เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 389 ความกังวลของขงซิงเจี้ยน

Now you are reading เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน Chapter 389 ความกังวลของขงซิงเจี้ยน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 389 ความกังวลของขงซิงเจี้ยน

มินานขงซิงเจี้ยนก็มาหยุดตรงหน้า

ทว่าเมื่อเขาเห็นตัวอักษรโบราณทั้งห้าตัว ที่เย่ฉางชิงเป็นคนเขียนอย่างชัด ๆ

ทันใดนั้นร่างของเขาก็สั่นเทาขึ้นมาน้อย ๆ บนใบหน้าชราพลันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

ต้องยอมรับว่าเขามิเคยเห็นอักษรพู่กันที่มีแนวคิดที่ยอดเยี่ยม ลายเส้นเฉียบคม และการจัดวางแทบจะสมบูรณ์แบบเช่นนี้มาก่อน

เพราะครั้งแรกที่เขาลองผสานวิถีกระบี่ของตนเข้าไปในอักษรพู่กันนั้น

เขาได้ออกมาจากนิกายกระบี่สวรรค์เพียงลำพัง และผนึกตบะบารมีตนเองเอาไว้ จากนั้นก็ออกไปท่องยังโลกด้านนอก เพื่อค้นหานักเขียนอักษรพู่กันฝีมือเยี่ยม เพื่อฝึกฝนการเขียนอักษรพู่กัน

และสุดท้ายเขากลับใช้เวลาเพียงมิกี่เดือน

ความแตกฉานในด้านอักษรพู่กันของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแม้แต่เหล่านักเขียนอักษรพู่กันล้วนมิอาจสู้ได้

แต่เขาก็ยังคงมิพอใจและหยุดอยู่แค่นั้น

จากนั้นเขาก็ได้ออกจากหลิงโจว ตระเวนไปยังแคว้นอื่นอีกสามพันแคว้น เพื่อค้นหาสุดยอดนักเขียนอักษรพู่กันที่แท้จริง

และแล้วความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่นจริง ๆ

เขาใช้เวลาไปเกือบสิบปี

ในที่สุดเขาก็ได้พบกับบุคคลที่ไร้เทียมทาน ที่สามารถผสานวิถีกระบี่ลงไปในอักษรพู่กันได้ท่านหนึ่ง ที่ซุ่ยหลงโจวอันเป็นแคว้นหนึ่งในสามพันแคว้น และขอภาพอักษรพู่กันของบุคคลผู้นั้นมาได้ภาพหนึ่ง

หลังจากที่เขากลับมาที่หลิงโจว และกลับมาถึงนิกายกระบี่สวรรค์แล้ว ก็ได้เริ่มเข้าฌาน

อีกทั้งการเข้าฌานในครั้งนี้ เขายังใช้ระยะเวลานานถึงห้าร้อยปีอีกด้วย

จนกระทั่งเมื่อห้าปีก่อน

แม้ว่าจะสามารถผสานวิถีกระบี่ลงในภาพอักษรพู่กันของตนได้แล้ว อีกทั้งก็ยังเกิดความก้าวหน้าในวิถีกระบี่ขึ้นไปอีก ทว่าอักษรพู่กันของเขานั้น ก็ยังมิอาจเทียบเคียงกับยอดฝีมือท่านนั้นได้

เขาจึงตระหนักได้ว่าความแตกฉานในวิถีกระบี่ของตนเองนั้น เกรงว่าคงจะหยุดชะงักอยู่เพียงเท่านี้ ชีวิตที่เหลือคงยากที่จะบรรลุขั้นขึ้นไปได้อีกแล้ว

เช่นนั้นเขาจึงทำได้เพียงฝากความหวังเอาไว้กับคนรุ่นหลัง

หลายปีมานี้เขาจึงเฝ้ารออยู่ที่เมืองกระบี่สวรรค์ หวังว่าจะได้พบคนรุ่นหลัง ที่มีคุณสมบัติวิถีกระบี่อันไร้เทียมทานสักคนหนึ่ง

ส่วนกระบี่เหล็กและกระบี่ไม้ที่เขาวางเอาไว้ภายในร้าน รวมทั้งภาพอักษรพู่กันที่แขวนเอาไว้ที่ผนัง ล้วนถูกเขาผสานเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่ในระดับชั้นที่ต่างกันลงไป

นั่นก็หมายความว่า ของทั้งสามชนิดนี้เป็นตัวแทนของคุณสมบัติบนวิถีกระบี่สามระดับ

ภาพอักษรพู่กันคือที่สุด

รองลงมาคือกระบี่ไม้

ส่วนกระบี่เหล็กนั้นต่ำที่สุด

แน่นอนว่าคำพูดที่ขงซิงเจี้ยนบอกเย่ฉางชิงและชวี่เหวินเซี่ยก่อนหน้านี้ก็หาได้เป็นเพียงคำพูดเหลวไหลไม่

ผู้ที่สามารถเข้าตาเขาและได้รับการเชื้อเชิญเข้ามา เพื่อรู้แจ้งในร้านแห่งนี้ได้ ล้วนมีคุณสมบัติวิถีกระบี่ที่มิธรรมดาทั้งสิ้น ย่อมสามารถผ่านการคัดเลือกของนิกายกระบี่สวรรค์ได้อย่างง่ายดาย

และในวันนี้เขาก็บังเอิญได้พบกับหนุ่มสาว ที่มีลักษณะท่าทางโดดเด่น จึงได้เอ่ยเชื้อเชิญให้เข้ามาภายในร้าน

แต่สิ่งที่เขาคาดมิถึงก็คือ

หลังจากบุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางโดดเด่นผู้นี้ก้าวเข้ามาในร้าน ก็มองไปทางภาพอักษรพู่กันที่แขวนอยู่บนผนังในทันที

ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่เขาภาคภูมิใจอีกด้วย

ตอนแรกเขาคิดว่าสวรรค์คงเมตตา ให้เขาได้เจอกับผู้ที่เหมาะสมเสียที

ทว่าสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ ล้วนมีความแตกฉานทั้งในด้านอักษรพู่กัน และในวิถีกระบี่ที่อยู่เหนือกว่าเขาทั้งสิ้น

แค่คิดก็รู้แล้วว่าภายในใจของขงซิงเจี้ยนเวลานี้ รู้สึกสับสนมากเพียงใด!

จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป

เมื่อเห็นขงซิงเจี้ยนเอาแต่จ้องเขม็งไปยังภาพอักษรพู่กันของตัวเอง

เย่ฉางชิงก็หันไปสบตากับชวี่เหวินเซี่ยเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มแห้ง ๆ ออกมา

“เถ้าแก่ ภาพอักษรพู่กันของข้าภาพนี้เป็นเช่นไรบ้าง จะได้ราคาสักเท่าไรงั้นหรือ ? ”

เย่ฉางชิงเอ่ยถามขงซิงเจี้ยน ที่มีสีหน้าหลากหลายอารมณ์

หลังจากสิ้นเสียง ขงซิงเจี้ยนก็ได้สติขึ้นมา ก่อนจะรีบละสายตาจากภาพอักษรพู่กันภาพนั้น

ขณะเดียวกันสายตาที่ใช้มองเย่ฉางชิงบัดนี้ ก็แปรเปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน

หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก ประกายหวาดหวั่นพลันพาดผ่านแววตาของขงซิงเจี้ยน ก่อนจะเอ่ยถามออกไปตรง ๆ ว่า “มิทราบว่าท่านมาจากที่ใดกัน เหตุใดถึงมาปรากฏตัวที่เมืองกระบี่สวรรค์ได้ ? ”

เวลานี้ขงซิงเจี้ยนนั้น เริ่มสงสัยในฐานะของเย่ฉางชิงขึ้นมา

แม้เขาจะมิอาจสัมผัสได้ถึงไอพลังและตบะบารมีของอีกฝ่าย แต่เพียงแค่ภาพอักษรพู่กันภาพนี้ ก็พอจะอธิบายอะไรหลาย ๆ อย่างได้แล้ว

สามารถผสานสุดยอดวิถีกระบี่เข้ากับอักษรพู่กันได้ และดูเหมือนฝีมือจะเหนือกว่าผู้อาวุโสท่านนั้น ที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ

แค่จินตนาการก็รู้แล้วว่า อีกฝ่ายนั้นเป็นผู้ที่น่ากลัวมากเพียงใด !

อีกทั้งเมืองกระบี่สวรรค์แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่นิกายกระบี่สวรรค์เตรียมเอาไว้ เพื่อให้ศิษย์ที่จะเข้ารับการทดสอบ

เป็นสถานที่ที่ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งของนิกายกระบี่สวรรค์สร้างขึ้น เพื่อใช้คัดเลือกศิษย์สายสืบทอดโดยเฉพาะ

เช่นนั้นนอกจากศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ และบรรดาศิษย์ของสำนักที่พึ่งพิงนิกายกระบี่สวรรค์ส่งมาเพื่อเข้าร่วมการทดสอบแล้ว คนนอกจะมิสามารถเข้ามาได้แม้เพียงครึ่งก้าว

แน่นอนว่าแม้เมืองกระบี่สวรรค์จะวางค่ายกลขนาดใหญ่เอาไว้มากมาย แต่เป็นฝีมือระดับธรรมดา หากยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานมีตบะบารมีอันสูงล้ำอยากจะเข้ามาภายในนี้อย่างเงียบ ๆ ก็เป็นไปได้

เช่นนั้นคนผู้นี้มีความเป็นไปได้สูงที่เป็นยอดฝีมือเช่นนั้น

ได้ยินเช่นนั้น หลังจากเย่ฉางชิงลังเลอยู่สักพัก ก็อดมิได้ที่จะหันไปสบตากับชวี่เหวินเซี่ย

“เถ้าแก่ ข้ากำลังถามท่านว่าภาพอักษรพู่กันภาพนี้ของข้าเป็นเช่นไร ขายได้กี่ศิลาวิญญาณเท่านั้น ? ”

เย่ฉางชิงเอ่ยกับขงซิงเจี้ยนด้วยความสงสัย

ตอนนั้นเองชวี่เหวินเซี่ยผู้ฉลาดเฉลียวก็เหมือนสัมผัสได้ถึงความรุนแรงของเรื่องนี้ จึงรีบเพ่งกระแสจิตไปทันที

“ท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยและศิษย์น้องเย่มาจากสำนักชิงหยางเจ้าค่ะ ครานี้ที่มาก็เพื่อร่วมการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์เจ้าค่ะ”

“สำนักชิงหยางเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ขงซิงเจี้ยนปรายตามองไปทางชวี่เหวินเซี่ย ก่อนจะเพ่งกระแสจิตกลับไป “แต่เหตุใดข้าถึงมิเคยได้ยินว่าสำนักที่พึ่งพิงนิกายกระบี่สวรรค์ มีสำนักที่ชื่อว่าสำนักชิงหยางมาก่อน”

ชวี่เหวินเซี่ยเม้มริมฝีปากเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าระอาว่า “ขอเรียนผู้อาวุโสตามตรง สำนักชิงหยางนั้นเป็นเพียงสำนักระดับเก้าสำนักหนึ่งเท่านั้นเจ้าค่ะ”

“ห๊ะ ? ”

ขงซิงเจี้ยนพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

‘สำนักระดับเก้า ? ’

‘แต่มิน่าจะใช่ ! ’

‘เหตุใดแค่สำนักระดับเก้าสำนักหนึ่ง ถึงได้มีผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นได้ ทั้งยังมีบุรุษหนุ่มที่มีพรสวรรค์อันน่าตกใจผู้นี้อีก ? ’

หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก ขณะที่ขงซิงเจี้ยนจะเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งนั้น

ชวี่เหวินเซี่ยก็ส่งกระแสจิตกลับไปว่า “เรียนผู้อาวุโส คิดว่าท่านคงมองออกแล้วว่าศิษย์น้องเย่หาใช่คนธรรมดาไม่ แต่เป็นบุคคลที่ไร้เทียมทานเจ้าค่ะ ? ”

ขงซิงเจี้ยนสบตากับชวี่เหวินเซี่ยเล็กน้อย แต่มิได้ตอบกลับใด ๆ

ชวี่เหวินเซี่ยจึงเอ่ยต่อว่า “แน่นอนว่า ฐานะที่แท้จริงของศิษย์น้องเย่นั้น อาจจะอยู่เหนือกว่าที่พวกเราจะคาดถึง แต่หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็”

“ศิษย์น้องเย่คงจะใช้สุดยอดเคล็ดวิชาลับบางอย่าง ผนึกความทรงจำและตบะบารมีของตัวเองเอาไว้ และมาที่นี่อีกคราเพื่อหวนรำลึกถึงความรู้สึกในการเริ่มต้นบำเพ็ญเพียร หรือปลดพันธนาการบางอย่าง”

ทันทีที่สิ้นเสียง ขงซิงเจี้ยนก็ยังคงมิได้ตอบกลับใด ๆ เพียงแค่ลอบพิจารณาเย่ฉางชิงซ้ำไปซ้ำมาอีกครั้ง

เหมือนที่สตรีนางนี้พูดเอาไว้มิมีผิด

คนผู้นี้แม้จะมีความแตกฉานในวิถีกระบี่ถึงระดับที่ไร้เทียมทานแล้ว แต่การกระทำต่าง ๆ ของเขากลับหาได้เย่อหยิ่ง ดังเช่นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานคนอื่น ๆ ไม่

มิเช่นนั้นเพียงพบกันโดยบังเอิญ จะเขียนอักษรพู่กันเช่นนี้ให้ทำไมกัน ?

คิดได้เช่นนั้น

“เช่นนั้นแล้วเจ้าเป็นใครกัน ? ”

ขงซิงเจี้ยนส่งกระแสจิตถามกลับไป “ผู้ที่มีรากปราณขั้นสุดยอดถึงสองธาตุ แม้จะมีตบะบารมีแดนก่อกำเนิด แต่ความบริสุทธิ์และเข้มข้นของพลังวิญญาณ กลับอยู่เหนือกว่าแดนก่อกำเนิดทั่วไปมาก เหตุใดถึงได้ไปอยู่ในสำนักระดับเก้าเช่นนั้นได้ ? ”

ชวี่เหวินเซี่ยนิ่งไปเล็กน้อย มีประกายความสับสนพาดผ่านในแววตา

“ผู้อาวุโส ผู้น้อยบอกท่านได้เพียงว่า ผู้น้อยหาใช่คนของหลิงโจวไม่ วันนี้ที่มาเข้าร่วมการทดสอบศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ ก็เพียงเพื่อจะได้เข้าไปบำเพ็ญเพียรในนิกายกระบี่สวรรค์เท่านั้น หาได้มีจุดประสงค์อื่นไม่เจ้าค่ะ”

ชวี่เหวินเซี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงใจ

สิ้นเสียงในที่สุดเย่ฉางชิงก็เอ่ยขึ้นอย่างทนต่อไปมิไหวว่า “เถ้าแก่ ภาพอักษรพู่กันภาพนี้ของข้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

ขงซิงเจี้ยนนิ่งไปสักพัก ก่อนจะรีบปรับสีหน้า พร้อมส่งยิ้มให้แก่เย่ฉางชิง “10,000 ศิลาวิญญาณเป็นเช่นไร ? ”

เย่ฉางชิงยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ พร้อมกับพยักหน้าพึงพอใจยิ่ง

ขงซิงเจี้ยนเห็นเช่นนั้น ก็รีบเพ่งสมาธิแล้วหยิบ 10,000 ศิลาวิญญาณออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ และกองลงตรงหน้าของเย่ฉางชิง

เย่ฉางชิงก็สะบัดแขนเสื้ออย่างมิเกรงใจ จากนั้น 10,000 ศิลาวิญญาณก็ถูกเก็บเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติในทันที

“ศิษย์พี่ชวี่ เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะขอรับ”

เย่ฉางชิงหันมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ชวี่เหวินเซี่ยและขงซิงเจี้ยนลอบสบตากันเล็กน้อย และพยักหน้าเป็นสัญญาณให้กันน้อย ๆ

มินาน เมื่อเห็นแผ่นหลังที่ค่อย ๆ ห่างออกไป ของเย่ฉางชิงและชวี่เหวินเซี่ย

ขงซิงเจี้ยนก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ พร้อมกับเผยท่าทางเคร่งขรึมออกมาอย่างอดมิได้

“หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็มิรู้ว่าสำหรับนิกายกระบี่สวรรค์แล้ว จะเป็นโชคหรือเป็นเคราะห์กันแน่…”

หลังจากใคร่ครวญอยู่นาน ขงซิงเจี้ยนก็ตัดสินใจนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งในเมืองกระบี่สวรรค์

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด