เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 391 เหตุใดข้าต้องหล่อเหลาเช่นนี้ด้วย

Now you are reading เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน Chapter 391 เหตุใดข้าต้องหล่อเหลาเช่นนี้ด้วย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 391 เหตุใดข้าต้องหล่อเหลาเช่นนี้ด้วย

ขณะเดียวกันชวี่เหวินเซี่ยก็ได้พาเย่ฉางชิงมายังหอสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองกระบี่สวรรค์

หอสุรากระบี่จมธารา !

ต้องบอกว่าการจะค้างที่หอสุรากระบี่จมธาราสักคืนนั้น มิใช่สิ่งที่ศิษย์สำนักธรรมดาจะสามารถทำได้อย่างแน่นอน

เพราะแค่ห้องธรรมดาก็มีราคาถึง 1,000 ศิลาวิญญาณแล้ว

ห้องระดับกลางจะมีราคาอยู่ที่ 2,000 ศิลาวิญญาณต่อหนึ่งห้อง

ส่วนเรือนชั้นดีที่เป็นส่วนตัวนั้นราคาต่อหลังจะสูงถึง 5,000 ศิลาวิญญาณเลยทีเดียว

แค่คำนวณดูก็รู้แล้ว ระหว่างที่รอจนการทดสอบจะเริ่มขึ้น จะต้องใช้ศิลาวิญญาณไปทั้งหมดเท่าไรกัน !

ทว่าเมื่อเย่ฉางชิงและชวี่เหวินเซี่ยก้าวเข้ามาในหอสุรากระบี่จมธารา ก็ได้มีสตรีท่าทางมิธรรมดาสองคนเดินออกมาต้อนรับ

ชวี่เหวินเซี่ยจึงได้เลือกเรือนชั้นดีหนึ่งหลังโดยมิลังเลทันที

มิหนำซ้ำนางยังจ่ายค่าห้องรวดเดียวถึงสิบวันอีกด้วย ท่ามกลางสายตาตกตะลึงมากมาย

50,000 ศิลาวิญญาณ !

ทันทีที่ทุกคนเห็นท่าทางโอ้อวดของนางเช่นนี้

คนทั้งห้องโถงก็เบิกตากว้างจนลูกตาแทบจะถลนออกมาเสียให้ได้

สามารถควักเงินห้าหมื่นศิลาวิญญาณออกมาได้ง่าย ๆ เช่นนี้ สำนักที่อยู่เบื้องหลังของคนทั้งสอง จะต้องร่ำรวยสักเพียงใดกัน ?

หลังจากเงียบอยู่สักพัก

ภายในห้องโถงที่ตกแต่งอย่างประณีต ก็เกิดความโกลาหลขึ้นในทันที

ทุกคนต่างพากันคาดเดาฐานะของคนทั้งคู่ไปต่าง ๆ นานา

และที่สำคัญศิษย์ของสำนักระดับสูงในที่นั้น ล้วนมิมีใครเคยเห็นสองคนนี้มาก่อน !

ทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน และเริ่มมีคนเข้ามาทักทาย

ชวี่เหวินเซี่ยกลับมีท่าทีมิแยแสใด ๆ เพียงแค่พาเย่ฉางชิงออกมาจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

มินานสตรีท่าทางมิธรรมดานางหนึ่งก็ได้เดินนำคนทั้งคู่ มายังเรือนหลังหนึ่งที่ถูกปิดประตูเอาไว้

ตอนนั้นเองสตรีนางนั้นก็ได้หยิบป้ายหยกทรงกระบี่ชิ้นหนึ่งออกมาจากเอว ก่อนจะผสานพลังเข้าไปในป้ายหยกนั้น

วินาทีต่อมาป้ายหยกทรงกระบี่ลึกลับ ก็ได้เปล่งแสงอันเจิดจ้าสายหนึ่งออกมา ก่อนพุ่งเข้าสู่ห้วงอากาศที่ว่างเปล่า

จากนั้นประตูที่ทั้งหนาและหนักของเรือนหลังนั้น ก็ถูกกระตุ้นด้วยพลังของค่ายกลบางอย่าง ก่อนจะเกิดเสียงทุ้มหนักขึ้น พร้อมกับประตูที่ค่อย ๆ เปิดออก

“ท่านทั้งสอง ประตูห้องเปิดแล้วเจ้าค่ะ”

สตรีน้อยนางนี้หมุนกายมาแนะนำแก่ชวี่เหวินเซี่ยและเย่ฉางชิงด้วยรอยยิ้ม “หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด คิดว่าท่านทั้งสองคงเคยได้ยินมาบ้างแล้ว”

“หอสุรากระบี่จมธาราของเรานั้นเป็นของผู้อาวุโสท่านหนึ่งในสำนักของเรา แม้ค่าห้องของหอสุรากระบี่จมธารา เมื่อเทียบกับหอสุราอื่น ๆ แล้วจะสูงกว่าไปบ้าง ทว่าห้องพักทุกห้องของเราล้วนแต่มีค่ายกลรวมวิญญาณอยู่ และคุณภาพของค่ายกลรวมวิญญาณนั้นจะแตกต่างกันไปตามระดับของห้อง”

“โดยเฉพาะเรือนชั้นดีที่พวกท่านกำลังจะเข้าพักหลังนี้ ภายในได้มีการวางค่ายกลรวมวิญญาณคุณภาพสูงเอาไว้ถึงสองค่ายกล ทั้งยังมีค่ายกลอื่น ๆ ปกคลุมไว้โดยรอบ อีกทั้งยังจะได้รับอภินันทนาการพิเศษอย่างการแช่สมุนไพรและสุรารสเลิศ ที่หอสุรากระบี่จมธาราของเราเตรียมไว้ให้ โดยมิต้องเสียเงินเพิ่มเจ้าค่ะ”

ทันทีที่สิ้นเสียง ความเย็นชาบนใบหน้าของชวี่เหวินเซี่ยพลันมลายหายไป พร้อมกับคารวะน้อย ๆ ให้แก่สตรีนางนั้น

“ต้องรบกวนแล้ว”

ชวี่เหวินเซี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

สตรีนางนั้นโบกมือไปมาอย่างมิถือสา ก่อนจะลอบชำเลืองมองเย่ฉางชิงพร้อมกับเอ่ยอย่างใส่ใจว่า

“อีกทั้งทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรของที่นี่ หาได้ธรรมดาอย่างเช่นที่พวกท่านคิดไม่ ก่อนการทดสอบจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ พวกท่านทั้งสองเพียงแค่ตั้งใจบำเพ็ญเพียร โดยมิมีใครมารบกวนพวกท่าน รอจนถึงการประลองคัดเลือกรอบแรกจะเริ่มขึ้น ข้าจะมาแจ้งให้พวกท่านทราบอีกคราเจ้าค่ะ”

เอ่ยเพียงเท่านั้นสตรีนางนั้นก็หันไปก้มหน้าน้อย ๆ ให้แก่เย่ฉางชิง ก่อนจะหมุนกายเดินจากไป

ใบหน้าของเย่ฉางชิงแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน พร้อมกับพยักหน้ารับเช่นกัน

ทว่าสตรีนางนั้นกลับเดินไปได้มิกี่ก้าว ก็ได้หยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันหัน

“มิทราบว่า… คุณชายมีนามว่าอันใดหรือเจ้าคะ ? ”

สตรีที่งดงามพริ้มพราวนั้น บัดนี้ใบหน้าแดงเรื่อขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ราวกับนางได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ ขณะที่หันกลับไปถามเย่ฉางชิง

เย่ฉางชิงนิ่งอึ้งไป ก่อนจะตอบกลับเสียงนุ่มว่า “เย่ฉางชิง”

สตรีนางนั้นพยักหน้ารับ จากนั้นก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ จากไปทันที

เมื่อเห็นสตรีนางนั้นจากไปอย่างรีบร้อน เย่ฉางชิงจึงอดมิได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ศิษย์พี่ชวี่ สตรีนางนี้ เหตุใดต้องถามชื่อข้าด้วยหรือขอรับ ? ”

ชวี่เหวินเซี่ยอดมิได้ที่จะกลอกตาใส่ ก่อนจะเอ่ยแกมหยอกไปว่า “ยังมิชัดอีกหรือ นางชอบพอเจ้าเข้าแล้วล่ะสิ”

เย่ฉางชิงเม้มริมฝีปากแน่น พร้อมถามต่อว่า “ศิษย์พี่ชวี่ หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด พวกนางคงเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์กระมัง ? ”

ชวี่เหวินเซี่ยมิปฏิเสธ “เมืองกระบี่สวรรค์นั้นเป็นของนิกายกระบี่สวรรค์ ทั้งยังเป็นสถานที่สำหรับเอาไว้คัดเลือกศิษย์โดยเฉพาะ และภายในเมืองตอนนี้นอกจากศิษย์สำนักต่าง ๆ ที่มาเพื่อร่วมการคัดเลือกแล้ว ที่เหลือย่อมล้วนเป็นคนของนิกายกระบี่สวรรค์ทั้งสิ้น”

“แต่นี่มันมิถูกต้องนะขอรับ ! ”

เย่ฉางชิงจึงถามต่ออีกว่า “ตามหลักแล้วผู้ที่บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนควรมีจิตใจที่บริสุทธิ์ แล้วเหตุใดพวกนางถึงยังมิละกิเลส อีกทั้งยังมาหลงใหลชอบพอข้าเช่นนี้ด้วยเล่า ? ”

ได้ยินเช่นนั้นชวี่เหวินเซี่ยพลันดวงตาเป็นประกาย พร้อมระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างกลั้นเอาไว้มิไหวอีกต่อไป

“ศิษย์น้องเย่ มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าอาจจะยังมิรู้”

ชวี่เหวินเซี่ยพยายามกลั้นขำ พร้อมกับเอ่ยว่า “นิกายกระบี่สวรรค์อนุญาตให้ศิษย์ในสำนักสามารถเป็นคู่ชะตาบำเพ็ญเพียรกันได้ ส่วนเจ้านั้นนอกจากจะมีใบหน้าที่หล่อเหลา แล้วยังมีบุคลิกท่าทางอันโดดเด่นที่แผ่ออกมาจากภายในด้วย”

“เช่นนั้นการที่พวกนางเกิดความชอบพอในตัวเจ้า ย่อมนับว่าสมเหตุสมผลแล้ว”

เอ่ยถึงตรงนี้ ชวี่เหวินเซี่ยก็มีประกายเจ้าเล่ห์บางอย่างพาดผ่านแววตา ก่อนที่นางจะแกล้งกดเสียงต่ำ “จริงสิ ศิษย์น้องเย่มีเรื่องหนึ่ง เมื่อเจ้าเข้าไปนิกายกระบี่สวรรค์แล้ว จะต้องจดจำเอาไว้ให้ดี”

“ว่ากันว่านิกายกระบี่สวรรค์นั้น มีผู้ที่เป็นอมตะที่มีชีวิตมานับพันปีอยู่หลายคน พวกนางล้วนให้ความสำคัญในการบำรุงรูปลักษณ์ของตัวเอง เช่นนั้นจึงทำให้ดูมิออกถึงความชราของพวกนาง กลับกันแต่ละคนล้วนอ่อนเยาว์และงดงาม ท่าทางยังโดดเด่นเหนือผู้ใดอีกด้วย”

“หากพวกนางต้องการที่จะผูกคู่ชะตาบำเพ็ญเพียรกับเจ้า เจ้าอย่าได้ตอบตกลงเป็นอันขาด มิเช่นนั้นเจ้าอาจจะกลายเป็นเตาหลอมยาสำหรับพวกนางก็ได้”

“สูด ! ”

เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้น ก็อดมิได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความหวาดหวั่นในทันที

ขณะเดียวกันก็รู้สึกสันหลังเย็นวาบขึ้นมา

เตาหลอมยาหมายความว่าเยี่ยงไรนั้น !

เขาพอจะรู้มาบ้าง

การกลายเป็นเตาหลอมมนุษย์ ก็มิต่างอะไรกับการเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง

นั่นก็คือการที่ตนเองบำเพ็ญเพียรไปจนถึงระดับสูงขึ้นแล้ว จากนั้นก็จะถูกผู้อื่นที่แข็งแกร่งกว่าบังคับช่วงชิงเอาพลังไป

แต่นี่มันมิถูกต้องนี่นา !

การจะกลายเป็นเตาหลอมของผู้ที่เป็นอมตะนั้น เงื่อนไขสำคัญคือคนผู้นั้นต้องมีคุณสมบัติสูงส่งอย่างมาก

ส่วนตัวเขายังมิมีแม้แต่คุณสมบัติ ที่จะบำเพ็ญเพียรในสำนักชิงหยางต่อเสียด้วยซ้ำ แล้วเรื่องนี้จะเป็นไปได้เยี่ยงไรกัน ?

‘จริงสิ ! ’

‘เกือบลืมไปเลย ! ’

‘สำนักชิงหยางนั้นเป็นสำนักเซียนลึกลับ ส่วนนิกายกระบี่สวรรค์หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ คงจะห่างชั้นจากสำนักชิงหยางมากแน่ ๆ’

‘มิเช่นนั้นข้าจะมาเข้าร่วมการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์ได้เยี่ยงไร ? ’

‘เช่นนั้นปัญหาก็คือ’

‘ในสายตาของนักพรตชิงอวิ๋น บางทีข้าอาจมิโดดเด่นอะไรเลย’

‘แต่สำหรับนิกายกระบี่สวรรค์นั้นอาจต่างออกไป’

‘อีกทั้งหากดูจากรูปลักษณ์ที่มีมาแต่กำเนิดของข้าแล้ว’

‘อย่าว่าแต่ดรุณีน้อยมากมายในนิกายกระบี่สวรรค์จะชอบพอข้าเลย แม้แต่เหล่าผู้ที่เป็นอมตะพวกนั้น ก็อาจจะเกิดความชอบข้าขึ้นมาก็ได้’

‘คุณสมบัติมิธรรมดา กับใบหน้าอันหล่อเหลา’

‘ใครบ้างจะมิชอบเตาหลอมเช่นนี้กัน ? ’

คิดได้เช่นนั้นแล้ว เย่ฉางชิงก็รู้สึกกังวลกับใบหน้าของตัวเองขึ้นมาในทันที

คุณสมบัติในการฝึกเซียนธรรมดา แล้วจะหล่อเหลาราวกับพระเอกเช่นนี้ไปทำไม ?

ในทางกลับกันยังนำหายนะมาสู่ตัวเองอีกด้วย !

“เวรกรรมจริง ๆ เหตุใดข้าต้องเกิดมาหล่อเหลาเช่นนี้ด้วย ! ”

เย่ฉางชิงเม้มริมฝีปากแน่น อดมิได้ที่จะกุมขมับและเอ่ยออกมาอย่างโศกเศร้า

เห็นเช่นนั้นดวงตาของชวี่เหวินเซี่ยพลันเป็นประกายขึ้น ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางจริงจังว่า “ศิษย์น้องเย่ ข้ามีแผนอยู่แผนหนึ่ง เจ้าอยากฟังหรือไม่ ? ”

เย่ฉางชิงหันไปมองชวี่เหวินเซี่ย พร้อมกับเอ่ยเร่งทันที “ศิษย์พี่ชวี่ เชิญเอ่ยมาได้เลย ! ”

ชวี่เหวินเซี่ยยิ้มอย่างมีเลศนัย “หลังจากผ่านการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์แล้ว เจ้าก็แค่บอกคนอื่น ๆ ไปว่าได้ผูกเป็นคู่ชะตาบำเพ็ญเพียรกับข้าแล้ว”

เย่ฉางชิง “……”

จนเวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ

หลังจากที่เย่ฉางชิงและชวี่เหวินเซี่ยก้าวเข้าไปในเรือนแล้ว ประตูบานใหญ่ทางด้านหลังก็ค่อย ๆ ปิดลง

และสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคนทั้งคู่ ก็คือบรรยากาศที่เงียบสงบและดูแปลกตา

มิไกลนักก็พบว่ามีห้องที่ถูกตกแต่งเอาไว้อีกหลายห้องกระจายอยู่

ขณะเดียวกันก็มีศาลาเล็ก ๆ ต้นไม้เก่าแก่ที่อุดมสมบูรณ์ ป่าไผ่อันเขียวชอุ่ม

ส่วนตรงหน้าของคนทั้งคู่ในเวลานี้ ได้มีหินขนาดใหญ่วางอยู่ พร้อมสายน้ำที่คดเคี้ยว หมอกจาง ๆ ลอยอบอวลไปทั่ว แผ่ปราณวิญญาณอันบริสุทธิ์และเข้มข้นอย่างมากออกมา

ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก

หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก ชวี่เหวินเซี่ยก็ยิ้มออกมา “บรรยากาศงดงามและแปลกตาเช่นนี้ อีกทั้งยังมีปราณวิญญาณอันบริสุทธิ์และเข้มข้นปกคลุมไปทั่วเช่นนี้ วันละ 5,000 ศิลาวิญญาณก็นับว่ามิแพงเลย”

ทันทีที่สิ้นเสียง ขณะที่พวกเขาสองคนเดินเข้าไปข้างในต่อนั้น

เสียงพิณอันไพเราะเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

ขณะเดียวกัน สิ่งที่ทำให้คนทั้งคู่รู้สึกประหลาดใจก็คือ

เสียงพิณที่พวกเขาได้ยินนั้น ราวกับแฝงวิถีแห่งดนตรีบางอย่างเอาไว้อีกด้วย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด