียมตัวแล้วออกเดินทางพร้อมฉางชิงเถอะ”
ใบหน้าชราของนักพรตชิงอวิ๋นเผยสีหน้าอาลัยอาวรณ์ออกมา ขณะเอ่ยกับชวี่เหวินเซี่ย
ชวี่เหวินเซี่ยลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างนอบน้อมเป็นครั้งแรก
หลังจากมองชวี่เหวินเซี่ยจากไปแล้ว
จนเวลาผ่านไปอีกเกือบครึ่งชั่วยาม
นักพรตชิงอวิ๋นยืนใคร่ครวญอยู่อย่างนั้นอีกพักใหญ่ ก่อนจะหายวับไป พร้อมปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งยังด้านล่าง
“ฉางชิง ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว เจ้าไปเก็บของแล้วเตรียมตัวเดินทางเถอะ”
นักพรตชิงอวิ๋นค่อย ๆ เดินไปตรงหน้าของเย่ฉางชิง พร้อมกับบอกอย่างเนิบ ๆ
ทันทีที่สิ้นเสียง ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นของเย่ฉางชิงก็ลืมขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นยืนในทันที
“ท่านเจ้าสำนัก”
เย่ฉางชิงโค้งคำนับให้แก่นักพรตชิงอวิ๋น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยความยินดีว่า “ท่านเจ้าสำนัก คิดว่าท่านคงจะทราบแล้ว ว่าเมื่อครู่นี้ข้าสามารถเปิดจุดเซินชางตำแหน่งที่หกได้สำเร็จแล้วขอรับ”
“มิหนำซ้ำข้าใช้เวลามิถึงหนึ่งชั่วยาม ก็สามารถเสริมสร้างปราณได้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นยังบรรลุระดับได้อย่างต่อเนื่อง จนตอนนี้ข้ามีตบะบารมีระดับรวบรวมชีพจรขั้นสูงสุดแล้วขอรับ”
นักพรตชิงอวิ๋นได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงงัน ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างฝืดเฝื่อน
แม้เวลาเกือบครึ่งปีที่ผ่านมา เย่ฉางชิงเอาแต่มุ่งมั่นเปิดจุดเซินชางอยู่ตลอดเวลา แต่ความเร็วในการบรรลุเช่นนี้ ดูน่าตกใจเกินไปหน่อยกระมัง !
เวลามิถึงหนึ่งชั่วยาม สามารถบรรลุต่อเนื่องจนถึงระดับรวมชีพจรขั้นสูงสุด
‘หากให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน เจ้ามิบรรลุถึงแดนสร้างแก่นเลยเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘หากวัดตามความเร็วในการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ เกรงว่าอีกเพียงครึ่งเดือนเขาคงก้าวเข้าสู่ระดับที่เหนือกว่าแดนก่อกำเนิดเป็นแน่ ! ’
‘โชคของข้าเพิ่งจะเริ่มขึ้นจริง ๆ ด้วย’
‘หากการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์ล่าช้าออกไปอีกสักหนึ่งเดือน’
‘ต่อให้ข้าและศิษย์ในสำนักจะมิเผยพิรุธใด ๆ ออกมา เกรงว่าฉางชิงก็คงสามารถสัมผัสได้ถึงตบะบารมีของทุกคนอยู่ดี’
เมื่อคิดได้เช่นนั้น
“ฉางชิง ต้องบอกว่าความสามารถของเจ้านั้นมิเลวจริง ๆ ”
นักพรตชิงอวิ๋นลอบพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะแสร้งเอ่ยออกมาอย่างวางอำนาจว่า “เคล็ดเทพปีศาจโบราณช่างทรงพลังยิ่งนัก การจะเปิดจุดเซินชางทุกก้าวล้วนเต็มไปด้วยอันตราย หากมิระวังอาจเป็นถึงแก่ชีวิตได้”
“การที่เจ้าใช้เวลาเพียงครึ่งปีก็สามารถเปิดจุดเซินชางทั้งหกตำแหน่งได้สำเร็จ มิว่าจะเป็นเพราะสติปัญญาหรือว่าพรสวรรค์ คนเช่นเจ้าล้วนหาได้ยากจริง ๆ ”
เย่ฉางชิงอึ้งไปเล็กน้อย แต่มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
‘เต็มไปด้วยอันตราย ? ’
‘อันตรายต่อชีวิต ? ’
‘แม้ขั้นตอนการเปิดจุดเซินชางทั้งหกตำแหน่งจะใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่นอกจากใช้เวลานานแล้ว ข้าก็มิได้พบกับอันตรายใด ๆ เลยแม้แต่น้อย’
‘แต่เหตุใดท่านเจ้าสำนักถึงพูดเช่นนี้กัน ? ’
‘หรือว่าตอนที่ข้าจมดิ่งกับการเปิดจุด ข้ามิทันได้สังเกตงั้นหรือ ? ’
‘อืม ! ’
‘คงจะเป็นเช่นนั้นแน่ ! ’
‘มิใช่สิ ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ! ’
‘ผู้ที่เก่งกาจเช่นท่านเจ้าสำนัก จะต้องเข้าใจสุดยอดเคล็ดเทพปีศาจโบราณนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง’
‘ส่วนข้าเพิ่งจะเริ่มฝึกเป็นคราแรก’
‘เช่นนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะมิทันได้สังเกตุเห็นสิ่งอันตรายขณะเปิดจุดเซินชางก็เป็นได้’
‘น่าเสียดาย ! ’
‘เนื่องจากคุณสมบัติของข้ายังดีมิพอ จึงต้องไปบำเพ็ญเพียรที่นิกายกระบี่สวรรค์’
‘ต่อให้ภายหน้าข้าจะประสบความสำเร็จในการบำเพ็ญเพียร แต่เกรงว่าคงยากที่จะกลับมาบำเพ็ญเพียรยังสำนักเซียนลึกลับอย่างสำนักชิงหยางได้อีกแล้ว’
“ท่านเจ้าสำนักพูดได้ถูกต้องแล้ว เป็นข้าที่ประมาทในการบำเพ็ญเพียรเกินไป จึงทำให้มิได้คิดถึงอันตรายที่แฝงอยู่”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น นักพรตชิงอวิ๋นก็อดมิได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าเบา ๆ ในทันที
‘ข้าพูดผิดไปงั้นหรือ ? ’
‘สุดยอดเคล็ดวิชาอย่างเคล็ดเทพปีศาจโบราณ ตอนฝึกเขากลับมิพบอันตรายใด ๆ แม้แต่น้อยเลยเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘เกือบไปแล้ว ! ’
‘คิดมิถึงว่าระหว่างที่ฉางชิงและเหวินเซี่ยจะจากไปอยู่แล้ว กลับเป็นข้าที่เกือบจะเผยพิรุธออกมาเสียเอง’
‘ประมาทเกินไปแล้ว ! ’
หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก นักพรตชิงอวิ๋นก็มิกล้าพูดไร้สาระออกมาอีก เขารีบโบกมือไปมา “ฉางชิง เจ้ารีบไปเก็บของแล้วเตรียมตัวออกเดินทางเถอะ”
เย่ฉางชิงพยักหน้ารับ ก่อนจะหมุนกายเดินเข้าไปในถ้ำ
จนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม
เย่ฉางชิงและชวี่เหวินเซี่ยก็ได้มาที่หน้าประตูอันสูงตระหง่านของสำนักชิงหยางบานนั้น
แต่ผู้ที่มาส่งคนทั้งสอง กลับมีเพียงนักพรตชิงอวิ๋นเพียงคนเดียวเท่านั้น
ส่วนคนอื่น ๆ นั้น บ้างก็เพราะดื่มสุราชิงอี่เข้าไป จนถึงตอนนี้ก็ยังคงสลบไสลมิได้สติ
ส่วนบางคนก็ได้รับคำสั่งจากนักพรตชิงอวิ๋นว่ามิให้มา เพราะเกรงว่าจะเผยพิรุธต่อหน้าเย่ฉางชิงระหว่างกล่าวลา
เพราะนักพรตชิงอวิ๋นมองว่า
ยิ่งเป็นคนที่ไร้ความสามารถ ยามที่ต้องจากลาจึงอ่อนไหวได้ง่าย และยากที่จะควบคุมอารณ์ของตนเองได้ !
“ตาเฒ่าชิงอวิ๋น พวกเราลากันตรงนี้เลยก็แล้วกัน ! ”
เมื่อมาถึงหน้าประตู ชวี่เหวินเซี่ยจู่ ๆ ก็หมุนกาย มองไปทางนักพรตชิงอวิ๋นมีท่าทีสับสน พร้อมกับเอ่ยขึ้น
นักพรตชิงอวิ๋นพยายามฉีกยิ้มออกมา พลางโบกมือไล่ “ฉางชิง เหวินเซี่ย พวกเราลากันตรงนี้เลยก็แล้วกัน”
เย่ฉางชิงพยักหน้าอย่างลังเล ก่อนจะโค้งคำนับให้แก่นักพรตชิงอวิ๋นเล็กน้อย
วินาทีต่อมา ชวี่เหวินเซี่ยก็พาเย่ฉางชิงทะยานขึ้นฟ้าไปทันที ก่อนจะเหาะไปทางขอบฟ้าทิศเหนือ
เมื่อเขาทั้งสองคนจากไปแล้ว หลี่ซิวหยวนและลู่ซานหยาง รวมทั้งจื่อเหยาก็รีบเดินเข้ามา
“อาจารย์ พวกเขาไปแล้วหรือขอรับ ? ”
หลี่ซิวหยวนที่ขอบตาแดงก่ำ เอ่ยถามขึ้นเบา ๆ
นักพรตชิงอวิ๋นพยักหน้าให้น้อย ๆ พร้อมเผยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนออกมา
Comments